ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 165-3 พูดหว่านล้อม
วันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวให้สะใภ้สกุลเมิ่งทั้งสามคนทำตามที่ตัวเองบอก หั่นมันฝรั่งเป็นชิ้นเล็กๆ แตกต่างกัน แต่ละชิ้นจะต้องมีหน่ออ่อนอยู่ด้วย ส่วนเมิ่งชิงและเมิ่งเจี๋ยมีหน้าที่นำมันฝรั่งที่หั่นเสร็จแล้ววางพลิกหน่ออ่อนหงายขึ้นฟ้า สะใภ้ซุนก็เดินกระวีกระวาดเข้ามา พูดกับนาง “นายหญิง พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ข้าพาอิงจื่อมา บอกว่ามีเรื่องจะพูดกับท่าน ตอนนี้กำลังรออยู่ที่บ้านข้า”
ภรรยาเมิ่งต้าจินหยุดชะงักมือที่หั่นมันฝรั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ล้างมือ ตามสะใภ้ซุนมาถึงบ้านพวกเขา
พ่อแม่อิงจื่อเห็นนางเข้ามา รีบลุกขึ้นยืน เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายพวกเขาอย่างมีมิตรไมตรี ให้พวกเขานั่งลง
หลังจากพ่ออิงจื่อนั่งลง ก็พูดขึ้นทันที “วันนี้พวกเรามาเรื่องงานแต่งงานของอิงจื่อ พวกเราตัดสินใจแล้ว จะไม่ถอนหมั้น แต่พวกเรามีเงื่อนไข”
เมิ่งเชี่ยนโยวคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกเขาจะไม่ถอนหมั้น จึงไม่ประหลาดใจอะไร ยิ้มถาม “มีเงื่อนไขใด เชิญพูด”
พ่ออิงจื่อพูดว่า “พวกเราอยากให้อิงจื่ออยู่ที่บ้านก่อนหนึ่งปี รอให้ถึงปีหน้าค่อยแต่งงาน” พูดจบกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจผิด รีบร้อนอธิบายต่อว่า “พวกเรามิได้ต้องการข่มขู่พวกเจ้า เดิมพวกเราคิดว่าอิงจื่ออายุยังน้อย อยากให้นางอยู่ที่บ้านก่อนอีกสักปี เป็นพวกเจ้าที่เอาแต่รบเร้า พวกเราถึงรับปากให้พวกเขาแต่งงานอย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับเมิ่งเหริน ก็ประจวบเหมาะให้อิงจื่ออยู่บ้านต่ออีกสักปี เมิ่งเหรินจะได้มีเวลาทบทวนความผิดอย่างถี่ถ้วนด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ ข้าจะไปเรียกท่านป้าใหญ่มา พวกท่านพูดกับนางเองเถอะ”
แม่อิงจื่อบอกปฏิเสธ “อิงจื่อและเมิ่งเหรินยังไม่ได้แต่งงานกัน พวกเราสองครอบครัวเจอหน้ากันแบบนี้ไม่เหมาะสม เอาอย่างนี้เถอะ วันนี้พวกเราก็ไม่มีธุระอะไร จะอยู่บ้านน้องสะใภ้จนถึงเที่ยง เจ้ากลับไปปรึกษากับพวกเขาก่อน ดูว่าพอจะรับเงื่อนไขของพวกเราได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่มีความเห็นแย้ง ลุกขึ้นพลัน “ได้ ข้าจะกลับไปถามเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้านโดยไว นำเงื่อนไขของบ้านอิงจื่อบอกให้ภรรยาเมิ่งต้าจินฟัง
ภรรยาเมิ่งต้าจินได้ยินว่าพวกเขาไม่ถอนหมั้น ก็ให้โล่งใจ แต่พอได้ยินว่าปีหน้าถึงจะให้อิงจื่อแต่งงาน ก็เริ่มไม่พอใจ “ปีนี้เหรินเอ๋อร์อายุสิบแปดปีแล้ว แต่งงานตอนนี้ก็นับว่าล่วงมามากแล้ว หากให้รอถึงปีหน้า เกรงจะเป็นที่ขบขันของคนอื่นได้”
เมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งซานถงก็รู้สึกว่าจะแต่งงานปีหน้าไม่ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกลำบากใจ แนะนำให้ไปปรึกษาเมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่ง ให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจ
ภรรยาเมิ่งต้าจินก็เห็นพ้อง วางงานในมือ กลับมาบ้านใหญ่พร้อมนาง บอกเงื่อนไขของพ่อแม่อิงจื่อกับสองผู้เฒ่าเมิ่ง หญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินคิดเหมือนกัน ย่อมไม่เห็นด้วย เมิ่งจงจวี่ที่หลังจากได้ฟังกลับทอดถอนใจ “เหรินเอ๋อร์มีพ่อตาแม่ยายเช่นนี้ นับว่าเป็นวาสนาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม
เมิ่งจงจวี่ตะโกนไปยังห้องเมิ่งเหริน “เหรินเอ๋อร์ เจ้าออกมาหน่อยเถอะ”
เกิดเสียงกุกๆ กักๆ ขึ้นในห้องเมิ่งเหริน ครู่ใหญ่เมิ่งเหรินถึงเดินอย่างเชื่องช้าออกมา
เมิ่งจงจวี่ว่ากล่าวเขา “ดูเจ้าเสื้อผ้าหลุดลุ่ย จิตใจเลื่อนลอย ไม่เป็นผู้เป็นคนสักนิด?”
เมิ่งเหรินไม่พูดอะไร เพียงยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
เมิ่งจงจวี่ถามเขา “ปู่ถามเจ้า ตอนนี้เจ้าอยากแต่งงานหรือไม่?”
เมิ่งเหรินตอบอย่างไม่แยแส “แล้วแต่พวกท่าน พวกท่านให้ข้าแต่งข้าก็แต่ง พวกท่านไม่ให้ข้าแต่งข้าก็ไม่แต่ง”
เมิ่งจงจวี่โมโหเดือดดาล “เจ้าเศษสวะ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต เจ้ากลับมาพูดอย่างขอไปที”
เข้าสอบขุนนางไม่ได้ หมดสิ้นความหวัง หลายวันมานี้เมิ่งเหรินมีชีวิตผ่านไปวันๆ ความโกรธแค้นอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ ได้ยินเมิ่งจงจวี่ดุว่าเขา ความโกรธแค้นในใจพลันปะทุออกมา ร้องอาละวาดใส่เมิ่งจงจวี่อย่างไม่แยแส “พวกท่านไม่ให้ข้าไป ข้าก็ไม่ไป พวกท่านให้ข้าแต่งงาน ข้าก็ไม่คัดค้าน แบบนี้พวกท่านยังไม่พอใจ พวกท่านอยากให้ข้าทำอย่างไรกันแน่?”
ภรรยาเมิ่งต้าจินไม่คิดว่าเมิ่งเหรินจะกล้าเถียงเมิ่งจงจวี่ พูดเสียงสั่น “เหรินเอ๋อร์ พูดกับท่านปู่เช่นนี้ได้อย่างไร? รีบขอโทษท่านปู่เดี๋ยวนี้”
เมิ่งเหรินโมโหจนหน้าอกกระเพื่อม ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเยาะหยัน “พี่ใหญ่พูดผิดแล้ว ไม่ใช่พวกเราไม่ให้ท่านไปเรียนหนังสือ แต่เป็นท่านเองที่ทอดทิ้งการเรียนหนังสือ?”
เมิ่งเหรินหันเปลี่ยนทิศทาง “ข้าทอดทิ้งการเรียนอย่างไร เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ไม่ให้ข้าไป?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “เหตุใดพวกเราถึงไม่ให้ท่านไป? ท่านเคยคิดหรือไม่?”
เมิ่งเหรินยังคงเกรี้ยวกราด “ก็เพราะข้าแอบใช้เงินที่เมิ่งอี้ฝากมาให้ครอบครัวโดยพลการอย่างไรเล่า? แค่เพราะเรื่องเล็กน้อยนี้ พวกเจ้าก็ตัดเส้นทางการสอบขุนนางข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พี่ใหญ่ยังคงไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดที่ตรงไหน เงินทองเป็นเรื่องเล็ก สิ่งสำคัญคือพฤติกรรมของท่าน ท่านถูกครอบครัวตามใจจนเหลิง อยากได้อะไรก็ได้ ไม่เคยเข้าใจความลำบากภายในครอบครัวเลย ข้าขอถามท่าน ตอนที่ท่านใช้เงินก้อนนี้ ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ เพื่อหาเงินก้อนนี้ พี่รองต้องไม่ได้กลับบ้านปีกว่า ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ เงินก้อนนี้ คือค่าใช้จ่ายให้ท่านเรียนหนังสือหนึ่งปี ท่านคงยิ่งไม่เคยคิดเลยว่า เงินก้อนนี้จะทำให้ครอบครัวมีกินมีใช้ไปหนึ่งปี เพื่อความปรารถนาของตัวเอง ไม่สนใจความลำบากของพี่รอง ความเหนื่อยยากของครอบครัว ใช้เงินก้อนนั้นไปโดยไม่ลังเลสักนิด ท่านไม่รู้จักความทุกข์ยากของประชาราษฎร์ พวกเราจะให้ท่านไปเข้าสอบขุนนาง ให้ภายหน้ายิ่งสร้างภัยพิบัติแสนเข็ญต่อผู้คนอีกมากได้อย่างไร?”
