ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 166-3 คำสัญญาน่าสะพรึง
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวพูดปกป้องตนเองเช่นนี้ผู้ใหญ่บ้านตื้นตันใจยิ่งนัก หุนหันลุกขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ท่านพูดเกินไปแล้ว ในฐานะผู้ใหญ่บ้าน การคิดแทนลูกบ้านเป็นเรื่องสมควรแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านไม่ต้องเกรงใจ ที่ข้าพูดล้วนเป็นความในใจ หากท่านมิใช่ผู้ใหญ่บ้านที่ดี ไม่แน่ว่าข้าคงไม่ซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านพวกท่านจริงๆ เพราะภูเขาร้างหมู่บ้านไหนก็มี ข้าจะซื้อลูกไหนก็ได้”
ผู้ใหญ่บ้านยิ่งตื้นตันใจจนพูดไม่ออก
กลุ่มคนเริ่มมีคนส่งเสียง “ใช่ หลายปีมานี้ผู้ใหญ่บ้านมีแต่คิดแทนพวกเรามาตลอด เมื่อครู่พวกเราไม่สมควรคิดเช่นนี้จริงๆ พวกเราขออภัยผู้ใหญ่บ้านด้วย ท่านวางใจเรื่องไม่เชื่อใจท่านเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าปลาบปลื้มใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าบรรลุวัตถุประสงค์ตนเองแล้ว ก็พยักหน้าพอใจ หยิบสมุดบัญชีขึ้นอ่านใหม่ “ครอบครัวหลี่ฝู ได้รับเงินทั้งหมดหกตำลึงแปดเฉียน”
ครั้งนี้ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมาจากกลุ่มคน
เหวินหู่นับเงินเสร็จมอบให้กับมือหลี่ฝู
หลี่ฝูไม่เคยเห็นเงินมากเช่นนี้มาก่อน เกิดความประหม่า มือทั้งสองที่ประคองเงินสั่นไหวไม่หยุด ภรรยาหลี่ฝูรีบเดินขึ้นหน้า กุมมือทั้งสองของเขา พูดอย่างวิตก “ระวังหน่อย อย่าทำเงินหล่นเด็ดขาด”
ผ่อนคลายความรู้สึกครู่หนึ่ง หลี่ฝูถึงสงบนิ่งลงได้ โค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมให้เมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดเสียงลั่น “ขอบคุณแม่นางเมิ่งๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจตัวโยน รีบร้อนพูด “ท่านอย่าทำเช่นนี้เด็ดขาด เหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ไม่เกี่ยวกับข้าเลย”
หลังจากจ่ายเงินให้ครอบครัวหลี่ฝูเสร็จ ครอบครัวที่สองเป็นของบ้านจางจู้และบ้านจางเกิน ทั้งสองบ้านรวมกัน ก็ได้หกตำลึงแปดเฉียน
มีผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวอย่าง ครั้งนี้คนในหมู่บ้านไม่มีใครมีความเห็นต่างอีก
ลำดับต่อมาเป็นสองสามครอบครัวที่ช่วยแบ่งเขตพื้นที่ ก็ได้เงินสี่ตำลึงกว่า
คนที่เหลือเป็นการจ่ายค่าแรงให้ตามรายชื่อที่เข้ามาสมัครก่อนหลัง ยังคงเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยเรียกคน เหวินหู่เป็นคนจ่ายเงิน แต่ละครอบครัวได้ค่าแรงไปไม่น้อย มีบางครอบครัวมีแรงงานในวัยทำงานสิบกว่าคน ได้เงินไปเกือบสิบตำลึง ตอนที่กลุ่มคนได้ยินเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนพูด เกิดเสียงดังอื้ออึงอีกครั้ง ทุกคนต่างมองไปที่ครอบครัวที่เมื่อก่อนเคยยากจนที่สุดในหมู่บ้าน
