ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 159.2
เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ มาถึงบ้านใหญ่ ภรรยาเมิ่งต้าจินเห็นพวกเขาเข้ามา ลุกขึ้นร้องทักทายพวกเขาอย่างเป็นกันเอง “พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้ามานั่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนร้องเรียกคนตามมารยาท
หญิงชราเมิ่งตบไปที่เตียงข้างตัวพูดว่า “โยวเอ๋อร์ มานั่งข้างๆ ย่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปอย่างเชื่อฟัง นั่งลงข้างๆ นาง
หญิงชราเมิ่งดึงแขนนางมาอย่างรักใคร่ พูดว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ไปรับเหรินเอ๋อร์และอี้เอ๋อร์กลับมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่ลำบาก ข้าเพียงแค่ผ่านไปรับพวกเขาติดรถกลับมาด้วยเท่านั้น”
หญิงชราเมิ่งตีมือนางอย่างเอ็นดู
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจิน “ท่านปู่ ลุงใหญ่ ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพวกท่านตามลำพัง”
หญิงชราเมิ่งที่ตีมือนางหยุดชะงัก
เมิ่งจงจวี่รู้สึกมาตลอดว่าเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวรับเมิ่งเหรินกลับมามีเงื่อนงำ ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็พยักหน้า
เมิ่งต้าจินพลันตกตะลึง ถามขึ้น “เรื่องอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองทุกคนในบ้าน
เมิ่งจงจวี่เข้าใจความหมายนาง หันไปพูดกับหญิงชราเมิ่ง ภรรยาเมิ่งต้าจินรวมถึงเมิ่งเสียวเถี่ยและเมิ่งอี้ “พวกเจ้าทั้งหมดไปอยู่ในห้องนั้นก่อน”
คนทั้งหมดไม่คัดค้าน หญิงชราเมิ่งลงจากเตียง ภรรยาเมิ่งต้าจินโอบประคองนางเข้าไปในห้องตัวเอง
กระทั่งพวกเขาไปหมดแล้ว เมิ่งจงจวี่ถึงพูดขึ้น “โยวเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรเจ้าพูดมาเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่องที่ตัวเองไปกินข้าวที่ภัตตาคาร เจอเมิ่งเหรินทะเลาะกับคนอื่น ตนเองและเมิ่งเสียนเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย กลับเกิดการต่อสู้กับคนพวกนั้น ถูกนำตัวไปศาลาว่าการ จากนั้นยังได้รู้เรื่องที่เมิ่งเหรินไม่เพียงใช้เงินค่าแรงที่เมิ่งอี้หามาอย่างยากลำบากครึ่งปีเต็ม เอาไปซื้อปิ่นปักผมให้คนที่เขา “ถูกตาต้องใจ” ทั้งยังปิดบังคนในครอบครัวช่วยจัดงานหมั้นหมายให้เขา
เมิ่งจงจวี่ฟังจบโมโหจนตัวสั่น สบถด่า “เจ้าสารเลว พวกเราลำบากแสนเข็ญส่งเขาเรียน เขากลับทำเรื่องเหลวไหลเช่นนั้นได้ สมควรต้องถูกโบย”
เมิ่งต้าจินเองก็โมโหไม่น้อย ร้องตะโกนไปทางห้องเมิ่งเหริน “เมิ่งเหริน ไม่ต้องแกล้งตายแล้ว รีบไสหัวออกมา!”
