ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 161.1
เมิ่งจงจวี่ตกตะลึงพรึงเพริด
หมอยังพูดต่อ “เมื่อครู่ข้าตรวจชีพจรเขาอย่างละเอียด พบว่าหลานชายของท่านจับไข้ไปถึงปอดแล้ว หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที เกรงจะมีอันตรายถึงชีวิตได้”
เมิ่งชื่อตะลึงลานกับคำพูดของหมอ ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
เมิ่งจงจวี่กระวนกระวายพูด “เช่นนั้นเจ้าจงรีบเขียนใบยาสั่ง ขอเพียงรักษาชีวิตเขาไว้ได้ ยาดีแค่ไหนพวกเราก็จะใช้”
หมอถอนใจ “ข้าเป็นหมอมาหลายสิบปี น้อยครั้งที่จะเจออาการร้ายแรงเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะรักษาเขาได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ก่อนหนึ่งขนาน พวกเจ้ารีบนำไปต้มให้เขาดื่ม หากเขาไข้ลดลงภายในครึ่งชั่วยาม แสดงว่าได้ผล หากไข้ไม่ลด ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ พวกเจ้าคงต้องเชิญยอดฝีมือท่านอื่นแล้ว”
เมิ่งจงจวี่ร้อนรนพยักหน้า “ได้ๆๆ ท่านออกๆ”
หมอจับพู่กันเขียนใบสั่งยา มองให้เมิ่งอี้รีบไปจัดยา
เมิ่งอี้ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งแนบไปจัดยากลับมา
หญิงชราเมิ่งตะลีตะลานเตรียมการต้มยา เกือบจะทำหม้อยาหก เมิ่งอี้เห็นเช่นนั้นยังไม่ทันหายใจหายคอ รีบรับหม้อยามาจากมือหญิงชราเมิ่ง พูดว่า “ท่านย่า ข้าทำเอง”
หญิงชราเมิ่งขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี ได้ยินดังนั้นมอบหม้อยาให้เขา กลับเข้ามาดูเมิ่งเหรินในห้อง
อาการของเมิ่งเหรินรุนแรงมาก หมอคอยเฝ้าดูเขาไม่ห่าง
เมิ่งอี้ต้มยาเสร็จ ยกเข้ามา นำมาป้อนให้เมิ่งเหรินพร้อมสองผู้เฒ่าเมิ่ง
ป้อนเสร็จ คนทั้งหมดคอยจ้องมองเมิ่งเหรินข้างๆ อย่างกระวนกระวายใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าแดงฝาดของเมิ่งเหรินค่อยๆ จางหายไป
หมอพูดอย่างโล่งใจ “ดูท่าจะได้ผล พอเขาฟื้นขึ้นมา พวกท่านให้เขาดื่มน้ำเยอะๆ ไม่ว่าเขาจะพูดว่าร้อนแค่ไหน ก็ห้ามให้เขาเลิกผ้าห่มบนตัวออก ภายในสองชั่วยามหากไม่จับไข้อีก แปลว่าไม่เป็นอะไรแล้ว”
เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งกล่าวคำขอบคุณไม่หยุด
หมอโบกมือพูดว่าไม่ต้อง สะพายกระเป๋ายาแล้วเดินออกไป
เมิ่งจงจวี่ออกมาส่งเขาถึงหน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจอีกครั้ง
หลังจากหมอจากไป หญิงชราเมิ่งนั่งข้างเตียง หยิบผ้าขนหนูคอยซับเหงื่อที่ซึมออกมาไม่หยุด
คงเพราะร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว เมิ่งเหรินเริ่มเลิกผ้าห่มบนตัวออกอย่างไม่รู้ตัว เมิ่งอี้ก็นั่งอยู่อีกด้านของเตียงคอยกดผ้าห่มไว้แน่น ไม่ให้เขาเลิกออก
เมิ่งจงจวี่กลับเข้ามาในห้อง เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ทอดถอนใจยาว
อาการป่วยของเมิ่งเหรินดีขึ้น หญิงชราเมิ่งก็ได้สติสตังกลับมาแล้ว ได้ยินเสียงทอดถอนใจของเมิ่งจงจวี่ อดไม่ได้บ่นกระปอดกระแปดค่อนขอดเขา “เพราะเจ้าคนเดียว เหรินเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ เจ้ายังจะให้เขาคุกเข่าทั้งคืน ครานี้พอใจเจ้าแล้วสิ”
เมิ่งเหรินล้มป่วยถึงขั้นนี้ เมิ่งจงจวี่เองก็เจ็บปวดใจ ได้ยินเสียงติเตียนจากหญิงชราเมิ่ง หงุดหงิดใจ โพล่งปากตำหนิ “เขากระทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ หากข้าไม่ลงโทษสถานหนัก เขาจะจำบทเรียนนี้ไม่ขึ้นใจ ภายหน้าไม่แน่ว่าจะยิ่งกระทำความผิดร้ายแรงกว่านี้ ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อเขา เจ้าอย่าดีแต่ติเตียนข้า หากไม่เพราะหลายปีมานี้เจ้าตามใจเขาจนเสียเด็ก งานอะไรก็ไม่ยอมให้เขาทำ เขาจะร่างกายอ่อนแอเช่นนี้หรือ? จะว่าไป ที่เหรินเอ๋อร์กลายเป็นแบบนี้ คนที่ผิดก็คือเจ้า”
หญิงชราเมิ่งเพียงแค่เป็นกังวลจนอดไม่อยู่ ถึงพลั้งปากพูดติเตียนเขา ไม่คิดว่าเมิ่งจงจวี่จะหันมาตำหนินาง อารมณ์พลุ่งพล่าน แผดเสียงพูด “จะเป็นความผิดข้าได้อย่างไร? ใครกันที่พูดตั้งแต่เขายังเด็กว่า เด็กคนนี้ฉลาดปราดเปรื่อง ภายหน้าจะต้องเป็นหัวหอกด้านการศึกษา เมื่อเติบใหญ่รู้หนังสือ ไม่ต้องให้เขายุ่งงานน้อยใหญ่ในบ้าน ให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ภายหน้าเมื่อสอบขุนนางได้ จะได้นำพาเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูล”
เมิ่งจงจวี่ถูกแย้งจนพูดไม่ออก โมโหจนหนวดกระตุกนั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง
หญิงชราเมิ่งแค่นเสียงหึ ไม่สนใจเขาอีก หันมาซับเหงื่อที่หน้าผากเมิ่งเหรินอย่างใจจดจ่อ
เหงื่อบนตัวเมิ่งเหรินค่อยๆ ลดลง ไม่ร้อนเช่นเดิมแล้ว จึงไม่ได้เลิกผ้าห่มออกอีก
เมิ่งอี้ถอนใจโล่งอก จัดแจงห่มผ้าให้เมิ่งเหรินใหม่ แล้วใช้มือเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาตรงหน้าผากตัวเองลวกๆ
หญิงชราเมิ่งจ้องเมิ่งเหรินเขม็งอย่างเจ็บปวดใจ ไม่ทันสังเกตเห็นพฤติกรรมของเมิ่งอี้ เป็นเมิ่งจงจวี่ที่พูดขึ้น “อี้เอ๋อร์ เจ้าเองก็เหงื่อออกไม่น้อย รีบเอาผ้าขนหนูมาซับเถอะ”
เมิ่งอี้ขานรับ หยิบผ้าขนหนูข้างๆ มาซับอย่างขอไปที
เมิ่งจงจวี่มองเมิ่งอี้ที่รู้ความ กล่าวตำหนิตัวเอง “อี้เอ๋อร์ หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว เพื่อให้พี่ใหญ่เจ้าได้สอบขุนนาง เจ้าอายุแค่นี้ก็ต้องทุ่มเทเพื่อครอบครัวมากมาย ครอบครัวเราละอายใจต่อเจ้าแล้ว!”
