ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 162.2
เหวินเปียวบังคับรถม้ามุ่งหน้าไปหมู่บ้านหลี่ ลังเลใจจะพูดหลายครั้ง คล้ายว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสังเกตเห็นปฏิกิริยาเขา พูดว่า “มีอะไรก็พูดมาตามตรง อึกๆ อักๆ ข้าเห็นแล้วรำคาญ”
เหวินเปียวถามอย่างระวัง “เมื่อครู่คือนายน้อยซุนแห่งร้านยาเต๋อเหรินเมืองหลวงใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ใช่ เหวินซื่อ เมื่อครู่เขายังพูดว่าเมื่อก่อนพวกเจ้ามักมีการค้าร่วมกัน”
เหวินเปียวลองหยั่งเชิงถามอีกครั้ง “เช่นนั้นเขาไม่ได้บอกแม่นางว่าพวกเรากระทำความผิดใด?”
“ข้าถามแล้ว เขาไม่ได้พูด เพียงบอกให้ข้าขายพวกเจ้าไป”
เหวินเปียวนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงถามขึ้น “เช่นนั้นแม่นางตัดสินใจว่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างเบาสบาย “ข้าซื้อพวกเจ้ามาแล้ว พวกเจ้าก็คือคนของข้า ข้าเป็นคนโง่สิถึงจะขายพวกเจ้าไปอีก”
เหวินเปียวยินดี ถามเสียงเบา “เช่นนั้นแม่นางไม่กลัวพวกเราจะสร้างภาระให้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “วางใจเถอะ บ้านนอกคอกนาที่นี่ ปีหนึ่งได้เห็นคนในเมืองผ่านเข้ามาไม่กี่มากน้อย เรื่องที่พวกเจ้าเป็นกังวลไม่มีวันเกิดขึ้น”
ความว้าวุ่นใจของเหวินเปียวในที่สุดก็สงบลงได้ ค่อยๆ ถอนใจโล่งอก
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงทอดถอนใจของเขา แอบยิ้มกรุ่มกริ่มในรถม้า
มาถึงบ้านจางจู้ เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า ร้องตะโกนจากนอกประตู “ท่านตาท่านยาย ข้ามาแล้ว!”
เมื่อวานพ่อแม่จางจู้ได้ยินจางจู้บอกว่าวันนี้จะมีคนนำเงินอีแปะมาส่งให้ ดังนั้นจึงเฝ้าอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน ได้ยินเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวร้องตะโกน ต่างก็ดีใจเดินออกมาจากบ้าน แม่จางจู้ยิ้มพูด “ยายรอให้เจ้ามาทุกวัน ในที่สุดวันนี้เจ้าก็มาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกอย่างดีใจ สั่งเหวินเปียวให้นำรถม้าไปผูกใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าประตูบ้าน แล้วยก**บเงินอีแปะเข้ามา
แม่จางจู้ดึงมือนาง พูดอย่างรักใคร่ “เหนื่อยหรือเปล่า รีบเข้ามาในบ้าน ยายจะเทน้ำให้กินก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามแม่จางจู้เข้ามาในบ้าน เหวินเปียวยก**บเงินเดินตามหลังมา
เข้ามาถึงในบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้เหวินเปียววาง**บลงบนพื้น แล้วเปิดออก
แม่จางจู้เห็นเงินอีแปะเต็ม**บก็ร้องอุทาน “คุณพระช่วย ทั้งหมดนี้กี่อีแปะเรอะ?”
