ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 157.1
เมิ่งเหรินขุ่นเคือง คิดจะตอกกลับ แต่พอเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของเมิ่งเชี่ยนโยว จำต้องกลืนคำที่มาถึงปลายลิ้นแล้วลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเย็นชา พูดกับเสี่ยวเอ้อ “เปิดห้องพักธรรมดาให้เขาหนึ่งห้อง”
เสี่ยวเอ้อลนลานลงบันทึก หยิบกุญแจแล้วพูดกับเมิ่งเหริน “เชิญตามข้ามา”
เมิ่งเหรินตามเสี่ยวเอ้อเดินไปที่ห้อง เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังไล่หลังมา “ประเดี๋ยวพออี้เซวียนตื่น พวกเราจะไปกินข้าวที่ภัตตาคารที่พี่รองทำงาน พี่ใหญ่ช่วยอยู่แต่ในห้อง อย่าออกไปเดินเพ่นพ่าน”
เมิ่งเหรินชะงักฝีเท้า ไม่ได้พูดอะไร ตามเสี่ยวเอ้อไปห้องพัก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูห้องพักของคนที่ซื้อตัวมา เห็นประตูห้องปิดสนิท รู้ว่าพวกเขายังหลับไม่ตื่น ก็ไม่ได้ร้องปลุกพวกเขา หันหลังกลับขึ้นไปพักผ่อนในห้องตัวเอง
ครั้งนี้เมิ่งอี้เซวียนนอนหลับลึกมาก กระทั่งฟ้าด้านนอกมืดสนิทถึงตื่นขึ้นมา ลืมตาสะลึมสะลือ พบว่าในห้องมืดสนิท ตกใจหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่งพลัน
เมิ่งเสียนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ถามเสียงเบา “อี้เซวียน เจ้าตื่นแล้ว”
ได้ยินเสียงเขา เมิ่งอี้เซวียนถึงโล่งอก ขานรับเสียงแผ่ว “อือ”
เมิ่งเสียนลุกขึ้นนั่ง จุดไฟ เห็นเมิ่งอี้เซวียนทำหน้าตื่นตกใจ ถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร ฝันร้ายหรือ”
เมิ่งอี้เซวียนฝืนส่งยิ้มให้เขา ส่ายหน้างุด
เมิ่งเสียนพูดเสียงละมุน “ไม่เป็นไรก็ไปล้างหน้าก่อนเถอะ ข้าจะไปห้องข้างๆ ปลุกเมิ่งเชี่ยนโยว พวกเราควรไปกินข้าวได้แล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ลงจากเตียงไปล้างหน้า
เมิ่งเสียนมาถึงห้องข้างๆ เคาะประตูแล้วถามเสียงเบา “น้องสาว เจ้าตื่นอยู่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ เปิดประตูออก
เมิ่งเสียนพูด “อี้เซวียนตื่นแล้ว กำลังล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวพวกเราก็ออกไปกินข้าวได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงสลักประตู เดินมาห้องพักข้างๆ เห็นเมิ่งอี้เซวียนล้างหน้าเสร็จแล้ว ถามเขา “หิวไหม”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
“ไป พวกเราไปกินข้าวที่ภัตตาคารพี่รองกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ทั้งสามลงมาชั้นล่าง คนนั่งกินข้าวในโถงกลางแน่นขนัด เสี่ยวเอ้อจำนวนหนึ่งกำลังสาละวนกับการยกอาหารให้ลูกค้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหน้าโต๊ะคิดเงิน ซักถามหลงจู๊ “คนในห้องเหล่านั้นออกมากินข้าวแล้วหรือไม่”
หลงจู๊ตอบ “ยังขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว เดินไปหน้าห้องหนึ่งแล้วเคาะประตู ชายฉกรรจ์ขานรับเปิดประตูออก เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง”
“พักผ่อนสบายดีหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา
ชายฉกรรจ์ตอบอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นาง พวกเราพักผ่อนอย่างสุขสบาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อพักผ่อนดีแล้ว ก็ออกมากินข้าวเถอะ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อตระเตรียมอาหารให้พวกเจ้า”
ชายฉกรรจ์กล่าวขอบคุณอีกครั้ง ร้องเรียกคนที่เหลือในห้องอื่น ออกมานั่งโต๊ะสองสามตัวในโถงกลาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหน้าโต๊ะคิดเงิน หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “หลงจู๊ ยกอาหารมาให้พวกเขาหน่อย”
หลงจู๊รับเงินมา ทำการจดบันทึก สั่งเสี่ยวเอ้อไปยกอาหารออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับไปที่โต๊ะชายฉกรรจ์ คนที่ถูกซื้อตัวมารีบลุกขึ้นยืน ร้องเรียกอย่างนบนอบ “แม่นาง” เสียงค่อนข้างดัง ทำเอาคนที่มานั่งกินข้าวในโถงกลางต่างหันขวับมองมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเจ้าเห็นข้าแล้วไม่ต้องเจียมตัวขนาดนี้ก็ได้ แม้ข้าจะซื้อพวกเจ้ามา แต่ข้าไม่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นคนรับใช้”
คนทั้งหมดตื้นตันใจยิ่งนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ข้ายังมีธุระ ต้องออกไปก่อน ข้าบอกหลงจู๊ให้เตรียมอาหารให้พวกเจ้าแล้ว ประเดี๋ยวเสี่ยวเอ้อจะยกเข้ามาให้ พวกเจ้ากินเสร็จก็รีบพักผ่อน พรุ่งนี้พวกเราจะกลับกันแต่เช้า”
ทั้งหมดพยักหน้าพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินมาตรงหน้าเมิ่งเสียน ชี้ไปที่ห้องพักหนึ่งพูดกับเขา “พี่ใหญ่ ไปเรียกพี่เมิ่งเหรินออกมา ให้เขานำพวกเราไปกินข้าว”
เมิ่งเสียนเดินขึ้นหน้า เคาะประตูห้อง
เมิ่งเหรินเปิดประตูห้อง
เมิ่งเสียนพูดกับเขา “พี่เมิ่งเหริน โยวเอ๋อร์อยากไปกินข้าวที่ภัตตาคารพี่เมิ่งอี้ รบกวนท่านพาพวกเราไปหน่อยเถอะ”
เมิ่งเหรินไม่ได้พูดอะไร ปิดประตูห้อง ยกเท้าเดินนำไป
เมิ่งเสียนส่ายหน้า เดินตามหลังเขาไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนก็เดินตามออกไป
ออกมาหน้าโรงเตี๊ยม เมิ่งเหรินถึงพูดว่า “ภัตตาคารที่น้องอี้ทำงานอยู่ไม่ไกล พวกเราเดินไปหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งเหรินนำคนทั้งหมดมาถึงภัตตาคารที่เมิ่งอี้ทำงาน
ภัตตาคารมีขนาดไม่ใหญ่เป็นภัตตาคารหนึ่งคูหาธรรมดา
คนทั้งหมดเดินเข้ามาในภัตตาคาร เสี่ยวเอ้อเข้ามาต้อนรับ ถามอย่างฉันมิตร “ทุกท่าน ห้องรับรองหรือห้องโถงกลางขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ห้องรับรอง”
เสี่ยวเอ้อนำคนทั้งหมดขึ้นมาชั้นสองอย่างกระตือรือร้น เปิดประตูห้องรับรองออก หลีกทางให้คนทั้งหมดเข้าไปด้านใน
เมื่อทุกคนนั่งเรียบร้อย เสี่ยวเอ้อจึงถาม “ทุกท่านจะรับอะไรดีขอรับ”
“ขออาหารแนะนำของภัตตาคารพวกเจ้าสองอย่าง อาหารตามสั่งทั่วไปสอง และขออาหารรสจืดสอง ข้าวสวยคนละถ้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เสี่ยวเอ้อขานรับหน้าตาเบิกบาน กำลังจะออกไปสั่งอาหาร
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา “ช้าก่อน”
เสี่ยวเอ้อหยุดชะงักถาม “แม่นางยังมีเรื่องใดจะกำชับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ภัตตาคารพวกเจ้ามีเสี่ยวเอ้อที่ชื่อเมิ่งอี้ใช่ไหม รบกวนเจ้าไปเรียกเขามาหน่อย พวกเราเป็นคนในครอบครัวพวกเขา”
เสี่ยวเอ้อมองประเมินพวกเขาอย่างไม่เชื่อหลายครั้ง ถึงพูดอย่างเป็นมิตร “ได้เลย ข้าจะตามเขามาให้เดี๋ยวนี้”
คนทั้งหมดนั่งรอในห้องรับรอง
ไม่นานก็มีคนเคาะประตู เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงพูด “เข้ามา”
เด็กชายร่างผอมคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา ยังไม่ทันมองคนด้านในชัดเจนก็พูดอย่างพินอบพิเทา “พวกท่าน”
“พี่เมิ่งอี้!” เสียงร้องยินดีของเมิ่งเสียนตัดบทคำพูดเขา
เมิ่งอี้พินิจมอง คนที่นั่งในห้องรับรองก็คือคนในครอบครัวของตัวเองจริงๆ พลันตะลึงค้าง
เมิ่งเสียนร้องเรียกอีกครั้ง