ตั้งแต่ที่เมิ่งเหรินกลับมาบ้าน ก็เอาแต่นอนอยู่ในห้องตัวเอง ขบคิดว่าจะพูดเรื่องในกับคนในบ้านอย่างไร แต่เผยอปากหลายครั้งกลับพูดไม่ออก เมื่อครู่ได้ยินว่าพวกเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็เอาแต่รอยู่ในห้องอย่างว้าวุ่นใจ ได้ยินเมิ่งต้าจินเสียงตะโกนของเมิ่งต้าจิน ก็ลนลานเดินเข้ามา
เมิ่งต้าจินโกรธเกรี้ยว ถีบเขาไปหนึ่งที “สารเลว คุกเข่าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเหรินคุกเข่าตรงหน้าเมิ่งจงจวี่
พวกหญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงร้องเอะอะ คิดจะเข้ามาดู เมิ่งเสียวเถี่ยห้ามพวกเขา “ดูท่าเหรินเอ๋อร์จะทำความผิดร้ายแรง พี่ใหญ่ถึงโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ พวกเรารอเขาคลายโทสะค่อยเข้าไปเถอะ เกิดพวกเราทนไม่ได้พูดอะไรออกไป จะยิ่งกลายเป็นราดน้ำมันบนกองเพลิง”
หญิงชราเมิ่งและคนอื่นๆ เชื่อคำพูดเขา ไม่ได้เข้าไป กลับตะแคงหูฟังเสียงเอะอะของอีกห้อง
เมิ่งจงจวี่โมโหใช้ไม้เท้าตีเมิ่งเหริน ก่นด่า “เจ้าหลานอัปรีย์ กระทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ได้ ที่ร่ำเรียนมาหายไปไหนหมดแล้ว?”
เมิ่งเหรินเป็นหลานคนโตของสกุล ได้รับความเอ็นดูรักใคร่จากคนทั้งสกุลแต่เด็ก บวกกับเป็นคนฉลาด คนในครอบครัวไม่เคยต้องว่ากล่าวเขามาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตีเขา ตอนนี้ถูกเมิ่งต้าจินและเมิ่งจงจวี่ทุบตีถึงสองครั้งติดกัน เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ พูดโต้แย้งอย่างไม่พอใจ “เมื่อเติบใหญ่ชายต้องแต่งงาน หญิงต้องออกเรือน ข้าอายุสิบแปดปีแล้ว มีคนที่หมายปองผิดตรงไหน?”
เมิ่งจงจวี่โมโหสบถด่า “เมื่อมีคนที่หมายปองแล้วทำไมไม่บอก ยังจะให้ครอบครัวช่วยจัดงานหมั้นหมาย จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่สำนึกผิด ข้าว่าเจ้าไม่ต้องกลับไปเรียนหนังสือแล้ว ทบทวนความผิดอยู่ที่บ้านเถอะ”
เมิ่งเหรินร้องอุทาน “ได้อย่างไรกัน อีกไม่กี่เดือนข้าก็จะเข้าสอบขุนนางแล้ว ตอนนี้ท่านมาให้ข้าอยู่บ้าน จะถ่วงอนาคตข้าได้”
เมิ่งต้าจินทนไม่ไหวก่นด่า “แม้แต่เป็นคนเจ้ายังทำไม่ได้ จะไปมีอนาคตอะไร?”
เมิ่งเหรินโต้เถียงอย่างไม่ยอม “ข้าเป็นคนไม่ได้อย่างไร? ข้าเชื่อฟังคำสอนของท่านปู่อย่างเคร่งครัดมาตลอด ไม่เคยเกียจคร้านมาก่อน ไม่เหมือนท่าน วันๆ เอาแต่เอ้อระเหยลอยชาย ไม่ทำการทำงาน ทำให้ข้าต้องได้รับผลกรรมไปด้วย จนอายุสิบแปดปีก็ยังไม่ได้แต่งงาน หากข้าได้แต่งงาน จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือ?”
เมิ่งต้าจินโมโหจนพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็นเยียบ “พี่ใหญ่หาข้ออ้างให้ตัวเองเก่งจริงๆ ท่านบอกว่าผู้ชายจะมีภรรยากี่คนก็ได้ไม่ใช่หรือ? ต่อให้ครอบครัวจัดงานแต่งให้ท่าน เกรงว่าท่านก็ยังจะทำเรื่องเช่นนี้อยู่ดี”
เรื่องพัฒนามาถึงขั้นนี้ เมิ่งเหรินคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนก่อขึ้น หากไม่ใช่นางดึงรั้นจะให้ตัวเองกลับบ้าน บอกเรื่องนี้กับคนในครอบครัว ตนเองก็คงไม่ต้องถูกด่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทุบตี เลือดขึ้นหน้า พูดโพล่งไม่ยั้ง “เจ้าไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นคนดี หากไม่ใช่เจ้า คนในครอบครัวไม่มีทางรู้เรื่องที่ข้าทำ ข้าก็ไม่ต้องถูกตี ตอนนี้ยังอยู่ที่โรงเรียนประจำอำเภออย่างสุขสบาย เจ้าคิดว่าตัวเองหาเงินสกปรกมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็อวดโอ้บารมีใหญ่คับฟ้า ให้คนทั้งครอบครัวต้องเชื่อฟังเจ้า ตอนนี้ดีแล้ว เห็นข้าถูกทุบตี พอใจเจ้าแล้วใช่ไหม?”
เมิ่งจงจวี่โมโหใช้ไม้เท้าหวดลำตัวเขาอีกครั้ง “สารเลว ตัวเองกระทำผิดยังไม่รู้สำนึก กลับโยนความผิดไปให้คนอื่น วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
เพราะความโมโหทำให้เมิ่งจงจวี่ลงมือค่อนข้างหนัก เมิ่งเหรินถูกตีติดกันสองครั้ง ทนไม่ได้แล้วจริงๆ แผดเสียงร้องเจ็บปวด
หญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงร้องเพราะถูกตีของหลานชายคนโตที่ทะนุถนอมดั่งไข่ในหินมาตั้งแต่เด็ก ทนต่อไปไม่ไหว เดินออกมาจากห้องภรรยาเมิ่งต้าจิน เข้ามาในห้องตัวเอง เห็นเมิ่งเหรินคุกเข่าบนพื้นเจ็บจนเหงื่อซึมเต็มหน้า ร้องตำหนิเมิ่งจงจวี่ “เหรินเอ๋อร์มีเรื่องอะไรเจ้าสั่งสอนเขาก็ได้ เหตุใดต้องลงมือลงไม้ด้วย?”
เมิ่งจงจวี่กำลังโมโหถึงขีดสุด ร้องด่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลบไปซะ วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าสารเลวนี่ให้รู้สำนึก”
ถูกเมิ่งจงจวี่พูดใส่เช่นนี้ต่อหน้าลูกหลานมากมาย หญิงชราเมิ่งรู้สึกเสียหน้า โมโหร้องด่ากลับ “เจ้าเฒ่า เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา? เหรินเอ๋อร์ก่อความผิดร้ายแรงแค่ไหน เจ้าก็ไม่ควรทุบตีเขา”
เมิ่งจงจวี่โมโหยกไม้เท้าบดขยี้พื้น
ภรรยาเมิ่งต้าจินเห็นเมิ่งเหรินถูกลงโทษ ก็ปวดใจไม่น้อย แต่เห็นท่าทีเดือดดาลของเมิ่งจงจวี่ จึงไม่กล้าออกมาขอร้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากอธิบาย “ท่านยาย พี่ใหญ่เอาเงินค่าแรงครึ่งปีที่พี่เมิ่งอี้หามาอย่างเหนื่อยยากไปซื้อปิ่นปักผมให้คนที่เขาหมายปอง กลับไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นพวกต้มตุ๋น ท่านปู่โมโหเดือดดาล ถึงลงมือลงไม้กับเขา”
“อะไรนะ?” ภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งอี้ร้องอุทานขึ้นพร้อมกัน
ภรรยาเมิ่งต้าจินถามอย่างไม่เชื่อ “เหรินเอ๋อร์ เจ้ามีคนที่หมายปองแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เมิ่งอี้กลับถามอย่างไม่เชื่อ “พี่ใหญ่ ท่านบอกข้าว่ามอบเงินค่าแรงให้ท่านพ่อท่านแม่ไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
เมิ่งต้าจินได้ฟังก็ยิ่งเคืองขุ่น ตรงเข้าไปถีบเมิ่งเหรินเต็มแรง ร้องด่า “ตำรับตำราที่ร่ำเรียนมาไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยใช่ไหม? ถึงกล้าโกหกพ่อแม่เช่นนี้?”
เมิ่งเหรินไม่เคยเห็นพ่อที่ไร้แก่นสารคนนี้อยู่ในสายตา พอโดนถีบก็โมโหแผดเสียงพูด “ก็แค่เงินสิบกว่าตำลึงเท่านั้น รอให้ข้าสอบขุนนางได้ ข้าจะคืนให้พวกท่านเป็นเท่าตัว?”
ได้ยินเขาพูดวาจาเช่นนี้ออกมา ภรรยาเมิ่งต้าจินมองเขาอย่างไม่เชื่อ พูดอย่างปวดใจ “เหรินเอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กระทำเรื่องผิดยังพูดคำพูดพวกนี้ออกมาได้อย่างไม่ละอาย”
หญิงชราเมิ่งก็มองเขาเหมือนคนไม่รู้จัก
เมิ่งจงจวี่เห็นเขาไม่รู้สำนึก ยังเถียงไม่เลิก พูดอย่างตัดสินใจเด็ดขาด “คนอย่างเจ้า ไม่ต้องเข้าสอบขุนนางแล้ว ทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้านเถอะ”
เมิ่งจงจวี่เป็นผู้นำครอบครัว พูดคำไหนเป็นคำนั้น เมิ่งเหรินได้ฟัง ตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น
ในห้องพลันเงียบสนิท เมิ่งเหรินคิดมาตลอดว่าอย่างไรเมิ่งจงจวี่ก็ไม่มีทางตัดสินใจเช่นนี้ ถึงกล้าเถียงคอเป็นเอ็นอย่างไม่กลัว ตอนนี้ได้ยินเขาตัดสินใจเช่นนี้ก็ตะลึงงัน พอได้สติกลับมารีบพูดวิงวอน “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีก ท่านอย่าให้ข้าไม่ได้เข้าสอบขุนนางเด็ดขาด ทำเช่นนั้นความทุ่มเทพยายามที่ผ่านมาหลายปีของข้าจะสูญเปล่า”
เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจยาว พูดว่า “ครอบครัวของเราภาคภูมิใจในตัวเจ้ามาตลอด คิดว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะได้สลักชื่อบนป้ายทอง[1] เป็นเกียรติแก่วงศ์สกุล ดังนั้นไม่ว่าครอบครัวจะลำบาก แร้นแค้นเพียงใด ก็ต้องหาวิธีให้เจ้าได้ไป แม้แต่อี้เอ๋อร์ยังต้องออกไปทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย ก็เพื่อไม่ให้เจ้าต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่คิดว่า เจ้าจะทำให้พวกเราผิดหวังได้เช่นนี้ เงินทองเป็นเรื่องเล็ก ใช้จนหมดพวกเรายังหาใหม่ได้ แต่เจ้าเป็นคน กลับเหลาะแหละไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หากวันใดเจ้าประสบความสำเร็จ ได้เป็นขุนนาง จะต้องกลายเป็นคนที่รู้จักแต่จะเสพสุข เห็นแก่ตัวหลงอำนาจ รีดนาทาเร้น เป็นภัยพิบัติของประชาราษฎร์ เช่นนี้เรายังจะให้เจ้าสอบขุนนางไปอีกทำไม สู้ให้เจ้าทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้าน พวกเรายังพอวางใจได้”
เมิ่งเหรินยังไม่ตัดใจ คร่ำครวญเว้าวอน “ท่านปู่ ข้าไม่มีทางกลายเป็นคนเช่นนั้น ข้าทำตามคำสอนของท่านอย่างเคร่งครัดมาตลอด ไม่เคยมีพฤติกรรมเหลวไหล ครั้งนี้เพราะหลานถูกหลอก ถึงได้กระทำเรื่องผิดเช่นนั้น ข้าสาบานกับท่าน ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว ข้าจะอยู่ในกรอบแต่งงานมีลูก เข้าสอบขุนนางอย่างแน่วแน่ จะไม่กระทำเรื่องผิดนั้นอีกแล้ว”
เมิ่งจงจวี่ได้ยินเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน ความโกรธเกรี้ยวเดือดพลุ่งอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ฝืนระงับโทสะให้คลายลง ถึงพูดว่า “จนถึงตอนนี้เจ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน เจ้าจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไรว่าภายหน้าเจ้าจะไม่ทำผิดอีก?”
เมิ่งเหรินโขกหัวสุดแรง “หลานรู้ว่าผิดตรงไหน หลานไม่ควรใช้เงินที่น้องรองฝากมาให้ครอบครัวโดยพลการ ยิ่งไม่สมควรปิดบังท่านพ่อท่านแม่ให้พวกเขาจัดงานหมั้นให้ข้า เป็นข้าที่ถูกความชั่วร้ายครอบงำจนไม่ได้สติ คิดว่าผู้ชายมีหลายเมียก็ไม่เป็นไร ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว ท่านปู่ยอมให้ข้าได้เข้าสอบขุนนางเถอะ”
เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจยาวอีกครั้ง “เจ้ายังไม่ได้เป็นซิ่วไฉ ก็มีความคิดสกปรกเช่นนี้แล้ว ภายหน้าหากสอบได้ตำแหน่งขึ้นมา เกรงว่าจะต้องกลายเป็นข้าราชการฉ้อฉนอย่างที่ข้าคาดคิดไว้ ช่างเถอะ เจ้าอยู่บ้านทำไร่ไถนาเถอะ”
เมิ่งเหรินเห็นว่าอย่างไรก็พูดให้เมิ่งจงจวี่เห็นด้วยไม่ได้ ลนลานคลานไปขอร้องตรงหน้าเมิ่งต้าจิน “ท่านพ่อ ข้าสำนึกผิดแล้ว ท่านช่วยไปพูดกับท่านปู่ ให้เขายอมให้ข้าเข้าสอบขุนนางด้วยเถอะ ข้ารับประกันต่อไปจะไม่กระทำเรื่องผิดอีก”
ในตอนนั้นเมิ่งต้าจินถูกคนให้ร้าย ทำให้ชีวิตนี้ไม่สามารถเข้าสอบขุนนางได้อีก รู้ถึงความเจ็บปวดที่ต้องถูกลิดรอนสิทธิ์เข้าสอบขุนนางดี เห็นสภาพของบุตรชาย ก็ให้อาลัยอาวรณ์ แต่พอคิดสิ่งที่เขากระทำ แล้วคิดถึงคำพูดของเมิ่งจงจวี่ ก็กัดฟัน ตัดใจพูดว่า “เชื่อคำท่านปู่ ทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้านเถอะ ไม่ต้องคิดเรื่องการสอบขุนนางแล้ว”
เมิ่งเหรินเห็นว่าเมิ่งต้าจินก็พูดให้เห็นด้วยไม่ได้ หันไปอ้อนวอนหญิงชราเมิ่ง “ท่านย่า ท่านช่วยข้าขอร้องด้วยเถอะ ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
หญิงชราเมิ่งไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด และไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เห็นหลานรักของตัวเองน่าเวทนาจับใจ เอ่ยปากพูดร้องขอ “ตาเฒ่า ความผิดของเหรินเอ๋อร์ก็ไม่ได้หนักหนา เจ้าทำเช่นนี้เป็นทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหรือไม่ ข้าว่านะ เจ้าแค่ลงโทษเขานิดหน่อยก็พอ ไม่จำเป็นต้องลงโทษรุนแรงเช่นนี้”
เมิ่งจงจวี่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว พูดว่า “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ พวกเจ้าใครก็ไม่ต้องมาขอร้อง นับจากวันนี้ไป ให้เหรินเอ๋อร์อยู่ที่บ้าน ไม่ต้องเอ่ยเรื่องการสอบขุนนางอีก”
เรื่องในครอบครัวเมิ่งจงจวี่มีสิทธิ์ขาดมาตลอด ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หญิงชราเมิ่งรู้ว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีก หันไปพูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งเหริน “เหรินเอ๋อร์ ตอนนี้ปู่เจ้ากำลังอารมณ์เสีย อะไรก็ฟังไม่เข้าหูแล้ว ให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อน ย่าจะพูดขอร้องให้เจ้าเอง”
เมิ่งเหรินเห็นการขอร้องหมดหวังแล้ว ลุกพรวดพราดขึ้น เยาะยิ้มอย่างน่าสังเวช พูดว่า “หลายปีมานี้ข้าทุ่มเทบากบั่นเพื่อการสอบขุนนาง พวกท่านกลับไม่ให้ข้าเข้าสอบ ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีความหมายอะไรอีก สู้ตายให้จบสิ้นไปเถอะ” พูดจบ เบือนหน้าโขกเข้ากับมุมโต๊ะสุดแรงเกิด
คนทั้งหมดไม่คิดว่าเขาจะฆ่าตัวตาย หวีดร้องขึ้นพร้อมกัน คิดจะห้ามเขาก็ไม่ทันแล้ว
ตอนที่เขาลุกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาผิดแปลกไป เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เห็นเขากำลังจะพุ่งปะทะกับมุมโต๊ะ ก็รีบยื่นมือดึงเขาไว้
เดิมเมิ่งเหรินคิดจะใช้ไม้ตายนี้ข่มขู่คนในครอบครัว จะให้พวกเขายอมประนีประนอม รับปากให้เขาเข้าสอบขุนนาง ตอนนี้ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเหนี่ยวรั้งไว้ แผนการในใจล้มเหลว พลันบันดาลโทสะ ยื่นมือออกไปตบใส่นางอย่างไร้เป้าหมาย ร้องคำราม “มายุ่งเรื่องของข้าทำไม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวต้องใช้พลังกำลังจำนวนมากเพื่อดึงรั้งเขา ไร้ซึ่งการป้องกันตัว มือที่ฟาดลงมาของเมิ่งเหรินตบเข้าที่ใบนางพอดี เสียง “เพี๊ยะ” ดังสนั่น ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงเห่อฉับพลัน
เมิ่งเหรินไม่คิดว่าจะตบโดน นิ่งงันอยู่ตรงนั้น
คนในห้องยังตกใจนิ่งอึ้งกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างฉับพลันนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวคลายมือ มองเมิ่งเหรินด้วยใบหน้ากระด้างเฉยชา
ภรรยาเมิ่งต้าจินตกใจร้องเสียงหลง ตรงเข้ามาตบหน้าเมิ่งเหริน แผดเสียงตำหนิ “เจ้าลงมือกับโยวเอ๋อร์ได้อย่างไร”
หญิงชราเมิ่งก็ได้สติกลับมาแล้ว เห็นรอยนิ้วมือทั้งห้าอย่างชัดเจนบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ยื่นมือออกไปอย่างปวดใจ คิดจะสัมผัสกลับไม่กล้า
เมิ่งเอ้ออิ๋นโมโหร้องก่นด่า “เจ้าหลานอัปรีย์ กล้าลงมือทำร้ายคนในครอบครัว ออกไปคุกเข่าในลานบ้าน หากข้าไม่อนุญาตห้ามลุกขึ้น”
เมิ่งเหรินรู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์ ไม่กล้าโต้แย้ง ก้มหน้าเดินออกไปคุกเข่ากลางลานบ้าน
[1] หมายถึงการสอบเคอจวี่ระดับจิ้นซื่อผ่าน