ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 161.2
เมิ่งอี้ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งป้อนยาให้เมิ่งเหรินกินหนึ่งเทียบทุกๆ สองชั่วยาม ตอนที่ใกล้พลบค่ำ เมิ่งเหรินก็ไม่จับไข้อีก
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนเห็นอาการเมิ่งเหรินทรงตัวดีขึ้น ถึงออกจากบ้านใหญ่กลับมาบ้าน
เมิ่งชื่อรอคอยอย่างกระวนกระวายใจในบ้าน เห็นพวกเขากลับมา รีบเดินออกไปถามไถ่ “ไปตั้งนานเช่นนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งเสียนตอบ “เมื่อวานพี่เมิ่งเหรินถูกท่านปู่ลงโทษคุกเข่าทั้งคืน ได้รับเชื้อลมเย็น จับไข้ขึ้นสูง น้องสาวเขียนใบสั่งยาให้เขา รอจนเขาไม่เป็นไรแล้วพวกเราถึงกลับมา”
เมิ่งชื่อถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านปู่ท่านย่าเจ้าคงร้อนใจแย่แล้ว?”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งชื่อถอนใจ “ดูท่าครั้งนี้ท่านปู่เจ้าจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะลงโทษเขา ขอให้หลังจากผ่านครั้งนี้ไป เขาจะเข้าใจถึงความตั้งใจจริงที่คนในครอบครัวมีต่อเขา จะยอมตัดใจ ทำงานที่บ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ”
เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้ารับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมา
เมิ่งอี้เซวียนไม่รอให้รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงมา วิ่งหน้าตาเบิกบานไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว จ้องมองนางโดยไม่พูดสักคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการลำพองใจของเขา กรอกตาขาวใส่แล้วพูดว่า “รู้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปรับส่งเจ้าไปโรงเรียน”
เมิ่งชื่อฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ถามอย่างงงๆ “พวกเจ้าเล่นทายปริศนาใบ้อะไรกัน ทำไมแม่ถึงฟังไม่เข้าใจ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านแม่ ดูท่าทีของเขาเถิด จะต้องสอบผ่านระดับอำเภอแล้ว”
เมิ่งชื่อถามด้วยอารามดีใจระคนตกใจ “อี้เซวียน เป็นความจริงหรือ?”
เมิ่งอี้เซวียนยิ้มพรายพยักหน้า เมิ่งชื่อดีใจจนเก็บไม่อยู่ เดินตื่นเต้นยินดีเข้าไปกอดเมิ่งอี้เซวียน “ดีเหลือเกินแล้ว อี้เซวียนของเราปราดเปรื่องที่สุด”
เมิ่งเสียนเองก็ดีใจลิงโลด
เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าเมิ่งชื่อจะกอดตัวเอง พลันทำตัวไม่ถูก
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นอาการเก้อกังของเขา ช่วยพูดแก้ไขสถานการณ์ “ท่านแม่ เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ ท่านยังไม่รีบไปทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง ครอบครัวเราจะได้ฉลองกันอย่างมีความสุข”
เมิ่งชื่อคลายมือ พูดว่า “ใช่ๆๆ อี้เซวียนอยากกินอะไรบอกแม่ แม่จะไปทำให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งอี้เซวียนตอบอย่างรู้ความ “อะไรก็ได้ ขอเพียงท่านแม่ทำข้าชอบกินทุกอย่าง”
เมิ่งชื่อดีใจหน้าบาน “อี้เซวียนของแม่ปากหวานที่สุด” พูดจบก็ไปทำอาหารอย่างเบิกบานใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาประจบออดอ้อนเมิ่งชื่อ แอบค่อนขอดในใจอีกหลายคำ
เมิ่งเสียนก็ดีใจจนกลั้นไม่อยู่ พูดว่า “อี้เซวียน นับแต่วันนี้ไป เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น จงตั้งใจจดจ่อ ต้องการอะไรก็บอกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จะจัดการให้เจ้าเอง”
ไม่รอให้เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่เห็นด้วย “พี่ใหญ่ ไม่ได้นะ หนังสือต้องเรียน งานก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นภายหน้าเขาจะถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อได้”
เมิ่งเสียนไม่เห็นด้วย “จะเป็นไปได้อย่างไร? รอถึงตอนที่อี้เซวียนเติบใหญ่ย่อมจะช่วยพวกเราทำงานเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวคัดค้าน “จะไม่เป็นได้อย่างไร ท่านไม่เห็นสภาพของพี่เมิ่งเหรินหรือ? หากเขาเป็นเหมือนพี่เมิ่งอี้ช่วยที่บ้านทำงานแต่เด็ก จะมีสภาพเหมือนในตอนนี้หรือ?”