เมิ่งอี้ถึงได้สติกลับมา ถามอย่างดีใจระคนแปลกใจ “น้องเมิ่งเสียน พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
เมิ่งเสียนตอบ “อี้เซวียนเข้ามาสอบถงเซิงระดับอำเภอ พวกเราก็เลยใช้โอกาสนี้มาหาท่าน”
เมิ่งอี้ไม่ได้กลับบ้านมาปีกว่าแล้ว ไม่รู้เรื่องในครอบครัวอย่างสิ้นเชิง ได้ยินเขาพูดถึงอี้เซวียน มองเขาอย่างฉงน
เมิ่งเสียนชี้เมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “เขาก็คืออี้เซวียน”
เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นยืน ส่งเสียงร้องเรียกพี่เมิ่งอี้
เมิ่งอี้เห็นเป็นเขาก็ถามอย่างตื่นตกใจ “เขาไม่ใช่หนิวอี้เซวียนหรือ”
เมิ่งเสียนยิ้มพูด “เขาก็คือหนิวอี้เซวียน ตอนนี้ได้รับการอุปการะจากครอบครัวพวกเรา เปลี่ยนชื่อเป็นเมิ่งอี้เซวียนแล้ว”
เมิ่งอี้ยิ่งทวีความตื่นตกใจ
เมิ่งเสียนพูด “เรื่องมันยาว เอาไว้มีเวลาข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง”
เมิ่งอี้พยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงร้องเรียกบ้าง “พี่เมิ่งอี้”
เมิ่งอี้มองนาง ถามอย่างยินดี “น้องโยวเอ๋อร์ก็มาด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งอี้เห็นว่าเมิ่งเหรินก็อยู่ด้วย ดีใจส่งเสียงร้องเรียกพี่ใหญ่
เมิ่งเหรินเปล่งเสียงขานรับ
เมิ่งอี้ไม่ได้เจอหน้าคนในครอบครัวมานานแล้ว พอเห็นพวกเขาก็ตื่นเต้นดีใจ เริงร่าพูด “พวกเจ้าอยากกินอะไรก็บอกเสี่ยวเอ้อนะ ข้าจ่ายให้เอง”
เมิ่งเสียนโบกมือ “ไม่ต้อง พี่เมิ่งอี้ พวกเราพกเงินมาด้วย”
เมิ่งอี้พูด “บ้านอารองลำบากแร้นแค้น เงินที่พวกเจ้าหามาได้ไม่ง่าย เก็บไว้ให้ดีเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะบอกหลงจู๊ ค่าอาหารของพวกเจ้าให้หักจากเงินค่าแรงข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราสั่งแต่อาหารแนะนำของภัตตาคารพวกท่าน เกรงว่าเงินเดือนทั้งเดือนของพี่รองจะไม่พอจ่ายค่าอาหารให้พวกเรา”
ได้ยินนางบอกว่าสั่งแต่อาหารแนะนำของภัตตาคาร เมิ่งอี้นิ่งงัน แล้วพูดแก้ว่า “ข้าจะให้หลงจู๊หักล่วงหน้าจากเงินค่าแรงของข้า พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อสั่งแล้วก็กินกันให้อร่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “พี่รองได้ค่าแรงต่อเดือนเท่าไหร่”
เมิ่งอี้ตอบ “ข้าทำงานมานาน และขอลาน้อย หลงจู๊จึงให้เงินค่าแรงมาก ได้เดือนละสองตำลึง บวกกับสินน้ำใจจากแขก อย่างมากที่สุดเคยได้เดือนหนึ่งสี่ถึงห้าตำลึง ปีที่แล้วหักค่าใช้จ่ายของพี่ใหญ่ไป ข้าเก็บเงินได้ถึงสามสิบตำลึง ฝากพี่ใหญ่ส่งกลับไปบ้านแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดชื่นชม “พี่เมิ่งอี้ทำงานเก่งจริงๆ”
เมิ่งอี้ส่ายหน้า พูดแก้เก้อ “ขอบใจน้องโยวเอ๋อร์”
พูดจบก็รีบพูดต่อ “ข้าไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงคนเยอะของภัตตาคาร ข้าไปทำงานก่อน พวกเจ้าค่อยๆ กิน ข้าลงไปแล้วจะไปบอกหลงจู๊ว่าค่าอาหารของพวกเจ้าให้หักจากเงินค่าแรงข้า”
เมิ่งเสียนคิดจะพูดบางอย่าง เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแย่งพูดขึ้นก่อน “ขอบคุณพี่เมิ่งอี้”
เมิ่งอี้ตอบ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ขอบใจอะไร” พูดจบหันไปพูดกับเมิ่งเหริน “พี่ใหญ่ ข้าไปทำงานก่อน”
เมิ่งเหรินส่งเสียงขานรับ
เมิ่งอี้รีบร้อนออกไปจากห้องรับรอง ไปทำงานของตัวเองต่อ
พอเมิ่งอี้จากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองเมิ่งเหรินเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง
เมิ่งเหรินก้มหน้าอย่างร้อนตัว
ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบ คีบอาหารให้เมิ่งอี้เซวียน ใส่ในถ้วยข้าวเขา พูดเสียงละมุน “กินเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนหยิบตะเกียบพุ้ยข้าวกินอย่างหน้าชื่นตาบาน
เมิ่งเสียนและเมิ่งเหรินก็หยิบตะเกียบลงมือกินบ้าง
ไม่รู้ว่าเพราะหิว หรือเพราะอาหารที่ภัตตาคารทำถูกปาก คนทั้งหมดกินไปเยอะมาก แทบจะกินอาหารที่มีบนโต๊ะทั้งหมดจนเกลี้ยง
พอกินอิ่ม คนทั้งหมดวางถ้วยตะเกียบ มองดูจานว่างเปล่าบนโต๊ะ เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำเล็กน้อย
หลังจากนั่งพักครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าดึกมากแล้ว ร้องตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อคิดเงิน
ครู่ใหญ่เสี่ยวเอ้อถึงเข้ามา พูดด้วยกิริยาไม่ค่อยดี “พวกท่านไม่ต้องจ่ายแล้ว เมิ่งอี้บอกหลงจู๊แล้ว ให้หักเงินค่าอาหารของพวกท่านจากเงินค่าแรงของเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเขา ขมวดคิ้วยู่ย่นถาม “เสี่ยวเอ้อ พวกเรามีตรงไหนล่วงเกินเจ้าหรือ”
เสี่ยวเอ้อเบ้ปาก พูดอย่างดูแคลน “พวกท่านมิได้มีสิ่งใดล่วงเกินข้า ข้าเพียงรู้สึกเจ็บปวดแทนเมิ่งอี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจถาม “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พูดมาให้ฟังหน่อย”
เสี่ยวเอ้อเป็นเด็กหนุ่มตรงมาตรงไป เดิมก็รู้สึกไม่พอใจแทนเมิ่งอี้ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา จึงพูดออกไปตามตรง “ข้าได้ยินเมิ่งอี้บอกว่าพวกท่านเป็นคนในครอบครัวเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านน่าจะรู้ว่าเมิ่งอี้ได้เงินค่าแรงเพียงเดือนละสองตำลึงเท่านั้น แต่พวกท่านกลับอาศัยชื่อเขามากินอย่างอิ่มหนำที่นี่ พวกท่านรู้หรือไม่ว่ามื้อนี้พวกท่านกินกันไปเท่าไหร่”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “เท่าไหร่”
เสี่ยวเอ้อตอบอย่างเดือดดาล “สิบแปดตำลึง เป็นเงินค่าแรงเมิ่งอี้ถึงหกเดือนเต็มๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ้อ” แล้วพูด “ไม่เยอะนะ”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เสี่ยวเอ้อยิ่งอารมณ์ขึ้น “นี่ยังไม่เยอะหรือ พวกท่านรู้หรือไม่ว่ากว่าเมิ่งอี้จะหาเงินได้ต้องเหนื่อยยากแค่ไหน เขาไม่เคยยอมลาพัก แม้แต่ตอนปีใหม่ก็ไม่กลับบ้าน เพื่อจะหาเงินให้ได้มากขึ้น แต่พวกท่านกลับดี แค่มื้อเดียวก็ใช้เงินมากเท่านี้ มีคนในครอบครัวที่ไหนทำแบบพวกท่านบ้าง รู้แก่ใจว่าครอบครัวตัวเองฐานะไม่ดี ยังจะมากินดื่มอย่างเต็มที่ในภัตตาคารอีก”
ได้ฟังคำตำหนิของเขาจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เคืองโกรธ กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่คิดจะให้พี่เมิ่งอี้จ่ายเงินให้ พวกเรามีเงินจ่ายเอง”
เสี่ยวเอ้อพูดอย่างไม่เชื่อ “พวกท่านมีเงินเหตุใดต้องให้เมิ่งอี้จ่ายแทน จนถึงตอนนี้เขายังถูกหลงจู๊เรียกไปอบรมอยู่เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “อยู่ที่ไหน”
เสี่ยวเอ้อตอบ “ที่โถงกลางชั้นล่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งเสียนลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องรับรอง เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เซวียนก็เดินตามหลังออกไป เสี่ยวเอ้อเบะปาก ไม่แม้แต่จะร้องทักพวกเขา ด้านหนึ่งบ่นงึมงำเสียงเบา “ไม่เคยเห็นคนในครอบครัวแบบนี้มาก่อน” ด้านหนึ่งเก็บกวาดโต๊ะอาหาร