ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 160.2
เมิ่งเชี่ยนโยวมองผู้คนในลานบ้าน นอกจากผู้หญิงที่ชวนมาทำงานและหลี่ต้าฉุยและภรรยา ที่เหลือเป็นครอบครัวของเหวินเปียวที่เข้ามาช่วยงาน ไม่เพียงแค่ภรรยาพวกเขา แม้แต่ลูกๆ ต่างก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง แม้แต่เด็กน้อยอายุสี่ห้าขวบสองคนที่เป็นลูกเหวินเป้าและเหวินหู่ เหมือนก็จะรู้สถานภาพของตนเองในตอนนี้ ต่างคอยช่วยเด็ดผักอยู่ข้างผู้ใหญ่เงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือให้เด็กน้อยทั้งสองคน ยิ้มแล้วพูดกับพวกเขา “พวกเจ้าสองคนมาทางนี้หน่อย”
เด็กน้องทั้งสองอิงแอบมารดาของตัวเองอย่างหวาดกลัว
ภรรยาเหวินหู่และภรรยาเหวินเป้าพูดเสียงเบา “นายหญิงเรียกพวกเจ้า รีบเข้าไปหาเถอะ”
เด็กน้อยทั้งสองเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสั่นกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง แย้มยิ้มถามพวกเขา “พวกเจ้าชื่ออะไร?”
เด็กชายที่โตกว่าตอบก่อน “ข้าชื่อเหวินจง”
เด็กหญิงที่ตัวเล็กกว่าตอบด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ “ข้าชื่อเหวินจิ้ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยน้ำเสียงละมุน “พวกเจ้าตามข้าไปเล่นดีไหม?”
เหวินจงและเหวินจิ้งมองบิดามารดาตัวเองอย่างหวาดกลัว
ภรรยาเหวินเป้าไม่วางใจ พูดอย่างระวัง “นายหญิง จิ้งเอ๋อร์ยังไม่รู้ความ ให้นางอยู่ข้างข้า ให้ข้าดูแลนางเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “อีกประเดี๋ยวพวกเจ้ายังต้องทำอาหาร ไม่มีเวลาดูแลพวกเขา ข้าจะพาพวกเขาไปที่บ้านข้า ให้พวกเขาเล่นกับเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ พอพวกเจ้าเสร็จงาน ไปรับพวกเขากลับมาก็ได้แล้ว”
ภรรยาเหวินเป้าได้ฟังก็วางใจ พูดอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณนายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขึ้นรถม้า พาเด็กน้อยทั้งสองเดินกลับบ้าน เหวินเปียวและเหวินหู่จูงรถม้าเดินตามหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปพูดกับเด็กน้อยทั้งสองไป
เหวินจิ้งและเหวินจงเริ่มแรกยังระแวดระวัง ตอบกลับนางอย่างสุภาพนบนอบ ผ่านไปครู่หนึ่งพอเริ่มคุ้นเคยกับนาง เริ่มมีความกล้า สะบัดมือนาง วิ่งไล่ไปตามท้องถนน
เหวินหู่คิดจะห้ามปราบพวกเขา เหวินเปียวรั้งเขาไว้ พูดเสียงเบา “ช่วงที่ผ่านมาเด็กๆ ตกใจเสียขวัญ ตอนนี้เพิ่งจะได้คลายลงบ้าง เจ้าอย่าตำหนิพวกเขาเลย เชื่อว่านายหญิงก็คงไม่ตำหนิโทษพวกเขา”
เหวินหู่มองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เห็นนางยิ้มตาหยีมองเหวินซงและเหวินจิ้ง ก็วางใจลง
เมิ่งเชี่ยนโยวพาพวกเขากลับมาบ้าน เห็นเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงกำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่ในลานบ้าน กวักมือเรียกพวกเขามา พูดกับคนทั้งสอง “นี่คือเหวินจิ้งและเหวินจง พ่อแม่พวกเขากำลังทำงานยุ่ง ไม่มีเวลาดูแลพวกเขา พวกเจ้าพาพวกเขาไปเล่นด้วยกันเถอะ”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงมองประเมินเหวินซงและเหวินจิ้งอย่างประหลาดใจ
เหวินซงและเหวินจิ้งอิงแอบเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความสั่นกลัว