เมิ่งเหรินนิ่งงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “โดยเฉพาะท่านในตอนนี้ ท่านยังไม่ตระหนักถึงความผิดของตัวเอง ยังกล้ากำเริบเสิบสานโต้เถียงท่านปู่ แม้แต่คุณธรรมพื้นฐานแปดประการ[1]ท่านก็ยังไม่มี ท่านเข้าสอบขุนนางไปจะมีประโยชน์ใด?”
เมิ่งเหรินลนลานอธิบาย “ข้ามิได้มีเจตนาจะโต้เถียงท่านปู่ ข้าเพียงควบคุมตัวเองไม่ได้ชั่ววูบ ถึงระเบิดอารมณ์ใส่ท่านปู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านมิได้ควบคุมตัวเองไม่ได้ชั่ววูบ เกรงว่าท่านจะเคียดแค้นท่านปู่สุดขีดแล้ว ถึงได้ระเบิดอารมณ์ต่อท่านปู่”
เมิ่งเหรินลนลานโบกปัดมือ “ข้าไม่ได้เคียดแค้นท่านปู่ ข้าเพียงแค่รับไม่ได้ไปชั่วขณะ พวกเจ้าไม่ให้ข้ากลับไปเรียนหนังสือ ชาตินี้ข้าไม่มีวันได้สลักอักษรบนป้ายทอง ได้นำเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูลแล้ว”
ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ช่วยพูด “โยวเอ๋อร์ พวกเราต่างหวังดีต่อเหรินเอ๋อร์ เขาจะเคียดแค้นชิงชังได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจภรรยาเมิ่งต้าจิน ยังคงพูดกับเมิ่งเหริน “พี่ใหญ่คิดผิดแล้ว ท่านปู่ไม่อนุญาตท่านเข้าสอบขุนนางตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าภายหน้าก็จะไม่อนุญาตท่านเข้าสอบขุนนาง ขอเพียงท่านเข้าใจความทุกข์ยากของชีวิต ลบความคิดหมายแต่จะเสพสุข ท่านปู่ย่อมอนุญาตให้ท่านเข้าสอบขุนนาง”
เมิ่งเหรินได้ฟังเช่นนั้นเบิกตาโพลง ถามอย่างยินดี “เจ้าพูดเป็นความจริง? ภายหน้าท่านปู่จะยอมให้ข้าเข้าสอบขุนนาง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อยู่ที่การประพฤติตัวของท่านแล้ว ท่านจะรู้แจ้งถึงความผิดของตนเอง ทั้งแก้ไขข้อผิดพลาด ออกมาจากใจจริง มิใช่ทำพอเป็นพิธีแค่ผิวเผิน ท่านปู่จะต้องยินยอมตกลง”
เมิ่งเหรินหันกลับไปหาเมิ่งจงจวี่ ถามอย่างไม่เชื่อ “ท่านปู่ น้องโยวเอ๋อร์พูดเป็นความจริง?”
เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจยาว “เสียแรงที่เจ้าร่ำเรียนมาหลายปี กลับคิดอ่านแตกฉานสู้นางไม่ได้”
เมิ่งเหรินคุกเข่าลงดัง “พลั่ก” พูดด้วยใจจริง “ท่านปู่ ข้าซาบซึ้งในความตั้งใจดีของท่านแล้ว ท่านวางใจ ข้าจะไม่ใช้ชีวิตอย่างซังกะตายไปวันๆ อีกเด็ดขาด นับแต่วันนี้ไป พวกท่านให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำสิ่งนั้น”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้าปลาบปลื้มใจ “เมื่อเป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงไปช่วยโยวเอ๋อร์ทำความสะอาดที่รกร้างพร้อมคนในครอบครัวเถอะ”
เมิ่งเหรินพยักหน้ารับคำ “อีกประเดี๋ยวข้าจะไป” พูดจบหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “ขอบใจน้องโยวเอ๋อร์ที่เตือนสติข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจริงจังกับเขา “ข้าไม่ได้ทำเพื่อท่าน ข้าทำเพื่ออิงจื่อ ข้าทำใจเห็นผู้หญิงที่ดีเช่นนั้นต้องมาทุกข์ทรมานเพราะท่านไม่ได้”
เมิ่งเหรินโบกมือทันควัน “ไม่มีทางๆ อิงจื่อนำโชควาสนาที่ดีขนาดนี้มาให้ข้า เมื่อแต่งงานกันแล้วข้าจักต้องปฏิบัติดีต่อนาง”
หญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินมองเมิ่งเหรินที่ในที่สุดก็ได้สติแล้ว ต่างยิ้มร่ายินดี
เมิ่งจงจวี่ถามเขา “เช่นนั้นเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับวันแต่งงาน?”
เมิ่งเหรินครุ่นคิด ตอบอย่างขึงขัง “ข้าอายุไม่น้อยแล้ว แต่งงานปีหน้าล่าช้าเกินไป เอาเช่นนี้ พวกเราพบกันครึ่งทาง ท่านไปถามพ่อแม่อิงจื่อ แต่งงานสิ้นปีได้หรือไม่?”
หญิงชราเมิ่งก็รู้สึกว่ากำหนดเป็นช่วงสิ้นปีก็ดี รบเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวให้รีบไปถาม
เมิ่งจงจวี่กลับพูดว่า “ไม่ต้องไปถามแล้ว เมื่อพ่อแม่อิงจื่อต่างก็มาแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องใส่ใจขนบธรรมเนียมอะไรอีก เชิญพวกเขามากินข้าวที่บ้านสักมื้อ ข้ามีเรื่องจะได้พูดกับพวกเขาโดยตรง”
หญิงชราเมิ่งไม่เห็นด้วย “พวกเราทำเช่นนี้คนในหมู่บ้านจะนินทาเอาได้”
เมิ่งจงจวี่ยืนยัน “ก็แค่กินข้าวกับบ้านฝ่ายหญิงเท่านั้น พวกเขาอยากนินทาก็ให้นินทาไป ข้ายังไม่สนใจ เจ้าจะสนใจอะไร?”
หญิงชราเมิ่งไม่เข้าใจว่าวันนี้เมิ่งจงจวี่เป็นอะไรไป? เหตุใดต้องดื้อรั้นเชิญพ่อแม่อิงจื่อมากินข้าวบ้านตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความคิดเมิ่งจงจวี่ รับคำอย่างยินดี “ทราบแล้ว ท่านปู่ ข้าจะไปเชิญพวกเขามาเดี๋ยวนี้”
พูดจบหันหลังก้าวอาดๆ ออกไป
ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ไม่เข้าใจ ทำหน้าฉงนมองเมิ่งเหริน
เมิ่งเหรินส่ายหน้า แสดงว่าตนเองก็ไม่รู้
เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงบ้านสะใภ้ซุน บอกว่าเมิ่งจงจวี่ให้พวกเขาไปกินข้าวบ้านตนเอง พ่ออิงจื่อตกใจลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ พูดตะกุกตะกัก “ดะ..ได้อย่างไรกัน ขะ..เขาเป็นผู้อาวุโส จะเชิญพวกเรากินข้าวได้อย่างไร?”
แม่อิงจื่อก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม
สะใภ้ซุนยิ่งไม่เห็นด้วย “นายหญิง ไม่ได้เด็ดขาด หากพวกพี่สะใภ้ข้าไป จะทำให้คนติฉินได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านปู่ข้าพูดแล้ว ใครอยากนินทาก็ให้พวกเขาพูดไป อย่างไรพวกเราก็ไม่สนใจ”
สะใภ้ซุนพูดว่า “แต่พวกเราสนใจ ข้าจะให้พี่ใหญ่พี่สะใภ้มาถึงก็ถูกคนในหมู่บ้านเอาไปพูดลับหลังว่า แค่อาหารมื้อเดียวข้าก็จัดการให้ไม่ได้ได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสพูด “เช่นนี้ดีเลย ท่านก็ไปกับพวกเราด้วย พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกเก้อเขิน”
สะใภ้ซุนไม่คิดว่าตัวเองจะมีเอี่ยวด้วย ตกใจโบกมือเป็นพัลวัน พูดอย่างไรก็ไม่ไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเป็นจริงเป็นจังกับทุกคน “นอกจากให้พวกท่านไปกินอาหารแล้ว ท่านปู่ข้ายังมีเรื่องสำคัญจะพูดกับพวกท่านด้วย”
พ่อแม่อิงจื่อได้ฟังดังนั้นก็ขาพับขาอ่อน ถามอย่างว้าวุ่นใจ “เรื่องอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ไปถึงพวกท่านก็รู้เอง สรุปคือเป็นเรื่องดี”
[1] (礼义廉耻,孝悌忠信)เป็นหลักคุณธรรม 8 ประการของขงจื้อ อันได้แก่ มารยาท ความซื่อตรง ความบริสุทธิ์(กายและใจ) ความละอาย ความกตัญญู ความรักใคร่ปรองดอง ความจงรักภักดี ความมีสัจจะ