พ่อจางจู้ก็ตกใจถลึงตาโต
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการตะลึงพรึงเพริดของพวกเขา พูดว่า “นี่เป็นเงินอีแปะห้าสิบตำลึงที่ข้าเพิ่งแลกมาจากในเมือง เก็บไว้ที่นี่ หากใครต้องการตัดเงินค่าแรง ก็ให้ลุงใหญ่เอาไปให้เขา”
พ่อแม่จางจู้เกือบตาลายเพราะเงินอีแปะเหล่านี้ ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้สติกลับมา แม่จางจู้พูดอย่างเป็นกังวล “ทั้งหมดนี้เยอะเกินไปแล้ว เก็บไว้ในบ้านหากมีคนมาขโมยจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนนางยิ้มพูด “ท่านยาย ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้คนในหมู่บ้านต่างก็ไปทำงานบนภูเขาร้าง ไม่มีคนมาคิดพะวงถึงเงินอีแปะพวกนี้ดอก”
พ่อจางจู้ไม่เห็นด้วย “ก็เพราะคนในหมู่บ้านน้อย เก็บเงินอีแปะมากเช่นนี้ไว้ในบ้านถึงไม่ปลอดภัย หากมีคนคิดไม่ซื่อ ข้ากับยายเจ้าร้องเรียกใครก็ไม่มีใครได้ยิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเพียงแค่อยากแลกเงินอีแปะมาทีเดียว ไม่ได้คิดถึงปัญหาเหล่านี้ เห็นสองผู้เฒ่าวิตกกังวลเช่นนี้ จึงพูดว่า “เพราะข้าไม่คิดให้รอบคอบเอง เอาอย่างนี้ ข้าจะเก็บไว้ที่นี่จำนวนหนึ่ง ตอนขากลับข้าค่อยนำส่วนที่เหลือกลับไป”
พ่อแม่จางจู้พยักหน้า “เช่นนี้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นพวกเราวันๆ ต้องเอาแต่อกสั่นขวัญแขวนมานั่งเฝ้าเงินอีแปะมากมายพวกนี้”
ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินรวมถึงเด็กๆ หาบน้ำไปส่งกลับมา เห็นรถม้าจอดอยู่หน้าประตู ก็รู้ทันทีว่ามีคนมา เดินเข้ามาในลานบ้าน ภรรยาจางจู้ก็ร้องถาม “ท่านพ่อท่านแม่ มีใครมาหรือ”
แม่จางจู้ขานรับอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์มานะ พวกเจ้ารีบเข้ามา”
ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินวางคานหาบที่ไหล่ลง รีบเดินเข้าบ้าน เห็นเงินอีแปะเต็ม**บก็ให้ตกอกตกใจ เด็กทั้งหมดยิ่งตกใจระคนดีใจ นั่งยองโปรยเงินอีแปะใน**บเล่น
ภรรยาจางจู้ตวาดพวกเขา “อย่าเล่นซี้ซั้ว ทำเสียหายไปจะลำบาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ป้าใหญ่ นี่เป็นเงินอีแปะ ไม่เสียหายดอก”
ภรรยาจางจู้ตบหน้าผาก “แหม บ้านเราแร้นแค้นมานาน เวลาไปบ้านคนอื่นกลัวลูกเต้าจะไปทำข้าวของบ้านเขาพังไม่มีเงินชดใช้ ถึงตวาดจนชินปาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวขบขันต่อท่าทางของนาง
ภรรยาจางเกินพูดขึ้น “เมิ่งเชี่ยนโยว วันนี้เที่ยงกินข้าวที่นี่นะ ป้ารองกับป้าใหญ่จะไปนวดเส้นบะหมี่ให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบปฏิสเธ “ไม่ล่ะ ป้ารอง ในบ้านยังมีเรื่องอีกมากให้ทำ ข้ายังต้องรีบกลับไป”
แม่จางจู้อาวรณ์ “กลับไปช้าหน่อยก็ไม่ทำให้เสียงานอะไรมาก เจ้าฟังป้ารอง วันนี้อยู่กินข้าวเที่ยงที่นี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนพูด “ท่านยาย ไม่ได้จริงๆ ตอนพี่รองและอาสี่เข้าไปซื้อผักในเมือง เกิดปะทะกับคนที่นั่น ข้าต้องรีบกลับไปดู”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ภรรยาจางจู้ถามอย่างเป็นห่วง “ฉีเอ๋อร์ไม่เป็นไรนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าพาพวกเขาไปหาหมอในเมืองแล้ว พี่รองแค่ถูกตีไม่กี่ครั้ง ไม่เป็นอะไรมาก อาสี่ค่อนข้างหนัก ยาที่ข้าจัดมาให้เขายังอยู่บนรถม้า ข้าต้องรีบนำกลับไปต้มให้เขาดื่ม”
เรื่องคนเจ็บจะรอช้าไม่ได้ พ่อจางจู้รีบพูด “เช่นนั้นก็อย่ารอช้าเลย พวกเจ้ารีบกลับไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวให้ภรรยาจางจู้หา**บมาใบหนึ่ง ตักเงินอีแปะจำนวนหนึ่งออก แล้วสั่งเหวินเปียวให้ยกส่วนที่เหลือขึ้นรถม้า บอกลาคนทั้งครอบครัว ขึ้นนั่งบนรถม้าเดินทางกลับบ้านใหญ่เมิ่ง
หลังจากแยกกับเมิ่งเชี่ยนโยว เหวินหู่บังคับรถม้ามาส่งเมิ่งเสียวเถี่ยที่บ้านก่อน
หญิงชราเมิ่งเห็นสภาพร่อแร่ของเมิ่งเสียวเถี่ยก็ให้เจ็บปวดใจ เร่งเร้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น
จนถึงตอนนี้เมิ่งฉีก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถูกรุมทำร้าย ย่อมพูดไม่ออก
เมิ่งเสียวเถี่ยยิ่งปิดปากสนิท ไม่กล้าปริปาก
หญิงชราเมิ่งพร่ำพูดโวยวายเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวตัวเอง มีแต่เรื่องเลวร้ายไม่หยุดหย่อน
เมิ่งฉีให้เหวินหู่นำผักที่ซื้อมาส่งไปบ้านหลี่ต้าฉุย ส่วนตัวเองจะอยู่ดูแลเมิ่งเสียวเถี่ย
เมิ่งจงจวี่เห็นเขาก็มีสภาพย่ำแย่ พูดห้ามปราบ “เด็กดี ดูท่าแล้วเจ้าก็เจ็บไม่น้อยเช่นกัน รีบกลับไปพักผ่อนที่บ้าน อาสี่เจ้าเดี๋ยวพวกเราดูแลเอง”
หญิงชราเมิ่งก็หว่านล้อมเขา
เมิ่งฉีจำต้องกลับบ้าน มาถึงหน้าประตูบ้าน ฉวยโอกาสที่เมิ่งชื่อไม่สังเกตเห็น แอบย่องกลับเข้าห้องตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วแสร้งทำเป็นเดินออกมาจากในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวถือห่อยาเดินเข้ามาบ้านใหญ่ เจอเมิ่งอี้ที่เพิ่งจะเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เมิ่งเสียวเถี่ยเสร็จ พูดว่า “พี่เมิ่งอี้ นี่เป็นยาที่จัดมาให้อาสี่ รบกวนท่านนำไปต้มมาหนึ่งเทียบ”
เมิ่งอี้ตกใจถาม “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอาสี่บาดเจ็บ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างกระชับ “ข้าผ่านไปโดยบังเอิญ เห็นพวกอาสี่ถูกรุมทำร้าย พอจัดการคนกลุ่มนั้นแทนพวกเขาแล้ว ก็พาพวกเขาไปโรงหมอ” พูดจบก็ส่งยาในมือให้เมิ่งอี้
หญิงชราเมิ่งได้ยินเสียงเดินออกมาจากในห้อง ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เมื่อครู่ยายถามฉีเอ๋อร์แล้ว เขาบอกไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกตี เจ้ารู้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก ตอบว่า “เป็นหวังจิ่ว”
หญิงชราเมิ่งพลันนึกไม่ออกว่าหวังจิ่วเป็นใคร
เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนสตินาง “ก็คือคนที่มาลักลอบคบชู้กับหลี่ชุ่ยฮวา”
หญิงชราเมิ่งถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง ก่นด่า “ที่แท้ก็เจ้าเดรัจฉานนั่น เขากระทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมเช่นนั้น เถียเอ๋อร์ไว้ชีวิตเขา เหตุใดเขายังลงมือเ**้ยมโหดกับเถียเอ๋อร์ได้อีก? หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นไม่สมควรไว้ชีวิตเขา”
พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด ความจริงสถานการณ์ในตอนนั้น หากจัดการเก็บหวังจิ่วจริงๆ สกุลเมิ่งจะยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม เศรษฐีอู๋จะต้องใช้อำนาจบดขยี้พวกเขา แต่ตอนนี้สกุลเมิ่งไม่เหมือนก่อนแล้ว การจะจัดการหวังจิ่วคนชั่วช้านี้ ย่อมง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงตอบกลับเบาๆ “ท่านย่า ต่อไปเขาไม่กล้าแล้ว”
หญิงชราเมิ่งไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อธิบายต่อ เดินเข้ามาในบ้าน มองเมิ่งเสียวเถี่ยที่นอนซึมกระทื่อดวงตาทั้งสองปิดสนิท เอ่ยปากพูดว่า “ข้ามีวิธีทำให้ท่านไม่ต้องถูกคนอื่นรังแกอีก”
เมิ่งเสียวเถี่ยเบิกตาโพลง มองนางอย่างเต็มไปด้วยความหวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวทิ้งไว้เพียงประโยคหนึ่ง “รอท่านหายดีค่อยบอก” แล้วหันหลังจากไป
เมิ่งเสียวเถี่ยมองไปทางประตูเป็นนาน ทบทวนคำพูดของนางอย่างละเอียดว่าจริงหรือหลอก
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาหญิงชราเมิ่ง กลับมาที่บ้านตัวเอง
เมิ่งชื่อและกลุ่มหญิงสาวทำงานเร็ว กองผ้าในห้องฝั่งตะวันตกไม่นานก็ถูกพวกเขาใช้หมด คนทั้งหมดกำลังพูดถึงเรื่องนี้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา เมิ่งชื่อถามนาง “โยวเอ๋อร์ ผ้าในบ้านใช้ใกล้หมดแล้ว กระเป๋านักเรียนก็มีเก็บไว้ไม่น้อยแล้ว เจ้าดูก่อนว่ายังต้องเย็บกระเป๋านักเรียนเพิ่มหรือไม่?”
กลุ่มหญิงสาวมองนางด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวนางจะพูดว่าไม่ต้องเย็บแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ตอบกลับทันควัน “พวกท่านเย็บต่อไม่ต้องหยุด สองสามวันนี้ข้าจะไปซื้อผ้าคุณภาพรองอีกจำนวนหนึ่งกลับมา”
กลุ่มหญิงสาวค่อยโล่งใจ
เห็นท่าทางพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่าพวกเขากังวลเรื่องอะไร พูดปลอบใจ “พวกท่านเย็บกระเป๋านักเรียนให้สบายใจเถอะ ไม่ว่าบ้านข้าจะมีเหลือเก็บเท่าไหร่ ก็ต้องจ่ายค่าแรงพวกท่านจนครบ”
หญิงสาวคนหนึ่งพูดว่า “นายหญิง พวกเราไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเราแค่กลัวว่างานดีๆ เช่นนี้ชั่วอึดใจเดียวก็จะไม่มีแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกท่านวางใจ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ข้าวางแผนจะทำการค้ากระเป๋านักเรียนระยะยาว หากหยุดทำเร็วเช่นนี้ ผ่านไปอีกสักระยะพอกระเป๋านักเรียนของข้าขายดี ข้าไม่ร้องไห้ขาดใจตายหรือ”
กลุ่มหญิงสาวได้ยินก็วางใจ ทำงานในมือตัวเองอย่างสบายใจ