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงต่างยื่นมือออกมาคนละข้าง แยกกันจับมือเด็กน้อยทั้งสอง พูดอย่างเริงร่า “พวกเราจะสอนพวกเจ้าเล่นแมลงปอไม้ไผ่นะ”
ตอนที่เหวินซงและเหวินจิ้งเดินพ้นประตูเข้ามาก็เห็นพวกเขากำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่ เอาแต่มองพวกเขาอย่างอิจฉา ตอนนี้ได้ยินพวกเขาบอกว่าจะสอนตัวเองเล่น ก็ดีอกดีใจ ตามพวกเขาไปเล่นกลางลานบ้านอย่างมีความสุข
เมิ่งชื่อเดินออกมาจากในบ้าน เข้ามาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างร้อนใจ “เมื่อครู่ปู่เจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง บอกว่ามีเรื่องกับเจ้า นั่งสักประเดี๋ยวเห็นเจ้ายังไม่กลับมา จึงกลับบ้านไปก่อน บอกว่าพอเจ้ากลับมาให้ตามไปเรือนใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้วท่านแม่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เมิ่งชื่อพูดอย่างเป็นกังวล “ท่านปู่คงไม่ได้มาหาเจ้าเพราะเรื่องเหรินเอ๋อร์หรอกนะ ไม่ได้ แม่ต้องตามเจ้าไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ไม่ต้องแล้ว ท่านแม่ ข้าไปเองก็พอ ไม่มีอะไรดอก”
เมิ่งชื่อไม่วางใจ จะตามไปให้ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวจำต้องพูดว่า “หากท่านไม่วางใจ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่ พวกเราไปด้วยกันน่าจะได้แล้วนะ?”
เมิ่งชื่อครุ่นคิด พยักหน้าเห็นชอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวไปหาเมิ่งเสียนที่โรงงานกุนเชียง ให้เขาตามตัวเองไปเรือนใหญ่
เมิ่งเสียนไม่พูดพร่ำทำเพลง ถอดชุดทำงานออก ล้างมือล้างไม้ แล้วมายังเรือนใหญ่พร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
เมื่อคืนวานพอครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับไป เมิ่งจงจวี่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงสั่งให้เมิ่งเหรินคุกเข่าในลานบ้านทั้งคืน หญิงชราเมิ่งที่หลังจากรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด ก็โมโหขุ่นเคือง ไม่สนใจไยดีเขาอีก
เมิ่งเหรินคุกเข่าได้ค่อนคืนก็ทนไม่ไหว เอาแต่ร้องฟูมฟายเว้าวอน
เมิ่งจงจวี่และภรรยา เมิ่งต้าจินและภรรยารวมถึงเมิ่งอี้และเมิ่งเสียวเถี่ยที่เดิมก็ยังไม่นอน ได้ยินเสียงร้องอ้อนวอน ต่างคลุมเสื้อลุกขึ้น
เมิ่งจงจวี่ให้เมิ่งต้าจินเรียกเมิ่งเหรินกลับเข้าห้อง เมิ่งเหรินหนาวจนสั่นไปทั้งตัว คุกเข่าขอร้องตรงหน้าเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าไม่กล้าทำเช่นนี้แล้ว ท่านให้อภัยข้าเถอะ”
เมิ่งจงจวี่ถามเสียงเข้ม “เจ้าผิดที่ตรงไหน?”
เมิ่งเหรินคุกเข่ามาค่อนคืน ไม่เหลือความหึกเหิมลำพองใจนั้นแล้ว ร้องไห้สะอื้นพูด “ข้าไม่ควรทำเพื่อหน้าตา ใช้เงินค่าแรงที่น้องรองลำบากหามากว่าครึ่งปีจนหมด ข้ายิ่งไม่ควรมีความคิดมากภรรยา ด้านหนึ่งท่านพ่อท่านแม่ช่วยจัดงานหมั้นให้ข้า อีกด้านไปมีความสัมพันธ์กับพวกนักต้มตุ๋น ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ท่านปู่อภัยให้ข้าเถอะ”
เมิ่งจงจวี่เห็นเขาตกตะกอนความผิดของตัวเองได้จริงๆ แล้ว โทสะในใจสลายไปได้บ้าง แผดเสียงพูด “เมื่อเจ้ารู้ว่าตัวเองผิดที่ตรงไหนแล้ว เจ้าพูดมาสิว่าเจ้าควรทำอย่างไร?”
เมิ่งเหรินตอบ “ต่อไปข้าจะแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต ไม่ถูกใครยั่วเย้า ไม่กระทำเรื่องผิดพลาดอีก และข้ารับประกันภายหน้าจะแต่งอิงจื่อเป็นภรรยาเพียงคนเดียว ไม่ว่ายากดีมีจนก็จะไม่มีวันทอดทิ้งนาง”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้าพอใจ “ดูท่าที่เจ้าคุกเข่ามาค่อนคืนจะไม่เสียเปล่า คิดตกแล้วจริงๆ เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ครอบครัวเราจะเริ่มปลูกเรือน เจ้ากับอี้เอ๋อร์ไปช่วยพ่อเจ้าตรวจตราที่นั่นด้วยกันเถอะ”
เมิ่งเหรินส่ายหน้า คลานเข่าไปหลายก้าว จับชายเสื้อเมิ่งจงจวี่คร่ำครวญขอร้อง “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ท่านเมตตาข้าสักครั้ง ให้ข้ากลับไปเรียนหนังสือ ข้าขอสาบานต่อฟ้า ปีนี้ข้าจะต้องสอบซิ่วไฉได้ เป็นเกียรติให้แก่วงศ์สกุล”
เดิมเมิ่งจงจวี่นึกว่าเมิ่งเหรินจะปลงตกแล้ว ยังรู้สึกปลาบปลื้มใจ คิดว่าการอบรมสั่งสอนที่ผ่านมาหลายปีของตัวเองไม่เสียเปล่า เขาเพียงแค่ไม่ได้สติไปชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ได้รุนแรงเหมือนที่ตนเองคิด ไม่คิดว่าเขายังจะดึงดันไม่ได้สติ เอาแต่คิดจะไปสอบขุนนาง โทสะพลุกพล่านอีกครั้ง พูดอย่างแน่วแน่ “เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องสอบซิ่วไฉแล้ว ข้าและพ่อเจ้าตัดสินใจให้เจ้าไปทำไร่ไถนา เจ้าล้มเลิกความคิดนี้ ทำตัวให้ดีอยู่ที่บ้านเถอะ”
เมิ่งเหรินคุกเข่ามาค่อนคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว สิ่งเดียวที่ค้ำยันเขาไว้ก็คือหลังจากยอมรับผิดตนเองจะยังได้กลับไปเรียนต่อ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งจงจวี่ตัดสินใจแบบนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง โมโหกรีดร้อง “เพราะข้ากระทำผิดเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ พวกท่านก็ไม่ยอมให้ข้าเข้าสอบขุนนาง พวกท่านทำเกินไปแล้ว ฟังข้าให้ดี วันนี้หากพวกท่านไม่ยอมให้ข้ากลับไปเรียน ข้าจะคุกเข่าจนตายต่อหน้าพวกท่าน”
เห็นเขากล้าข่มขู่ตัวเอง เมิ่งจงจวี่โมโหใช้ไม้เท้าหวดเขาเต็มแรง “ไป ไสหัวไป คุกเข่าจนตายก็ไม่ต้องเข้ามา”
เมิ่งเหรินลุกพรวด เดินกลับไปลานบ้านตั้งตัวตรงคุกเข่าอีกครั้ง
หญิงชราเมิ่งเห็นท่าทีดื้อรั้นของเขา เจ็บปวดรวดร้าวใจ หมายจะพูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งจงจวี่ “ตาเฒ่า เหรินเอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว เจ้าก็อภัยให้เขาสักครั้งเถอะ ให้เขาเข้าสอบขุนนาง หากเขาสอบได้จริงๆ สกุลเมิ่งของเราก็จะพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วยไม่ใช่หรือ”
เมิ่งจงจวี่พูดเกรี้ยวกราด “เจ้าคิดแต่ว่าพอเขาสอบได้ จะนำมาชื่อเสียงเกียรติยศมาให้สกุลเมิ่ง แต่เจ้าคิดบ้างหรือไม่ ด้วยจิตใจของเขา หลังจากได้รับราชการ หากสะกดใจต่อสิ่งยั่วยุไม่ได้ จะนำหายนะมาสู่ครอบครัวพวกเรากระทั่งถูกฆ่าล้างโคตร”
หญิงชราเมิ่งตกใจตัวโยน ถามอย่างตื่นตกใจ “รุนแรงเช่นนั้นเลย?”
เมิ่งจงจวี่ตอบ “เจ้าคิดว่าโยวเอ๋อร์เรียกเขากลับมาเพียงเพราะเรื่องที่เขาใช้จ่ายเงินไม่กี่ตำลึงเท่านั้นหรือ? นั่นเพราะนางมองทะลุจิตใจของเหรินเอ๋อร์ เขาภายหน้าเขาจะนำพาหายนะมาสู่พวกเราทั้งครอบครัว ถึงต้องกันไว้ก่อน นำตัวเขากลับมา เด็กคนนั้นมักจะเดินหนึ่งก้าวคิดไปอีกสามก้าวเสมอ คอยปูทางในอนาคตข้างหน้าไว้ให้สกุลของพวกเราเป็นอย่างดี พวกเราจะเป็นภาระของนาง ให้เจ้าหลานอัปรีย์นี้กลับไปอีกได้อย่างไร”
สิ้นเสียงเขา ภายในห้องเงียบสงัด
ครู่ใหญ่ถึงมีเสียงถอนหายใจยาวของหญิงชราเมิ่งดังขึ้น “เสียแรงที่ข้ามีอายุมาถึงปูนนี้ ยังมองอะไรไม่ขาดสู้เด็กคนหนึ่งยังไม่ได้ ช่างเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่งแล้ว พวกเจ้าจะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินเดิมก็คิดจะขอร้อง ได้ยินคำพูดเมิ่งจงจวี่ จำต้องกลืนคำพูดที่ปลายลิ้นลงไป
เมิ่งต้าจินถอนหายใจยาว เสียใจที่ในอดีตตัวเองเอาแต่ใช้ชีวิตลอยชายไปวันๆ ไม่สั่งสอนอบรมลูกให้ดี ทำให้ตอนนี้เขากระทำผิดแล้วก็ยังสำนึกไม่ได้ ทำลายอนาคตตัวเอง
เมิ่งเหรินคุกเข่าในลานบ้านหนึ่งคืนเต็มๆ กระทั่งฟ้าสางถึงทนต่อไปไม่ไหว ร่างหดห่อนอนแน่นิ่งไปกับพื้น
ภรรยาเมิ่งต้าจินที่ไม่ได้นอนทั้งคืน เอาแต่ตะแคงหูฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก ตอนที่ฟ้าใกล้สางรู้สึกด้านนอกไม่มีเสียงแล้ว ตกใจรีบคลุมเสื้อลงจากเตียง ออกมาดูที่ลานบ้าน กลับเห็นเมิ่งเหรินเหนื่อยล้านอนฟุบไปกับพื้น ปวดใจเข้าไปเอาผ้าห่มให้เขา ค่อยๆ คลุมร่างให้เขา
คนในเรือนใหญ่แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เมิ่งจงจวี่ก็ลุกขึ้นมาแต่เช้า เปิดประตูบ้าน เห็นเมิ่งเหรินนอนหลับมีผ้าห่มปกคลุมร่าง พลันโมโหฉุนเฉียว ก้าวเท้าเดินไปเลิกผ้าห่มออก ก่นด่า “เจ้าเด็กไม่รู้สำนึก ยังกล้านอนหลับอีก?”
เมิ่งเหรินไม่ขยับ
เมิ่งจงจวี่ใช้ไม้เท้าตีเขา “รีบลุกขึ้นมาคุกเข่า”
เมิ่งอี้เซวียนยังคงไม่ขยับ
เมิ่งจงจวี่ทวีความเกรี้ยวกราด ใช้ไม้เท้าตีเขาอีกหลายที เมิ่งเหรินยังคงไม่ขยับเขยื้อน
เมิ่งจงจวี่ถึงรู้สึกถึงความผิดปกติ ตะโกนร้องเรียก “จินเอ๋อร์ เข้ารีบออกมาดู เหรินเอ๋อร์เป็นอะไรไปแล้ว?”
เมิ่งต้าจินได้ยินเสียงรีบวิ่งออกมา เห็นเมิ่งเหรินดวงตาปิดสนิท ใบหน้าแดงเรื่อ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น รีบย่อตัวลง แตะหน้าผากเขา แหงนหน้าพูดกับเมิ่งจงจวี่อย่างร้อนรน “ท่านพ่อ เหรินเอ๋อร์จับไข้แล้ว”
แม้เมิ่งเหรินจะกระทำความผิดร้ายแรง เมิ่งจงจวี่แทบอยากจะตีเขาให้ตาย แต่พอได้ยินว่าเขาจับไข้มือไม้ก็สั่น ร้องคำรามใส่เมิ่งต้าจิน “ยังไม่รีบไปตามหมอมา”
เมิ่งต้าจินลุกพรวดแล้ววิ่งออกไป
เมิ่งจงจวี่หันไปตะโกนบอกคนในบ้าน “สะใภ้ต้าจิน อี้เอ๋อร์ เหรินเอ๋อร์จับไข้ พวกเจ้ารีบมาประคองเขาเข้าไปในบ้าน”
ภรรยาเมิ่งต้าจินลนลานวิ่งออกมาจากในบ้าน เห็นบุตรชายแน่นิ่งไม่ได้สติ น้ำตาก็ไหลเป็นทางทันที เมิ่งอี้ก็ตามติดออกมา เห็นสภาพเมิ่งเหริน รีบเข้าไปอุ้มเขาเข้ามาในบ้าน
หญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงร้องเอ็ดตะโรของเมิ่งจงจวี่ ก็เดินเข้ามาในห้องเมิ่งเหริน มองดูสภาพเมิ่งเหริน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลเป็นสายเช่นกัน
เมิ่งจงจวี่เอ็ดนาง “เหรินเอ๋อร์เพียงแค่จับไข้ ไม่ได้ใกล้ตาย เจ้าจะร้องคร่ำครวญหาอะไร?”
หญิงชราเมิ่งเช็ดน้ำตาแล้วตำหนิเขา “ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้ว เหรินเอ๋อร์สุขภาพอ่อนแอ เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้เหรินเอ๋อร์จับไข้แล้ว เจ้าดีใจแล้วสิ”
เมิ่งจงจวี่โมโหใช้ไม้เท้าเคาะขยี้พื้น “เหลวไหลทั้งเพ เหรินเอ๋อร์จับไข้ทำไมข้าต้องดีใจด้วย?”
เมิ่งเสียวเถี่ยเดินลากขาเข้ามา พูดเตือน “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว คงเพราะเมื่อคืนวานเหรินเอ๋อร์ตากลมหนาวถึงได้จับไข้ รอหมอมาจัดยาให้ พวกเราต้มยาให้เขาดื่ม ก็น่าจะหมดเรื่องแล้ว”
สองผู้เฒ่าไม่พูดอะไรอีก
หมอตะลีตะลานตามเมิ่งต้าจินเข้ามา ทำการจับชีพจรให้เขาแล้วพูดว่า “คนไข้เพียงแค่ได้รับลมเย็น ปัญหาไม่รุนแรง ออกยาให้สองสามขนาน พวกท่านต้มยาให้เขาดื่มพอเหงื่อออกก็จะหายเอง”
คนในห้องต่างถอนใจโล่งอก ภรรยาเมิ่งต้าจินกล่าวขอบคุณหมอไม่หยุด
หมอเขียนใบสั่งยา ให้เมิ่งต้าจินรีบไปจัดยา
เมิ่งอี้รับใบสั่งยามาพูดว่า “ให้ข้าเถอะ ข้าวิ่งไปกลับจะยังเร็วกว่า”
เมิ่งต้าจินพยักหน้า เมิ่งอี้วิ่งทะยานออกไป
หมอกำชับอีกสองสามคำ ถึงลุกขึ้นจากไป
เมิ่งเสียวเถี่ยเดินลากขาไปส่งเขาถึงนอกประตู
หมอมองเมิ่งเสียวเถี่ยอย่างเวทนา แล้วถอนใจสะพายกระเป๋ายาจากไป
ไม่นานเมิ่งอี้ก็จัดยากลับมา ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบไปต้มยา เมิ่งต้าจินและเมิ่งอี้นำมาให้เมิ่งเหรินกิน
ไม่นานเท่าไหร่ เมิ่งเหรินก็เหงื่อออกไปทั้งตัว ใบหน้าแดงฝาดจางหายไป ลมหายใจค่อยๆ เข้าสู่สภาวะปกติ
ทุกคนถอนใจโล่งอก
ภรรยาเมิ่งต้าจินกำชับเมิ่งอี้ให้ดูแลเมิ่งเหรินให้ดี ตนเองจะไปทำอาหารเช้า
เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งก็กลับเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้อง
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ก็สายมากแล้ว เมิ่งต้าจินพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ท่านพ่อ โมงยามนี้แล้ว คาดว่าคนงานปลูกเรือนคงจะมากันแล้ว พวกเรารีบไปเถอะ”
เมิ่งจงจวี่ลุกขึ้น เมิ่งต้าจินประคองเขาเดินออกไป เมิ่งเสียวเถี่ยตามหลังไป
หญิงชราเมิ่งพูดกับภรรยาเมิ่งต้าจิน “สะใภ้ต้าจิน เจ้าก็รีบไปเถอะ งานในบ้านข้าเก็บกวาดเอง”
ภรรยาเมิ่งต้าจินจึงผลุนผลันตามไป
คนทั้งหมดมองดูสถานที่ปลูกเรือน คนงานมาถึงกันแล้วจริงๆ เมิ่งจงจวี่พักเล็กน้อย กล่าวคำขอบคุณทุกคนในที่นั้นหนึ่งบท ถึงจับยามดูฤกษ์ดีเริ่มพิธีบุกเบิกที่ดินลงมือก่อสร้าง
หลังจากเสร็จพิธี คนทั้งหมดก็เริ่มลงมือปลูกเรือน การทำงานเป็นไปอย่างคึกคัก กระฉับกระเฉง หลังจากเดินวนหนึ่งรอบ เมิ่งจงจวี่เห็นว่าไม่มีเรื่องของตัวเองแล้ว จึงบอกเมิ่งต้าจินแล้วค่อยๆ เดินกลับบ้าน
พอคนทั้งหมดไป หญิงชราเมิ่งเก็บกวาดเรียบร้อย ก็เดินเข้ามาในห้องเมิ่งเหริน เห็นเมิ่งอี้คอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง
หลังจากนั้นราวสองเค่อได้ อยู่ๆ เมิ่งเหรินก็หายใจกระหืดกระหอบ สีหน้ากลับมาแดงฝาดอีกครั้ง
หญิงชราเมิ่งตื่นตกใจ รีบบอกให้เมิ่งอี้ไปตามหมอมาใหม่
เมิ่งอี้ก็ตกใจมาก ก้าวขาวิ่งไปบ้านหมอทันที แม้แต่เมิ่งจงจวี่ที่เดินมาเกือบจะถึงหน้าประตูบ้านแล้วก็ไม่สนใจทักทาย
เมิ่งจงจวี่มองเขาลนลานจากไป รู้ทันทีว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเมิ่งเหริน รีบเดินเข้าไปในบ้าน เห็นสภาพเมิ่งเหรินกลับไปเป็นเหมือนเมื่อตอนเช้า ถามอย่างว้าวุ่นใจ “เพิ่งกินยาไปไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้อีก?”
หญิงชราเมิ่งตื่นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้ว เห็นเมิ่งจงจวี่เข้ามา ถามขึ้นอย่างหวาดกลัว “ตาเฒ่า เหรินเอ๋อร์จะไม่เป็นอะไรนะ?”
หมอวิ่งกระหืดกระหอบตามเมิ่งอี้มาอีกครั้ง เห็นสภาพของเมิ่งเหรินก็สะดุ้งตกใจ รีบนั่งลงจับชีพจรที่มือเมิ่งเหรินทั้งสองข้าง ถึงขมวดคิ้วมุ่นพูดกับเมิ่งจงจวี่ “เมิ่งซิ่วไฉ สถานการณ์ของหลานชายท่านไม่สู้ดี!