มีบางครอบครัวที่หักเงินค่าแรงไปบางส่วนแล้ว พอเทียบกันก็เลยน้อยไปบ้าง ทว่าก็ยังได้สองตำลึง
แม่จางเถี่ยเป็นคนสุดท้ายที่มาสมัครทำงาน ดังนั้นจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับเงินค่าแรง ครั้งนี้นางไม่โวยวาย นับเงินหนึ่งตำลึงสองร้อยอีแปะในมือเดินกลับไปอย่างหน้าชื่นตาบาน อยู่ๆ จางเถี่ยก็พุ่งตัวออกมาจากฝูงคน คว้าแย่งเงินในมือนาง วิ่งแผ่นแนบจากไป
ชาวบ้านตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ งงงวยไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
แม่จางเถี่ยได้สติกลับมาก่อน กรีดร้องเสียงหลง “เจ้าอัปรีย์จัญไร เอาเงินข้าคืนมาเดี๋ยวนี้”
จางเถี่ยวิ่งออกไปไกลแล้ว ได้ยินเสียงร้องของแม่ตัวเอง หยุดฝีเท้า หันกลับมาร้องโวยวาย “ข้าไม่ให้ ใครอยากให้ท่านลำเอียง ให้เงินครอบครัวชิงเอ๋อร์ห้าตำลึง นี่ถือเป็นการชดเชยให้ข้า”
แม่จางเถี่ยแยกกลุ่มคนเดินออกมาพลางร้องก่นด่า “เจ้าคนใจสุนัข ข้าลำเอียงอย่างไร ข้าก็ให้เจ้าแปดตำลึงไม่ใช่เรอะ?”
จางเถี่ยไม่กลัวมารดาจะตามทัน ยังร้องโวยวายด้านนอกกลุ่มคน “จะเหมือนกันได้อย่างไร? บุตรสาวที่แต่งงานแล้วก็คือน้ำที่สาดออกไป นางไม่ควรได้รับเงินแม้สักอีแปะเดียว สมควรเป็นของข้าทั้งหมด”
แม่จางเถี่ยร้องด่า “นั่นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า ครอบครัวยากแค้นแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ แม่ช่วยนางสักหยิบมือไม่ได้เรอะ?”
จางเถี่ยสบถ “ดีแต่พูดพ่นคำลวง ครอบครัวนางมีกินมีดื่มสุขสบาย ไหนเลยจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ”
แม่จางเถี่ยเดินออกมาด้านนอกกลุ่มคนแล้ว เห็นจางเถี่ยยืนอยู่ด้านนอก กรีดร้องลั่น “เจ้าเอาเงินข้าคืนมา!” แล้วพุ่งทะยานตัวเข้าหาเขา
จางเถี่ยเบี่ยงหลบอย่างเบาสบาย หันไปพูดใส่นาง “ท่านอยากลำเอียงเอง ข้าไม่ให้”
แม่จางเถี่ยถอนแรงคืนไม่ทัน ล้มฟุบไปกับพื้นร้อง “โอดโอย”
จางเถี่ยทำเป็นมองไม่เห็น คว้าเงินวิ่งแผ่นแนบ
แม่จางเถี่ยโมโหถอดรองเท้าข้างหนึ่งขว้างไปที่เขา โดนจางเถี่ยพอดี เขารู้สึกอับอายต่อหน้าคนหมู่มาก จึงหยิบรองเท้าโยนออกไปไกลขึ้น แล้วพูด “เมื่อท่านไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่แล้ว”
แม่จางเถี่ยโมโหทุบหน้าขาร้องโอดครวญ “ข้าไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ถึงมีลูกที่หมูหมาก็ยังสู้ไม่ได้”
คนในหมู่บ้านต่างมองนางอย่างเห็นใจ มีบางคนเห็นสภาพที่น่าสังเวชของนาง จึงวิ่งไปช่วยเก็บรองเท้ากลับมาให้อย่างหวังดี
แม่จางเถี่ยใส่รองเท้าแล้ว ยังนั่งฟูมฟายบนพื้นต่อ
คนในหมู่บ้านชี้นิ้วกระซิบกระซาบ นินทากันสนุกปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ขมวดคิ้วมุ่น
ผู้ใหญ่บ้านเห็นนางแสดงสีหน้าไม่พอใจ รีบเบี่ยงเบนประเด็น พูดเสียงดัง “แม่นางเมิ่ง ท่านบอกว่ายังมีงานจะให้คนในหมู่บ้านทำไม่ใช่หรือ? ไม่ทราบว่าเป็นงานอะไร?”
คนในหมู่บ้านได้สติกลับมา ไม่สนใจแม่จางเถี่ยอีก ต่างหันมองมาที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมีความหวัง
แม่จางเถี่ยก็หยุดคร่ำครวญ รีบลุกขึ้นยืน ปัดดินตามตัว เบียดเข้ามาในกลุ่มคน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “งานนี้ง่ายมาก คือการขึ้นไปรดน้ำเมล็ดพันธุ์บนภูเขา คนที่ได้รับเลือกจะได้วันละสามสิบอีแปะ”
คนในหมู่บ้านทำไร่ไถนาทุกวัน ร่างกายแข็งแรงกำยำ เรื่องหาบน้ำเป็นงานที่ทำปกติทั่วไป ได้ยินว่าจะได้วันละสามสิบอีแปะ ต่างก็ดีใจ แย่งกันขอสมัครชื่อ
ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับปากพวกเขาทันควันอีก แต่พูดว่า “แม้นี่จะเป็นงานง่าย แต่ต้องใช้แรงมาก ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะรับสมัครแรงงานที่กำยำ สักสามสิบคน”
ได้ยินคำพูดนาง คนที่เริ่มมีอายุมากหน่อยไม่พอใจ “แม่นางเมิ่ง อย่าเห็นพวกเราอายุมาก กำลังของพวกเราไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ข้ารู้ แต่งานรดน้ำไม่ต้องการกำลัง แต่ต้องการความทนทาน พวกท่านอายุมากแล้ว เวลานานเข้า เกรงว่าแรงกำลังจะถดถอยลง”
ความทนทานของตัวเองย่อมสู้คนหนุ่มไม่ได้จริงๆ คนที่อายุมากไม่พูดอะไรอีก
คนแก่ หญิงสาวและเด็กในหมู่บ้านแยกไปอีกด้าน เหลือเพียงแรงงานกำยำของหมู่บ้านยืนตรงกลาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับจางจู้และจางเกิน “ท่านลุงใหญ่ ลุงรอง ข้าไม่คุ้นเคยคนในหมู่บ้าน พวกท่านช่วยข้าเลือกคนออกมาสามสิบคนเถอะ”
ทั้งสองพยักหน้า เดินเข้าไปเลือกคนออกมาสามสิบคน เมิ่งเชี่ยนโยวมองดู ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยทำงานในโรงงานตัวเอง จึงยิ้มพูด “เมื่อเป็นพวกเจ้า ข้าจะไม่พูดให้มากความอีก พวกเจ้าจำไว้ให้ดี คนที่กินแรงแอบอู้ภายหน้าข้าจะไม่เรียกใช้อีก”
ทำงานในโรงงานมานาน คนงานต่างรู้จักนิสัยนางเป็นอย่างดี ได้ฟังก็รับประกันโดยพร้อมเพรียง “วางใจเถอะ นายหญิง พวกเราจะไม่แอบอู้เด็ดขาด”
แม่จางเถี่ยเห็นว่าเลือกคนเสร็จแล้ว ร้อนรุ่มใจ ปัดคนข้างกายออกเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว หน้าหนาหน้าทนพูดว่า “โยวเอ๋อร์เอ๊ย เจ้าดูว่าสิว่ายายรองน่าสงสารเพียงใด เงินที่เพิ่งได้มายังร้อนๆ ก็ถูกเจ้าลูกอกตัญญูแย่งไป เจ้าช่วยยายด้วย เห็นแก่ที่เราเป็นญาติกัน เจ้าให้งานข้าทำด้วยเถอะ ข้าไม่เอาสามสิบอีแปะ ให้ข้ายี่สิบอีแปะก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ย้อนถาม “ใครเป็นญาติกับเจ้า พวกเรารู้จักกันหรือ?”