เมิ่งอี้ไม่คิดว่าเมิ่งจงจวี่จะพูดเช่นนี้กับตนเอง พลันไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
เมิ่งจงจวี่ทอดถอนใจ
เมิ่งอี้ได้สติกลับมา รีบพูดขึ้น “ท่านปู่ ท่านอย่าพูดเช่นนี้เด็ดขาด พี่ใหญ่ฉลาดหัวไวแต่เด็ก สมควรตั้งใจศึกษาเล่าเรียนแล้ว สำหรับข้า อย่างไรก็ไม่สนใจเล่าเรียน ออกไปทำงานตรงตามความต้องการของข้าพอดี”
เมิ่งจงจวี่เห็นเขาอ่อนน้อมรู้ความ ยิ่งทวีความละอายใจ “เด็กดี เจ้ากลับมาครั้งนี้ก็ไม่ต้องกลับไปอีก ตอนนี้ฐานะในบ้านเราดีแล้ว พี่ใหญ่เจ้าก็ไม่ต้องกลับไปเรียนหนังสือ เจ้าอยู่บ้านให้สบาย รอแต่งงานมีลูกเถอะ”
เมิ่งอี้หน้าแดง พูดเสียงแผ่ว “ข้าแล้วแต่ท่านปู่”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้าปลาบปลื้มใจ
หญิงชราเมิ่งได้ยินว่าต่อไปเมิ่งอี้ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว ก็ดีอกดีใจ พูดอย่างอิ่มเอมใจ “ใช่ๆๆ อี้เอ๋อร์อายุก็ไม่น้อยแล้ว รอให้ปลูกเรือนเสร็จ ค่อยให้แม่เจ้าและอาสะใภ้ออกไปจัดแจงให้ สักช่วงเวลาปีใหม่ แต่งสะใภ้เข้ามา”
เมิ่งอี้ยิ่งหน้าแดงก่ำ
เมิ่งเหรินส่งเสียงไอ หญิงชราเมิ่งนึกว่าเขาฟื้นแล้ว ถามอย่างตื่นตระหนก “เหรินเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว?”
เมิ่งเหรินไม่ตอบ ส่งเสียงไออีกหลายครั้ง
หญิงชราเมิ่งรู้สึกผิดปกติ ร้อนใจถาม “เหรินเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกไม่สบายตัวตรงไหน?”
เมิ่งอี้รีบเข้ามาตะแคงตัวเมิ่งเหรินช่วยตบหลังเขา เมิ่งเหรินกลับไอรุนแรงกว่าเดิม
เมิ่งจงจวี่ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามา เห็นสภาพเมิ่งเหรินร้อนรนบอกเมิ่งอี้ “เจ้ารีบไปถามหมอ เหรินเอ๋อร์เป็นอะไรกันแน่?”
เมิ่งอี้วางเมิ่งเหรินนอนราบ รีบวิ่งไปหาหมออีกครั้ง
เมิ่งจงจวี่นั่งลงข้างเตียง เลียนแบบท่าทางเมิ่งอี้คอยตบหลังให้เมิ่งเหริน
ครู่เดียวเมิ่งอี้ก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา กระวีกระวาดพูดกับเมิ่งจงจวี่ “หมอบอกว่า เขาเองก็ไม่แน่ใจในสภาพอาการของพี่ใหญ่ ให้พวกเรารีบพาเขาไปโรงหมอในเมือง อย่าได้รอช้าต่ออาการป่วยของพี่ใหญ่”
เมิ่งจงจวี่ลุกขึ้นพูด “พวกเจ้าดูแลเหรินเอ๋อร์ก่อน ข้าจะไปเรียกโยวเอ๋อร์ ให้นางเข้ามาดูเหรินเอ๋อร์”
หญิงชราเมิ่งพูดอย่างกระวนกระวาย “เรียกโยวเอ๋อร์มาจะมีประโยชน์อะไร ให้อี้เอ๋อร์ไปตามจินเอ๋อร์และสะใภ้กลับมา แล้วรีบพาเหรินเอ๋อร์เข้าเมืองเถอะ”
เมิ่งจงจวี่พูด “เพิ่งจะเริ่มงานก่อสร้าง จินเอ๋อร์และสะใภ้ปลีกตัวมาไม่ได้ โยวเอ๋อร์พอรู้วิชาแพทย์ ให้นางเข้ามาดูก่อน หากไม่ไหว ค่อยให้นางพาเหรินเอ๋อร์เข้าเมือง”
พอหญิงชราเมิ่งได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้วิชาแพทย์ ก็ไม่ได้ตกใจว่านางรู้ได้อย่างไร รีบร้อนพูด “เช่นนั้นเจ้าจงรีบไป!”