พูดถึงเมิ่งเหริน เมิ่งเสียนถึงกับพูดไม่ออก
ซุนเหลียงไฉเพิ่งจะเดินอืดอาดเข้ามา บุ้ยปากไม่พอใจเดินมาตรงหน้าพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้วถาม “เจ้าเป็นอะไรอีก?”
ซุนเหลียงไฉตอบอย่างไม่พอใจ “วันนี้ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้อีกหลายใบ พวกเจ้าไม่เห็นชมเชยข้า ทั้งไม่ถามข้าว่าอยากกินของอร่อยอะไรบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังพูดอย่างขอไปที “เหลียงไฉก็เก่งมาก ไม่รู้ว่าคืนนี้เจ้าอยากกินอะไร?”
ซุนเหลียงไฉดวงตาเปล่งประกาย พูดว่า “ข้าอยากกินมันฝรั่งเส้นผัดพริก อยากกินมันฝรั่งตุ๋นเนื้อ แล้วก็อยากกิน”
“หยุด” เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดยั้งเขา “มันฝรั่งในบ้านข้าจะใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ จะกินอีกไม่ได้แล้ว เจ้าคิดอาหารอื่นเถอะ”
รอยยิ้มบนหน้าซุนเหลียงไฉหุบคว่ำลงทันที ถามอย่างไม่พอใจ “ทำไมอี้เซวียนอยากกินอะไรก็ได้ แต่ทุกครั้งข้ากลับไม่ได้กินอาหารที่ตัวเองชอบ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจของเขา พูดประนีประนอม “ก็ได้ ทำให้เจ้า แต่อาหารสองอย่างนี้ทำให้เจ้ากินได้เพียงอย่างเดียว”
ซุนเหลียงไฉได้ฟังดีใจเริ่งร่าอีกครั้ง พูดว่า “อย่างเดียวก็อย่างเดียว ข้าอยากกินมันฝรั่งตุ๋นเนื้อ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกลง
ซุนเหลียงไฉไชโยโห่ร้อง ล้วงเงินสามสิบตำลึงออกมาจากกระเป๋านักเรียน ส่งให้ต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “ให้ นี่เป็นเงินที่ขายกระเป๋านักเรียนได้วันนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา กลับเข้าไปในห้อง เก็บเงินให้ดีแล้วหยิบเงินหกสิบอีแปะออกมา
ซุนเหลียงไฉรับเงินอีแปะมาใส่ในกระเป๋านักเรียนของตัวเองอย่างชื่นบาน พูดโอ้อวดกับทุกคน “ข้ามีหลายร้อยอีแปะแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนให้ความร่วมมือคอยพูดชื่นชมเขา
ซุนเหลียงไฉดีใจถือกระเป๋านักเรียนเข้าห้อง
เมิ่งเอ้ออิ๋นที่กลับมาตอนกลางคืน ทราบเรื่องที่เมิ่งอี้เซวียนสอบผ่านระดับอำเภอ ก็ดีใจลิงโลดไม่แพ้กัน กล่าวชื่นชมเมิ่งอี้เซวียนพักใหญ่
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนเตรียมข้าวของเสร็จแต่เนิ่นๆ ยืนรออยู่ในลานบ้าน
เหวินเปียวและเหวินหู่จูงรถม้าออกมาแล้ว ซุนเหลียงไฉเห็นเขาไม่ขยับ ถามอย่างประหลาดใจ “อี้เซวียน เหตุใดเจ้ายังไม่รีบขึ้นรถม้า?”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปากพูดว่า “ข้าจะรอนางก่อน”
“นางยังไม่ออกมา พวกเราไปรอบนรถม้าก็ได้” ซุนเหลียงไฉพูดอย่างหวังดี
เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากในบ้าน เห็นเมิ่งอี้เซวียนยืนกลางลานบ้าน เดินตรงไปจูงมือเขาอย่างไม่คิดอะไร “ไปเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนดีใจยิ้มร่า
ซุนเหลียงไฉถึงตระหนักได้ เบ้ปาก บ่นเสียงต่ำ แล้วเดินตามหลังออกไปจากลานบ้าน
เหวินเปียวและเหวินหู่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือเมิ่งอี้เซวียนออกมา ก็ให้นิ่งอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ปรับใบหน้าเป็นปกติให้ทั้งสามคนขึ้นบนรถม้า
เมิ่งชื่อมองเห็นทั้งหมดนี้ ครุ่นคิดอย่างปลาบปลื้มใจ ดูท่าโยวเอ๋อร์จะยอมรับอี้เซวียนแล้ว ในที่สุดตัวเองก็วางใจได้เสียที
รถม้าของเหวินเปียวทั้งเร็วและสงบนิ่ง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงโรงเรียน
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า จูงมือเมิ่งอี้เซวียนมาส่งถึงหน้าประตูโรงเรียน
อาจารย์เวรเห็นพวกเขาเข้ามา พูดทักทายคนทั้งสองอย่างเป็นมิตร แล้วพูดชื่นชมกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมิ่งอี้เซวียนเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวของโรงเรียนนี้ที่สอบถงเซิงระดับอำเภอได้ตั้งแต่อายุน้อยเท่านี้ อนาคตจะต้องไม่อาจคาดเดา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับอาจารย์ “พูดเช่นนี้ในตอนนี้อาจจะเร็วเกินไป รอให้เขาสอบผ่านระดับจังหวัด ค่อยชมเขาก็ยังไม่สาย”
อาจารย์เห็นนางถ่อมตนเช่นนี้ ลอบคิดว่าซิ่วไฉเมิ่งอบรบเลี้ยงดูมาอย่างดี
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยมือเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “ตอนเย็นข้าค่อยมารับเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าดีใจ ดวงตาคู่โตเปล่งประกายแสงระยิบระยับเย้ายวน
ซุนเหลียงไฉเห็นอาการเช่นนั้นของเขา เบะปากดูแคลน ไม่แม้แต่จะพูดทักเมิ่งเชี่ยนโยว จงใจสะพายกระเป๋านักเรียนเดินผ่านข้างตัวเมิ่งอี้เซวียนเข้าไป
เมิ่งอี้เซวียนถูกร่างอวบอัดของเขาเบียดจนตัวเซ
ซุนเหลียงไฉแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สะพายกระเป๋านักเรียนเดินหน้าต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น คิดจะเอ่ยปากพูดตำหนิเขาอย่างไม่พอใจ
เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนพูด “ข้าไม่เป็นไร เจ้ากลับไปเถอะ ค่อยๆ เดินทางกลับ” พูดจบ สะพายกระเป๋านักเรียนวิ่งไม่กี่ก้าวก็ตามซุนเหลียงไฉทัน เดินเข้าห้องเรียนไปพร้อมเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวลาอาจารย์ตามมารยาท เดินกลับมาข้างรถม้า พูดว่า “พวกเราไปธนาคาร แลกเงินอีแปะมาสักหน่อย จะได้จ่ายเงินค่าแรงให้คนงานที่มาแผ้วถางภูเขาร้าง”
เหวินเปียวรับคำอย่างอ่อนน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รู้ว่าที่ไหนมีธนาคาร หลังจากนางขึ้นนั่งบนรถม้าแล้ว เหวินเปียวจำต้องบังคับรถม้าแล้วคอยเสาะหาไปตามถนนในเมือง
ออกมาไม่ไกล ตอนที่ใกล้จะถึงตลาดสด หางตาของเหวินหู่ก็สังเกตเห็นธนาคาร ร้องพูดอย่างยินดี “แม่นาง หาเจอแล้ว”
เหวินเปียวนำรถม้าไปจอดหน้าธนาคาร
พนักงานธนาคารเห็นพวกเขาบังคับรถม้าเข้ามา นึกว่าเป็นเศรษฐีใหญ่ รีบเข้ามาต้อนรับ พาเมิ่งเชี่ยนโยวที่ลงจากรถม้าแล้วเข้าไปในร้านอย่างกระตือรือร้น หลังจากชงชามาให้ ถึงถามขึ้น “แม่นาง จะจำนองหรือฝากเงินขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ล้วนไม่ใช่ ข้าจะมาแลกเงินอีแปะ”
ได้ยินนางจะมาแลกเงินอีแปะ ความกระตือรือร้นของพนักงานเริ่มหดหาย แต่ยังคงถามขึ้น “แลกเท่าไหร่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินห้าสิบตำลึงออกมาวางบนโต๊ะ “ขอแลกห้าสิบตำลึงก่อน”
พยักงานนิ่งอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “แลกไม่ได้หรือ?”
พนักงานได้สติกลับมา พูดอย่างลำบากใจ “ได้ก็ได้ ทว่าเช้าตรู่เช่นนี้ พวกเราอาจจะไม่มีเงินอีแปะมากเช่นนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “พอจะแลกได้เท่าไหร่?”
พนักงานตอบ “ข้าก็ไม่รู้ ข้าจะไปถามที่โต๊ะแลกเงินให้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
พนักงานเดินกลับไปข้างโต๊ะแลกเงิน สอบถามกับพนักงานด้านในเสียงเบา คนด้านในหยิบสมุดบัญชีออกมาตรวจดู พูดตัวเลขหนึ่งออกมา
พนักงานเดินกลับมาข้างเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างรู้สึกผิด “แม่นาง มีให้ท่านแลกได้เพียงสิบตำลึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเล็กน้อย เอนตัวพึงพนักเก้าอี้ด้านหลัง ยกน้ำชาขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ธนาคารใหญ่เช่นนี้มีเงินอีแปะให้แลกได้เพียงสิบตำลึง พวกเจ้าคงไม่ได้เห็นข้าเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง จงใจพูดอย่างขอไปทีกับข้าดอกนะ”
พนักงานรีบร้อนอธิบาย “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว เป็นเพราะท่านมาแต่เช้าตรู่จริงๆ พวกเราไม่มีเงินอีแปะมากเช่นนั้นเตรียมไว้”
เมิ่งเชี่ยนโยวจิบน้ำชาอีกคำแล้วพูดว่า “เช่นนั้นไม่เป็นไร พวกเจ้าไปขนถ่ายเข้ามาเพิ่ม ข้ารอที่นี่ได้”
เดิมการที่ร้านเพิ่งเปิดตอนเช้าก็มีเด็กสาวเข้ามาขอแลกเงินอีแปะ พนักงานก็รู้สึกหงุดหงิดใจแล้ว ตอนนี้ได้ยินนางพูดว่าแลกสิบตำลึงไม่พอ ท่าทีของพนักงานจึงยิ่งเย็นชาหมางเมิน พูดว่า “ธนาคารของเรามีแต่ทำการค้าใหญ่ ไม่ได้เตรียมเงินอีแปะมากเช่นนั้นไว้ หากแม่นางไม่พอใจ จะไปแลกที่อื่นก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวสะท้อนสีหน้าขุ่นมัว หันตะโกนออกไปด้านนอก “เหวินหู่!”
เหวินหู่ขานรับ เดินเข้ามา ถามอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง มีสิ่งใดจะสั่งการ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เจ้าไปถามตามท้องถนน ธนาคารที่แม้แต่เงินอีแปะห้าสิบตำลึงก็ไม่มีให้แลก ทั้งยังขับไล่ลูกค้าให้ไปที่อื่น พวกเขายังยินดีจะฝากเงินหรือไม่?”
เหวินหู่รับคำอย่างนอบน้อม สาวเท้าเดินออกไป
พนักงานได้ยินคำพูดนางตกใจตัวลอย หากเรื่องนี้ถูกป่าวประกาศออกไป ธนาคารของพวกเขาเกรงจะไม่มีใครเข้ามาแล้ว รีบเข้าไปขวางเบื้องหน้าเหวินหู่พลัน “แม่นางช้าก่อน ข้าจะไปถามหลงจู๊ ดูว่าพอจะขนถ่ายเงินอีแปะเข้ามาเพิ่มได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวนำเงินห้าสิบตำลึงกลับมาเก็บไว้ที่ตัว พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว พวกเราไปแลกเงินที่ธนาคารอื่นดีกว่า ที่นี่ทำแต่การค้าใหญ่เกรงจะเสียเวลาพวกเจ้าเปล่าๆ”
พนักงานโบกมืออุตลุด “ไม่ยุ่งยากๆ ข้าจะไปถามหลงจู๊เดี๋ยวนี้ รบกวนท่านให้เขารอประเดี๋ยว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำชาขึ้นจิบอีกคำ ถึงพูดว่า “ก็ได้ ข้าจะรออีกเดี๋ยว”
พนักงานโล่งอก ตะลีตะลานเดินไปด้านหลัง
เหวินหู่หันกลับมายืนข้างหลังเมิ่งเชี่ยนโยว
ไม่นานหลงจู๊ก็กุลีกุจอเดินตามพนักงานออกมา พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบร้อนพูด “แม่นางน้อย ท่านอย่าใจร้อน ข้าจะแลกเงินอีแปะให้ท่านเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “มีเงินอีแปะมากเช่นนั้นหรือ?”
หลงจู๊ถลึงตาโพล่งจนพนักงานตกใจตัวสั่นผับๆ พูดว่า “แม่นางพูดล้อเล่นแล้ว ธนาคารพวกเราใหญ่เช่นนี้ จะไม่มีเงินอีแปะห้าสิบตำลึงให้แลกได้อย่างไร เพราะคนงานขี้เกียจพวกนี้ กลัวยุ่งยากถึงได้พูดเช่นนี้ ท่านวางใจ อีกประเดี๋ยวข้าจะลงโทษพวกเขาให้หลาบจำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงนำเงินห้าสิบตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง พูดอย่างมีนัยแฝง “เช่นนั้นก็รบกวนหลงจู๊แล้ว”
หลงจู๊ยิ้มรับ “นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรา ไม่รบกวน”
พูดจบ เตะพนักงาน พูดตวาด “ยังยืนบื้อทำอะไร? ยังไม่รีบไปแลกเงินอีแปะมาให้แม่นาง?”
พยักงานลนลานรับคำ นำเงินบนโต๊ะเดินเข้ามาในโต๊ะแลกเงิน
คนในโต๊ะแลกเงินเห็นหลงจู๊มาถึงก็โมโหเดือดดาล ต่างก็ตกใจไม่น้อย รีบบอกพนักงานเข้าเวรให้ไปยกเงินอีแปะออกมา
พนักงานสองคนวิ่งไปยกเงินมาทันที คนในโต๊ะแลกเงินชั่งน้ำหนักเงิน ไม่ขาดไม่เกินได้ห้าสิบตำลึงพอดี
เงินอีแปะหนึ่ง**บหนักมาก พนักงานสองคนเดินโยกไปเยกมาพักใหญ่ถึงแบกออกมา
คนที่มีหน้าที่รับแลกเงินนับเงินอีแปะห้าสิบตำลึงเสร็จ บรรจุใส่**บ พยักหน้าให้พนักงาน
พนักงานวิ่งออกมา พูดกับหลงจู๊ “หลงจู๊ แลกเสร็จแล้วขอรับ”
หลงจู๊ตวาดกลับ “ยังไม่รีบยกออกมา?”
พนักงานรับคำ เดินเข้าไปในโต๊ะแลกเงินยก**บเงินอีแปะพร้อมพนักงานอีกคนออกมาอย่างทุลักทุเล วางไว้เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
หลงจู๊เปิด**บออก พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง นับจำนวนดูก่อนว่าครบหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว เชื่อว่าสถานประกอบการใหญ่โตอย่างธนาคารของท่านจักต้องไม่ทำเรื่องบกพร่อง”
หลงจู๊ได้ฟังปิด**บลง พูดว่า “ขอบคุณแม่นางที่ไว้วางใจพวกเรา ภายหน้าหากมีธุรกรรมการเงินใด ขอให้มาดำเนินการที่ธนาคารของพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “หากครั้งหน้าข้ายังจะแลกเงินอีแปะมากกว่านี้เล่า? ยังมาที่ธนาคารของพวกท่านอีกได้หรือไม่?”
หลงจู๊ชะงักอึ้ง แล้วพูดว่า “ย่อมได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะแลกเงินอีแปะเท่าไหร่ พวกเราก็มีให้ท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาพูด “เช่นนั้นก็ดี ข้ายังนึกกลัดกลุ้มใจอยู่ว่าครั้งหน้าจะแลกเงินสองร้อยตำลึงที่ไหนดี”
หลงจู๊ได้ฟังเข่าทรุดเข่าอ่อน เกือบจะล้มคมำ
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พูดสั่งเหวินหู่ “ยกเงินอีแปะนี้ไปไว้บนรถม้า”
เหวินหู่รับคำ ยก**บบรรจุเงินอีแปะเดินออกไป
หลงจู๊และพนักงานเห็นเขายก**บเงินออกไปคนเดียว ก็ตะลึงอ้าปากค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มเดินออกไป
เหวินหู่วาง**บไว้บนรถม้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้า สั่งการเหวินเปียว “ไปหมู่บ้านหลี่”
เหวินเปียวขานรับ คิดจะบังคับรถม้าเดินทางกลับ ไม่คิดว่าบนท้องถนนจะมีคนจำนวนมากวิ่งตรงมา วิ่งไปพลางร้องตะโกนบอกคนรู้จัก “รีบไปดูเถอะ ทางนั้นมีคนวิวาทกันแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ
กระทั่งกลุ่มคนจากไป เหวินเปียวถึงบังคับรถม้าค่อยๆ เดินทางกลับ
ตามท้องถนนมีคนทยอยวิ่งไปดูเรื่องสนุกไม่ขาด
มีสองคนในนั้นวิ่งไปพลางพูดขึ้นว่า “หลายปีก่อนเขาอวดเบ่งบารมีอยู่ในเมืองมานาน กระทำแต่เรื่องต่ำช้า วันนี้ถูกตีจนตาย ก็สมน้ำหน้าแล้ว”
อีกคนพูดขึ้นอีกว่า “ก็ใช่นะสิ ทว่าข้าได้ยินว่าคนที่ตีเขาเคยเป็นเพื่อนรักของเขา ไม่รู้ว่าทั้งสองคนมีความแค้นอะไรต่อกัน ถึงต้องลงมือเ**้ยมโหดเช่นนั้น แม้แต่เด็กหนุ่มที่มาพร้อมกับเขาก็ถูกตีไม่น้อยด้วย”
ทั้งสองวิ่งไกลออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ร้องตะโกนเสียงลั่น “เหวินเปียว!”
เหวินเปียวหยุดรถม้า ถามอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง มีอะไรจะสั่งการ?”
“หันหัวม้า ไปดูที่ตลาดสดว่าใครทะเลาะวิวาท?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินเปียวรีบหันหัวม้า วิ่งตามผู้คนที่วิ่งไปเบื้องหน้า มองเห็นฝูงชนล้อมตลาดสดเบียดเสียดจนแน่นขนัด ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง
พอจอดรถม้าสนิท เหวินเปียวบอกเหวินหู่ “เจ้าเข้าไปดู”
เหวินหู่พยักหน้า เบียดกลุ่มคนเข้ามาถึงด้านหน้าอย่างยากลำบาก เห็นสถานการณ์ด้านใน ก็ให้ตกใจอ้าปากค้าง ได้เห็นเมิ่งเสียวเถี่ยในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นนอนฟุบไปกับพื้น ส่วนเมิ่งฉีที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยกำลังถูกพวกที่คล้ายนักเลงสองสามคนรุมจนไร้หนทางตอบโต้กลับ
เหวินหู่ร้องตะโกน “นายน้อย!” ทะยานเข้าไปร่วมวงกับพวกเขา ทั้งสองร่วมมือกันจัดการคนพวกนั้นล้มมอบไปกับพื้น
เมิ่งฉีวิ่งกระหืดกระหอบมาข้างกายเมิ่งเสียวเถี่ย กัดฟันประคองเขาขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวคลับคล้ายคลับคลาจะได้ยินเสียงร้องตะโกนของเหวินหู่ เลิกม่านบังรถออก ลงจากรถม้า สาวเท้าเดินไปยังฝูงชนที่ห้อมล้อมอยู่
เดินมาถึงด้านนอกกลุ่มคน เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะเข้าไป จำใจที่คนมาดูเรื่องสนุกมากเกินไป ด้วยรูปร่างของนางไม่อาจเบียดเข้าไปได้เลย ขบคิดครู่หนึ่ง แผดเสียงร้องดังลั่น “เจ้าหน้าที่มาแล้ว ทุกคนหลีกทางเดี๋ยวนี้”
ได้ยินเสียงตะโกนของนาง คนที่รายล้อมแยกออกเป็นทางโดยอัตโนมัติ เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปด้านใน
พอเห็นว่ามีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินเข้ามา ผู้คนต่างคลางแคลงใจ “ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่มาแล้วชัดๆ ทำไมถึงมีแค่เด็กสาวเดินเข้ามาคนเดียว”
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว แววตาล่อกแล่ก
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งฉีร้องตะโกนอย่างยินดี “น้องสาว!”
เห็นสภาพของพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วยู่ย่น เดินมาข้างพวกเขา ถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เมิ่งฉีด้านหนึ่งประคองเมิ่งเสียวเถี่ยอย่างทุลักทุเล อีกด้านชี้คนพวกนั้นแล้วตอบ “วันนี้ข้ากับอาสี่เพิ่งจะซื้อกับข้าวเสร็จ กลับเจอพวกเขาเข้า ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ พวกเข้าต้องพุ่งตรงเข้ามาลงมือกับพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวช้อนนัยน์ตามอง แสยะยิ้มอำมหิต เดินไปตรงหน้าคนพวกนั้นพูดอย่างคลุมเครือลับเร้น “หวังจิ่ว ไม่เจอกันนาน คิดถึงเหลือเกิน”
หวังจิ่วจ้องนางอย่างเคืองขุ่น
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มถาม “เหมือนข้าจะจำได้ว่าข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้วอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าคนในครอบครัวข้าอีก หรือช่วงเวลาสั้นๆ นี้เจ้าก็ลืมไปหมดแล้ว จะให้ข้าช่วยฟื้นความจำหรือไม่?”
หวังจิ่วเห็นรอยยิ้มนางขนลุกชูชัน ตัวสั่นเทิ้มก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว