ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 168-1 พักห้องเดียวกัน
ตัวจังหวัดอยู่ไกลจากตำบลชิงซีมาก แม้เหวินเปียวจะบังคับรถม้าได้เร็วและนิ่งเพียงใด ทั้งสี่คนยังเดินทางมาถึงในตอนบ่ายกว่าแล้ว
ผ่านประตูเมืองตัวจังหวัด เหวินหู่ลงจากรถม้าซักถามสถานที่สอบว่าอยู่ที่ไหน เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนตรงมาสำรวจดูสนามสอบก่อน เมื่อจดจำเส้นทางได้แล้ว จึงสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าหาโรงเตี๊ยมละแวกใกล้ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมดีเข้าพัก
เหวินหู่สอบถามคนแถวสนามสอบ กล่าวว่าให้วิ่งมุ่งหน้าตามถนนใหญ่ไปทางทิศตะวันออก ผ่านไปสองถนน จะเจอโรงเตี๊ยมนาม “จิ้นป่าง” บรรยากาศดี นักเรียนที่มาสอบแข่งขันมากมายล้วนไปพักอาศัยที่นั่น
เหวินเปียวบังคับรถม้ามาถึงโรงเตี๊ยม เป็นไปตามที่คนเดินถนนกล่าว โรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้รับความนิยมมาก ผู้คนเข้าออกหนาตา แทบทั้งหมดเป็นนักเรียนที่มาสอบถงเซิง
เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมเห็นพวกเขาเข้ามา เข้ามาถามไถ่อย่างรู้งาน “พวกท่านก็มาร่วมสอบแข่งขันใช่หรือไม่? พักโรงเตี๊ยมของพวกเราถือว่าพวกท่านเลือกถูกแล้ว โรงเตี๊ยมของพวกเรามีชื่อเสียงที่สุดในพื้นที่นี้ นักเรียนที่สอบผ่านแต่ละปีล้วนเคยเข้าพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า เสี่ยวเอ้อนิ่งงัน แล้วกล่าวขอโทษขอโพย “ขออภัยพวกท่านด้วย สามวันนี้โรงเตี๊ยมของพวกเราจะรับรองนักเรียนที่มาสอบแข่งขันโดยเฉพาะ พวกท่านทั้งสองไปหาโรงเตี๊ยมอื่นพักเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับเสี่ยวเอ้อ “น้องชายข้าก็มาเข้าสอบถงเซิง”
เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมทำงานมาหลายปี แต่ละปีจะได้เจอนักเรียนมาร่วมสอบมากมาย แต่ยังไม่เคยเจอเด็กอายุน้อยเช่นนี้มาร่วมสอบถงเซิง พลันตะลึงค้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเขา ยกเท้าเดินเข้าด้านใน
เสี่ยวเอ้อได้สติ ลุกลนเดินตาม พูดอย่างกระตือรือร้น “ข้านำท่านทั้งสองเข้าไปเอง”
ทั้งสองตามเสี่ยวเอ้อมาถึงโต๊ะเก็บเงิน หลงจู๊เห็นเด็กสองคนเข้ามา ไม่รอให้เสี่ยวเอ้อพูด ก็ดุว่าเขา “เสี่ยวเอ้อ เจ้าทำอะไร เป็นเสี่ยวเอ้อมาหลายปี ยังไม่รู้กฎระเบียบของโรงเตี๊ยมเราอีกเรอะ? สามวันนี้พวกเราจะรับรองแต่เด็กนักเรียน”
เสี่ยวเอ้อร้อนรนตอบ “หลงจู๊ พวกเขาก็มาสอบแข่งขัน”
หลงจู๊ก็ตกตะลึง พินิจมองพวกเขาอย่างละเอียด ถามอย่างประหลาดใจ “พวกท่านก็มาสอบแข่งขัน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หลงจู๊ยังรู้สึกไม่เชื่อ หยั่งเชิงพูดขึ้น “เช่นนั้นขอพวกเราดูจดหมายแนะนำของพวกท่านหน่อยได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว น้ำเสียงเริ่มไม่สบอารมณ์ “หลงจู๊ไม่เชื่อพวกเราอย่างนั้นหรือ”
หลงจู๊ตอบกลับอย่างนุ่มนวล “แม่นางอย่าถือสา ข้าเปิดโรงเตี๊ยมแห่งนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเด็กอายุน้อยเท่านี้เข้าสอบถงเซิงมาก่อน จึงอยากจะให้แน่ใจว่าที่แม่นางกล่าวเป็นจริงหรือเท็จ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินเขาเล็กน้อย หยิบจดหมายแนะนำตัวหนึ่งฉบับออกมาวางบนโต๊ะเก็บเงิน
หลงจู๊หยิบขึ้นมาเปิดดู เป็นจดหมายแนะนำจริงๆ อารามดีใจ พลันร้องอุทานอย่างเก็บไม่อยู่ “ที่แท้พวกท่านก็มาเข้าสอบแข่งขันจริงๆ”
บรรดาเด็กนักเรียนที่เข้าๆ ออกๆ ได้ยินก็หยุดฝีเท้า กระซิบกระซาบ วิพากษ์เซ็งแซ่
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว
หลงจู๊ที่พอคิดว่าหากเมิ่งอี้เซวียนสอบผ่านขึ้นมาจริงๆ ชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมตัวเองก็จะยิ่งเลื่องลือ ถึงตอนนั้นนักเรียนที่มาโรงเตี๊ยมของตัวเองจะต้องยิ่งมากขึ้น จึงกำชับเสี่ยวเอ้ออย่างเบิกบาน “เสี่ยวเอ้อ รีบพาทั้งสองท่านเข้าห้องพัก”
เสี่ยวเอ้อก็ดีใจร้องพูด “ทั้งสองท่านเชิญชั้นบน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจดหมายแนะนำเก็บคืน กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ไม่ต้องแล้ว พวกเราไม่พักแล้ว” พูดจบ หันหลังเดินออกมา เมิ่งอี้เซวียนรีบเดินตามหลังไป
หลงจู๊ตกอกตกใจ ถลันตัวออกจากโต๊ะเก็บเงิน ตามไปพลางร้องถามอย่างร้อนรน “เพราะเหตุใดหรือแม่นาง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ “ร้านใหญ่รังแกลูกค้า ร้านของพวกท่านใหญ่เกินไป พวกเราพักไม่ไหว”
หลงจู๊เข้าใจแล้วว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหแล้ว รีบกล่าวขอขมา “แม่นางน้อย ข้าไม่เชื่อพวกท่านเป็นความผิดข้า แต่ท่านจะใช้อารมณ์จากไปเช่นนี้ เท่ากับไม่รับผิดชอบน้องชายท่าน จะถ่วงอนาคตของเขาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า
หลงจู๊เดินมาข้างกายนาง ลุกลนเอื้อนเอ่ย “โรงเตี๊ยมของพวกเรามีสภาพแวดล้อมดีตามหลักฮวงจุ้ย นักเรียนที่สอบได้ในแต่ละปีล้วนพักอาศัยที่โรงเตี๊ยมพวกเรา หากพวกท่านไปพักโรงเตี๊ยมอื่น ก็ไม่แน่ว่าจะสอบได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็นชา “หากน้องชายข้าสอบไม่ได้ นั่นเพราะเขาความรู้ไม่เพียงพอ เกี่ยวอะไรกับโรงเตี๊ยมด้วย”
หลงจู๊คิดจะโน้มน้าวต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนได้ขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้หาโรงเตี๊ยมอีกแห่งแล้ว
หลงจู๊มองดูรถม้าจากไปไกล คิดว่าตัวเองอาจจะเสียโอกาสสร้างชื่อเสียง ก็ยืนทุกข์ตรมเศร้าสร้อยอยู่ตรงนั้น
เหวินเปียวบังคับรถม้ามาถึงถนนอีกเส้น ถึงเห็นโรงเตี๊ยมอีกแห่ง พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ทางนี้มีโรงเตี๊ยมอีกแห่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ มองดูโรงเตี๊ยมตรงหน้าแวบหนึ่ง คงเพราะอยู่ค่อนข้างไกลจากสนามสอบ นานๆ ครั้งถึงจะมีนักเรียนแต่งกายมอซอคนสองคนเดินเข้าออก
เสี่ยวเอ้อที่หน้าประตูเห็นรถม้าวิ่งเข้ามา นิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้ววิ่งเข้ามาสอบถาม “พวกท่านต้องการที่พักใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เสี่ยวเอ้อรีบพูดด้วยความยินดี “ท่านเลือกถูกต้องแล้ว โรงเตี๊ยมของพวกเราไม่เพียงสิ่งแวดล้อมดี ราคาก็ถูก ห้องก็สามารถเลือกได้ตามใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เสี่ยวเอ้อเห็นเป็นเพียงเด็กสองคน ให้งงงันเล็กน้อย แล้วพาทั้งสองเข้ามาในโรงเตี๊ยมอย่างเป็นมิตร
หลงจู๊เห็นมีคนเข้ามา เตรียมจะร้องทักทาย พอเห็นชัดว่าเป็นเด็ก ก็นิ่งงันชั่วครู่ ถึงเอ่ยปากถาม “ทั้งสองท่านต้องการห้องพักใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หลงจู๊ถามอย่างอ่อนโยน “พวกท่านจะพักห้องธรรมดาหรือห้องชั้นดี?”
“น้องชายข้ามาเข้าสอบถงเซิง ไม่ทราบว่าพวกท่านมีห้องชั้นดีที่เงียบสงบหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หลงจู๊เบิกตาโพลง เบิกบานใจถาม “พวกท่านมาเข้าสอบถงเซิง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หลงจู๊กุลีกุจอพูด “มีๆๆ สองห้องที่อยู่ท้ายสุดบนชั้นสอง สะอาดน่าอยู่ ทั้งเงียบและปลอดภัย เหมาะสำหรับนักเรียนมาพักอาศัย พวกท่านพักสองห้องนั้นเถอะ”
“ด้านนอกพวกเรายังมีอีกสองคน สองห้องไม่พอ ขอสามห้องแล้วกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หลงจู๊ยิ่งปลาบปลื้มยินดี เตรียมจะเปิดห้องให้พวกเขาสามห้อง
เมิ่งอี้เซวียนกลับพูดขึ้นว่า “พวกเราต้องการสองห้องก็พอ ข้าจะพักห้องเดียวกับท่านพี่ข้า”
สิ้นเสียงเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขาทรุดขาอ่อน เกือบล้มหงาย แค่นเสียงสูงถามเขาทันควัน “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เมิ่งอี้เซวียนกะพริบตากลมโตสุกสกาว พูดอย่างน่าเวทนา “ข้ากลัวการอยู่ในห้องคนเดียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวแทบอยากจะบีบหัวใจเขาให้ตาย
ราวกับคาดเดาความคิดของนางได้ เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างน้อยใจ “ตอนอยู่บ้าน ข้านอนห้องเดียวกับพวกพี่ใหญ่มาตลอด ไม่เคยนอนคนเดียวมาก่อน หากข้าพักอาศัยในห้องตามลำพัง ตอนกลางคืนข้าจะต้องนอนไม่หลับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันกรอดๆ พูดว่า “เช่นนั้นก็ให้เหวินเปียว เหวินหู่นอนกับเจ้าด้วย”
เมิ่งอี้เซวียนยิ่งทวีความน้อยใจ “ข้าไม่เอา ข้าไม่คุ้นชินที่จะนอนห้องเดียวกับพวกเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปฟาดศีรษะเขาเต็มแรง ร้องตวาด “แสร้งทำตัวน่าเวทนาอีกเล่า ข้าจะได้ให้เจ้าไปนอนข้างถนน”
เมิ่งอี้เซวียนกะพริบตาน้ำตาอาบ
หลงจู๊เห็นท่าทีน่าสังเวชของเขา นึกว่าเขากลัวจริงๆ ร้อนรนพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องชายท่านยังเด็ก จากบ้านมาไกลครั้งแรก เลี่ยงไม่ได้ที่จะปรับตัวไม่ได้ ท่านรับปากคำขอของเขาเถอะ ยังดีที่ห้องของพวกเราล้วนเป็นห้องสองเตียง”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาเขม็งใส่เมิ่งอี้เซวียน
หลงจู๊เห็นนางยังเดือดดาล พูดหว่านล้อมอีกครั้ง “พรุ่งนี้ก็จะสอบแล้ว หากวันนี้พักผ่อนไม่ดี พรุ่งนี้ไม่มีชีวิตชีวา จะกระทบกับการเขียนบทความได้ แม่นางเห็นแก่การสอบของน้องชายเป็นสำคัญ รับปากเขาเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เมิ่งอี้เซวียน พูดอย่างเคืองขุ่น “สอบเสร็จมาดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มเจิดจ้าทันใด
หลงจู๊รู้สึกว่าโรงเตี๊ยมของตัวเองสว่างวาบไปทั้งร้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เสี่ยวเอ้อจูงรถม้าไปไว้หลังร้าน เรียกเหวินเปียวและเหวินหู่เข้ามา
เสี่ยวเอ้อออกไปอย่างเริงร่า จูงม้าไปหลังร้านด้วยตัวเอง
เหวินเปียวและเหวินหู่เข้ามาในโรงเตี๊ยม
หลงจู๊มองพวกเขาสองคนแวบหนึ่ง ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง พวกท่านยังต้องการเป็นสองห้องชั้นดีใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หลงจู๊ถามต่อ “ห้องชั้นดีสองห้อง คืนละสี่สิบตำลึง ไม่ทราบว่าแม่นางคิดจะพักกี่คืน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิด “สองคืนเถอะ”
หลงจู๊แนะนำด้วยความหวังดี “วันที่สองผลการสอบของจังหวัดก็ออกมาแล้ว ไม่อย่างนั้นแม่นางพักเพิ่มอีกสักคืนค่อยกลับดีหรือไม่”
ได้ยินว่าผลการสอบออกเร็วเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรับคำทันควัน “ได้ พักเพิ่มอีกหนึ่งวัน ขอบใจหลงจู๊มาก”
หลงจู๊โบกมือ “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็มีใจละโมบ หากน้องชายท่านสอบผ่านจริงๆ จะเป็นนักเรียนที่สอบผ่านเพียงคนเดียวที่เคยพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา ถึงตอนนั้นข้าจะฉวยโอกาสนี้โอ้อวดโรงเตี๊ยมของพวกเราให้เต็มที่เสียหน่อยเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างประหลาดใจ “ข้าเห็นโรงเตี๊ยมของพวกท่านมีสภาพแวดล้อมไม่เลว เหตุใดถึงไม่มีนักเรียนจำนวนมากมาพักเล่า?”
หลงจู๊ทอดถอนใจ “พวกเราห่างไกลจากสนามสอบ นักเรียนส่วนหนึ่งไม่อยากมาพัก บวกกับนักเรียนที่เคยพักโรงเตี๊ยมจิ้นป่าง หลายปีมานี้มีคนสอบได้หลายครั้งติดต่อกัน ดังนั้นชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมพวกเขาจึงยิ่งเลื่องลือ บรรดานักเรียนยิ่งไม่มีใครอยากมาพักที่นี่ มีเพียงนักเรียนที่มีฐานะยากจนหน่อย เห็นว่าโรงเตี๊ยมพวกเราราคาถูก ถึงฝืนใจเข้ามาพักสองคืน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเข้าใจ ล้วงเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงออกมาวางบนโต๊ะเก็บเงิน
หลงจู๊เก็บเงินขึ้นอย่างเบิกบาน หยิบกุญแจ พาคนทั้งหมดขึ้นชั้นบนด้วยตัวเอง เปิดประตูห้องพักทั้งสองห้องออก ออกปากถามเจือความประหม่า “แม่นางดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูเล็กน้อย เห็นห้องกว้างขวางสว่างไสว ทั้งห้องสะอาดสะอ้าน พยักหน้าพึงพอใจ
หลงจู๊เห็นนางพยักหน้า ถอนใจโล่งอก “ทุกท่านเข้าไปพักในห้องก่อน ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อนำน้ำร้อนเข้ามาเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณหลงจู๊”
หลงจู๊ลนลานโบกมือ “นี่เป็นงานของพวกเรา แม่นางอย่าได้เกรงใจเด็ดขาด” พูดจบก็หันหลังลงชั้นล่างไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเดินเข้ามาในห้องเดียวกัน
เหวินเปียวเห็นพฤติกรรมของพวกเขา มุ่นหัวคิ้วกังขา
เหวินหู่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เดินตรงเข้าไปอีกห้อง เหวินเปียวเดินตามหลังเข้าไป
ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำน้ำร้อนเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “โรงเตี๊ยมพวกเจ้าดูแลเรื่องอาหารหรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อตอบอย่างอ่อนน้อม “พวกเรามีอาหารเช้าให้ อาหารเที่ยงและอาหารเย็นต้องจ่ายเงิน”
นั่งรถม้ามาทั้งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเหมือนร่างจะหลุดเป็นชิ้นๆ ล้วงเงินห้าตำลึงส่งให้เสี่ยวเอ้อทันที “รบกวนเจ้าทำอาหารจำนวนหนึ่งส่งขึ้นมาให้พวกเราทั้งสองห้องด้วย”
เสี่ยวเอ้อรับคำ หยิบเงินแล้วลงไปชั้นล่าง มอบให้หลงจู๊อย่างชื่นบาน
หลงจู๊ไม่เคยเห็นลูกค้าเข้าพักคนไหนใจกว้างเช่นนี้มาก่อน เพียงสี่คนต้องการอาหารราคาห้าตำลึง เริ่มกลัดกลุ้มใจ
เสี่ยวเอ้อออกความคิด “ท่านหลงจู๊ ไม่อย่างนั้นพวกเราไปซื้ออาหารมาจากภัตตาคารข้างนอกกลับมา”
หลงจู๊ตรึกตรองดู คิดว่าวิธีนี้ไม่เลว จึงมอบเงินห้าตำลึงนั้นให้เสี่ยวเอ้อ ให้เขาไปซื้ออาหาร ทั้งกำชับเขา “จะต้องซื้ออาหารที่น่าทานรสชาติดี เงินไม่พอ พวกเราออกเพิ่มเองก็ได้”
เสี่ยวเอ้อพยักหน้า รีบวิ่งแน่บออกไป