เมิ่งจงจวี่มาถึงบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่อยู่ เมิ่งชื่อบอกว่านางไปส่งพวกอี้เซวียนไปโรงเรียน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา นางก็ไม่รู้ว่านางไปที่ไหน
เมิ่งจงจวี่รอด้วยความกระวนกระวายใจครู่หนึ่ง เห็นนางยังไม่กลับมา จึงกำชับเมิ่งชื่อพอเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาให้รีบไปบ้านใหญ่ แล้วผลุนผลันไปหาเมิ่งต้าจินที่สถานที่ปลูกเรือน บอกเขาถึงอาการป่วยขั้นร้ายแรงของเมิ่งเหริน
เมิ่งต้าจินฟังเมิ่งจงจวี่พูดจบสาวเท้าวิ่งกลับมาบ้าน เมิ่งจงจวี่ก็เร่งฝีเท้าตามหลังกลับมาถึงบ้าน
เมิ่งเหรินไอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หญิงชราเมิ่งและเมิ่งอี้ต่างกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข เมิ่งต้าจินเพิ่งเข้าบ้านมายังไม่ทันยืนนิ่ง หญิงชราเมิ่งก็ลนลานพูดกับเขา “จินเอ๋อร์ เหรินเอ๋อร์อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เจ้ารีบไปบังคับรถม้าบ้านอิ๋นเอ๋อร์มา พาเขาไปส่งโรงหมอในเมืองเถอะ”
เมิ่งต้าจินหายใจหอบมองเมิ่งเหรินที่ดวงตาปิดสนิท สีหน้าแดงฝาด เอาแต่ไอไม่หยุด กลับหลังหันแล้ววิ่งออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนมาถึงหน้าประตูบ้านใหญ่แล้ว เห็นเมิ่งต้าจินหุนหันจะวิ่งออกมา ร้องถามอย่างประหลาดใจ “ลุงใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งต้าจินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวราวกับเห็นดาวช่วยชีวิตพูดว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ามาพอดี เหรินเอ๋อร์จับไข้ กินยาไปสองขนานแล้วก็ยังไม่เห็นผล เจ้ารู้วิชาแพทย์ ช่วยไปดูเขาให้หน่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังรีบเร่งฝีเท้า เข้ามาถึงในบ้านโดยไว เห็นอาการของเมิ่งเหรินก็ขมวดคิ้วมุ่น
เมิ่งเสียนก็ตามหลังมาติดๆ เห็นอาการเมิ่งเหรินก็ให้ตื่นตกใจถาม “เหตุใดพี่เมิ่งเหรินถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้?”
หญิงชราเมิ่งคร่ำครวญพูดว่า “ก็เพราะปู่เจ้านะสิ เมื่อวานให้เหรินเอ๋อร์คุกเข่าในลานบ้านทั้งคืน วันนี้เช้าตื่นมาเหรินเอ๋อร์ก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว”
เมิ่งจงจวี่ร้อนใจกระสับกระส่าย ไม่ได้พูดโต้ตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยอง จับมือเมิ่งเหริน จับชีพจรของเขาอย่างละเอียด แล้วจึงเปลี่ยนไปจับมืออีกข้าง
ทุกคนในห้องต่างกลั้นหายใจ มองนางอย่างกระวนกระวายใจ
จับชีพจรเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน พูดกับเมิ่งต้าจิน “ลุงใหญ่ ท่านไปเอากระดาษพู่กันมา ข้าจะบอกตัวยา ท่านเขียนแล้วรีบไปจัดยามาสองสามเทียบ”
เมิ่งจงจวี่เข้ามาหยิบกระดาษพู่กันในห้องเมิ่งจงจวี่ เขียนใบสั่งยาตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก
เมิ่งเสียนรับใบสั่งยามาพลางพูด “ข้าไปเอง ข้าวิ่งไปเร็วกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งเขา “ให้ลุงใหญ่ไปเถอะ ท่านยังมีเรื่องต้องทำ”
เมิ่งต้าจินหยิบใบสั่งยาวิ่งออกไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหญิงชราเมิ่ง “ท่านย่า ขอตัดเส้นผมบางส่วนของท่านได้หรือไม่”
หญิงชราเมิ่งรีบร้อนพูด “ได้ๆๆ เจ้ารอเดี๋ยว ย่าจะไปตัดเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ ในบ้านมีเหล้าขาวหรือไม่?”
ยามว่างเมิ่งจงจวี่มักจะชอบจิบเหล้าเป็นกระสัย ในบ้านย่อมมีเหล้าติดไว้เสมอ ได้ยินนางถาม ก็รีบพยักหน้า “มีๆๆ ข้าจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้”
หญิงชราเมิ่งถือเส้นผมหนึ่งกำกลับมา ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เท่านี้พอหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือกำดู พูดว่า “ขอเพิ่มอีกหน่อย”
หญิงชราเมิ่งรีบร้อนตัดออกมาอีกกำ
เมิ่งจงจวี่ถือเหล้าขาวมา เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเมิ่งอี้ “ไปเอาชามขาวและหินติดไฟเข้ามา”
เมิ่งอี้นำสิ่งของเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวเทเหล้าขาวลงในชาม ฉีกกระดาษที่เมื่อครู่เมิ่งต้าจินถือมาเป็นแผ่นใหญ่ใช้หินติดไฟเผาแล้ววางลงในชาม เหล้าขาวติดไฟลุกพรึ่บ เกิดเป็นประกายไฟสีฟ้า
รอครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าพอใช้ได้แล้ว หันไปสั่งเมิ่งอี้และเมิ่งเสียน “พวกท่านถอดเสื้อของเขาออก แล้วนอนคว่ำไปบนเตียง”
เมิ่งอี้และเมิ่งเสียนตะลึงค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งเร้าพวกเขา “เร็วเข้า!”
ทั้งสองสบตากัน เลิกผ้าห่มออก ถอดเสื้อของเมิ่งเหรินออกโดยเร็ว จากนั้นค่อยๆ พลิกตัวเขาอย่างระวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือจุ่มเหล้าขาวที่ยังเผาไหม้ ใช้มือที่มีประกายไฟสีฟ้าตบไปที่หลังเมิ่งเหริน
หญิงชราเมิ่งร้องอุทานอย่างหวาดกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจ ใช้มือจุ่มเหล้าขาวที่มีประกายไฟสีฟ้าตบไปที่หลังเมิ่งเหรินอย่างว่องไว
เมิ่งเสียนนึกว่ามือนางจะบาดเจ็บ พูดอย่างปวดใจ “ข้าทำเอง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รับคำ กระทั่งแผ่นหลังเมิ่งเหรินปรากฏรอยจ้ำเลือดสีแดงฝาด ถึงพูดว่า “ไปเอาผ้าขนหนูร้อนมา”
เมิ่งเสียนไปเอาผ้าขนหนูร้อนมา เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเช็ดหลังเมิ่งเหรินจนแห้ง แล้วสั่งการอีกครั้ง “พลิกตัวเขากลับมา!”