แม่จางเถี่ยสะอึกกึก
ผู้ใหญ่บ้านเกรงเมิ่งเชี่ยนโยวจะโมโหอีก รีบเข้าไปดุว่าแม่จางเถี่ย “ครั้งนี้เลือกแต่แรงงานกำยำ เจ้าไม่ต้องมาหาเรื่องแล้ว”
แม่จางเถี่ยโมโหแล้ว เหล่ตามองพ่อแม่จางจู้ที่นั่งเงียบแวบหนึ่ง พูดอย่างคลุมเครือ “แม้เราจะตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว แต่กระดูกที่หักยังมีเส้นเอ็นเชื่อมต่อ ตาเฒ่าของข้าวันๆ เอาแต่ทอดถอนใจโอดครวญ ห่วงพะวงถึงแต่พี่ชายพี่สะใภ้ที่แสนดี ไม่เหมือนใครบางคน ถือว่าตนเองมีญาติที่ดี แม้แต่ความเป็นตายของพวกเราก็ไม่แยแส”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขมวดคิ้วยู่ย่น
ภรรยาจางจู้ทนไม่ได้โต้กลับ “ตอนนี้มาพูดเช่นนี้ ตอนนั้นใครกันที่เห็นเงินสามสิบตำลึง จะตัดขาดกับพวกเราให้ได้”
แม่จางเถี่ยพูดอย่างฉุนเฉียว “พวกเราไม่ได้อยากตัดขาดความสัมพันธ์ เป็นพวกเจ้าที่บีบคั้น”
ภรรยาจางจู้ไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย พูดเสียงแหลมสูง “หากไม่ใช่เจ้าเห็นเงินแล้วตาลุก ใครจะไปบีบคั้นเจ้าได้?”
แม่จางเถี่ยโมโหตัวสั่น แต่ก็หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็นเยียบประโยคหนึ่ง “นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย หากเจ้ายังกล้ามาอาละวาดต่อหน้าข้าอีก อย่าหวังจะหางานทำจากข้าอีก”
แม่จางเถี่ยรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดข่มขู่ หุบปากแต่โดยดี
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แม้แต้จะเหลียวแล ให้คนที่ได้รับเลือกสามสิบคนอยู่ต่อ คนที่เหลือให้พวกเขาแยกย้ายกันกลับไป
ทุกคนหยิบเงินที่ได้เดินกลับบ้านไปอย่างมีความสุข มีเพียงแม่จางเถี่ยที่โมโหกระทืบเท้า รีบเดินไปทางบ้านจางเถี่ย
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับคนทั้งสามสิบคนอย่างเอาจริงเอาจัง จะต้องรดน้ำทุกวัน ไม่เช่นนั้นเมล็ดพันธุ์จะไม่งอกออกมา
ทั้งสามสิบคนพยักหน้าพร้อมเพรียง รับประกันอีกครั้งว่าตัวเองจะไม่แอบอู้ จะตั้งใจหาบน้ำทุกวันอย่างแข็งขัน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปกำชับจางจู้จางเกินรวมถึงหลี่ฝูอีกรอบ บอกว่าสองสามวันนี้มีธุระมาไม่ได้ ให้พวกเขาตรวจตราการรดน้ำของทุกคน หากพบอะไรผิดปกติให้รีบไปบอกนาง
ทั้งสามพยักหน้าหนักแน่น
เมื่อจัดการเรื่องเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวบอกปัดการดึงรั้งของครอบครัวจางจู้ เดินทางกลับมาบ้าน