เมิ่งอี้พลิกตัวเมิ่งเหรินกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเป่าไฟในชามดับ ขยำเส้นผมทั้งหมดเป็นก้อน จุ่มลงในเหล้าร้อน ออกแรงถูนวดไปมาทั่วหน้าอกเมิ่งเหริน แล้วพูดกับเมิ่งอี้กับเมิ่งเสียน “พวกท่านทำตามวิธีนี้ ถูที่หน้าอกเขาจนกว่าจะมีจ้ำเลือดออกมาก็พอ”
ทั้งสองพยักหน้า เมิ่งอี้รับเส้นผมในมือเมิ่งเชี่ยนโยวมา ออกแรงถูไปมา
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเมิ่งเสียน “ประเดี๋ยวพอถูหน้าอกเสร็จ ให้พวกท่านทำเหมือนกันออกแรงถูไปที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าของเขา”
เมิ่งเสียนรับคำ “ได้”
เมิ่งต้าจินถือห่อยาสองสามเทียบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดออกตรวจสอบเล็กน้อย แล้วให้เมิ่งต้าจินรีบไปต้มมา
เมิ่งต้าจินไหนเลยจะเคยทำงานพวกนี้ ทุลักทุเลทำอะไรไม่ถูก แม้แต่จุดไฟก็ยังไม่ติด
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีทางเลือก จำต้องไปต้มยาด้วยตัวเอง
เห็นนางเทยาใส่ชาม เมิ่งต้าจินพูดอย่างละอาย “ข้ายกไปเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ห้ามเขา
เมิ่งต้าจินยกยาเข้ามาในห้องอย่างระวัง
เมิ่งอี้และเมิ่งเสียนเช็ดตัวใส่เสื้อให้เมิ่งเหรินเสร็จแล้ว เห็นเมิ่งต้าจินยกยาเข้ามา เมิ่งอี้ประคองเมิ่งเหรินขึ้น ค่อยๆ ให้เขาดื่มชาหนึ่งชามใหญ่เข้าไป
เห็นเมิ่งเหรินดื่มยาหนึ่งชามจนหมด เมิ่งเชี่ยนโยวถึงโล่งอก พูดว่า “ให้เขาดื่มยาหนึ่งเทียบทุกสองชั่วยาม ขอเพียงเขาไม่จับไข้อีก ยามค่ำก็จะไม่เป็นไรแล้ว”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ คนในห้องต่างก็โล่งอก
เมิ่งจงจวี่นั่งแน่นิ่งบนเก้าอี้ หญิงชราเมิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทิ้งตัวนั่งซึมกระทื่อไปบนเตียง
ครู่ใหญ่ความรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้ามของทุกคนถึงสงบลงได้
ในตอนนี้เมิ่งอี้ถึงกล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด “ขอบคุณน้องโยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน พี่เมิ่งอี้เกรงใจไปแล้ว”
ผ่านไปสองเค่อ หน้าผากเมิ่งเหรินเริ่มปรากฏเหงื่อเม็ดโป้งซึมออกมาเต็มแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องยินดี “พี่เมิ่งอี้ ท่านใช้มือจับตัวพี่เมิ่งเหรินหน่อย ก็มีเหงื่อออกมาใช่หรือไม่”
เมิ่งอี้ยื่นมือออกไปลูบคลำตัวเมิ่งเหริน พยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ดีแล้ว ขอเพียงดื่มยาอีกสองสามเทียบ พี่เมิ่งเหรินก็จะไม่เป็นไรแล้ว”
เมิ่งต้าจินถึงวางใจเป็นปลิดทิ้ง หันไปพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ท่านพ่อ เมื่อเหรินเอ๋อร์ไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะไปดูคนงานก่อสร้างบ้านต่อ”
เมิ่งจงจวี่รู้ว่าครั้งนี้ก่อสร้างเรือนหลังใหญ่ จะสะเพร่าไม่ได้ พยักหน้าเห็นพ้อง “เหรินเอ๋อร์ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่ต้องบอกพวกน้องๆ เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล”
เมิ่งต้าจินรับคำ “ข้าทราบท่านพ่อ” พูดจบก็หุนหันจากไป
เมิ่งอี้เดินมาต้มยาในลานบ้าน
หญิงชราเมิ่งจิตใจสงบแล้วถึงถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าไปเรียนรู้วิชาแพทย์มาแต่เมื่อใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “หลังจากที่ข้าตกเขาสลบไปหลายวัน พอตื่นขึ้นมา อยู่ๆ ก็เป็นขึ้นมาเอง”
หญิงชราเมิ่งตกตะลึงประนมสองมือขึ้น กล่าวขอบคุณสวรรค์อย่างเลื่อมใสศรัทธา
เห็นท่าทางของนางแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำพรืด