ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 168-3 พักห้องเดียวกัน
กินอาหารค่ำเสร็จ ซุนเหลียงไฉก็ถูกฮูหยินเฒ่าดึงตัวเข้าไปในห้องตัวเอง ให้เขาเล่าเรื่องที่ได้ประสบในช่วงที่ผ่านมาให้นางฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่รู้ว่าบ้านซุนเกิดเหตุการณ์โกลาหลอีกครั้ง หลังกินอาหารค่ำเสร็จ ก็กำชับเมิ่งอี้เซวียนให้รีบพักผ่อน ตนเองล้มนอนบนเตียงไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
หลับสบายตลอดคืน
เช้าวันถัดมาในโมงยามฝึกวรยุทธ์ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนตื่นขึ้นพร้อมกัน มองดูท้องฟ้าด้านนอก เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งเขา “ยังเช้าเกินไป เจ้านอนต่ออีกหน่อย เมื่อฟ้าสางแล้วข้าจะเรียกเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สะลึมสะลือหลับผล็อยไป
กระทั่งตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขาอีกครั้ง ด้านนอกห้องมีนักเรียนเดินไปมาแล้ว
เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเสี่ยวเอ้อให้ส่งน้ำร้อนจำนวนหนึ่งมา ทั้งสองล้างหน้าล้างตาเสร็จ เสี่ยวเอ้อก็นำอาหารเช้าส่งมาให้
กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนตรวจสอบสิ่งของที่ใช้ในการสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่น ก็ลงมาข้างล่างพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
เหวินเปียวและเหวินหู่เก็บกวาดรถม้ารออยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมนานแล้ว เมื่อทั้งสองคนขึ้นรถม้า ก็สะบัดแส้บังคับรถม้ามุ่งหน้าสู่สนามสอบ
พวกเขาออกมาไม่นับว่าเช้า ตอนมาถึงสนามสอบ เหลืออีกสองเค่อสนามสอบก็จะเปิด มีนักเรียนไม่น้อยมายืนล้อมสนามสอบแล้ว
เหวินเปียวชะเง้อมองโดยรอบเป็นนานก็หาตำแหน่งจอดรถม้าไม่ได้ จำต้องพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นาง นอกสนามสอบมีคนมากเกินไป ไม่มีจุดให้จอดรถม้า ท่านว่าพวกเราจอดที่ด้านนอกกลุ่มคนดีหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “จอดไว้ด้านนอกเถอะ ข้าเข้าไปพร้อมอี้เซวียนก็พอแล้ว”
เหวินเปียวจอดรถม้า ทั้งสองเดินลงมา เห็นทั้งบริเวณเต็มไปด้วยนักเรียนและผู้ปกครองที่ตามมาส่ง เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมุ่งหน้าเข้าสู่สนามสอบพลางพูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “ตามติดข้ามา อย่าให้พลัดหลง”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สะพายกระเป๋านักเรียนตัวเองเดินตามหลังนางไปอย่างกระชั้นชิด
มีนักเรียนจำพวกเขาได้ ทยอยกันบอกคนข้างกายว่าพวกเขาก็มาเข้าสอบระดับจังหวัด นักเรียนที่มีอายุมากเห็นเมิ่งอี้เซวียนอายุน้อยเพียงเท่านี้ ต่างก็ถลึงตาโตตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเหล่านี้ ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าสู่สนามสอบ
นักเรียนคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีฐานะทางบ้านดีชี้กระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียนร้องพูดกับพ่อแม่ตัวเอง “ที่เขาสะพายคือสิ่งใด? มองดูแล้วงดงามนัก ข้าต้องการบ้าง”
ผู้ปกครองก็ดูเหมือนจะโอ๋ตามใจนักเรียนคนนี้ ได้ยินคำพูดเขา เปล่งเสียงร้องพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางน้อย กรุณาหยุดก่อน”
ทั้งสองหยุดฝีเท้า หันศีรษะมาอย่างฉงน
บิดาของนักเรียนคนนี้เดินมาตรงหน้าทั้งสองคน ถามเมิ่งอี้เซวียนอย่างอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าที่เจ้าสะพายอยู่นี้คือสิ่งใด จะหาซื้อได้ที่ใด”
เมิ่งอี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “นี่คือกระเป๋านักเรียน บ้านพวกเราตัดเย็บเอง มีช่องแบ่งเก็บสิ่งของแตกต่างกันได้” พูดจบ ถอดกระเป๋านักเรียนของตัวเองออก แนะนำให้เขาดูอย่างละเอียด
นักเรียนคนอื่นๆ ก็อยากรู้อยากเห็น ต่างมุงล้อมเข้ามาดู เห็นว่าด้านในยังมีช่องเก็บของต่างๆ มากมายได้อย่างเป็นระเบียบ พลันถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว
นักเรียนคนเมื่อครู่ย่อมถูกดึงดูดเข้ามาด้วย หันไปพูดกับบิดาตัวเอง “ข้าก็อยากได้กระเป๋านักเรียนแบบนี้”
พอบิดาของนักเรียนได้ยินว่าบ้านพวกเขาตัดเย็บกันเอง ก็เริ่มลำบากใจ แต่ทำใจต่อการร้องขอของบุตรชายตัวเองไม่ได้ จำต้องพูดว่า “ไม่ทราบว่าบ้านพวกเจ้ายังมีกระเป๋านักเรียนแบบนี้อีกหรือไม่ พอจะขายให้พวกเราสักใบได้หรือไม่ ราคาเท่าใดก็ได้”
เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าเขาจะซื้อกระเป๋านักเรียนของตัวเอง รีบตอบอย่างเริงร่า “บ้านพวกเราทำการค้าขายกระเป๋านักเรียน ที่บ้านยังมีกระเป๋านักเรียนอีกมากมายหลายแบบ สวยยิ่งกว่านี้อีก”
แววตาบิดานักเรียนสว่างวาบ “ยังมีอีกมาก”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ยังมีลวยลายที่แตกต่างกันด้วย ล้วนแต่งดงาม”
“เช่นนั้นบ้านพวกเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าพอจะไปซื้อที่บ้านพวกเจ้าจำนวนหนึ่งได้หรือไม่?” บิดาของนักเรียนถาม
เมิ่งอี้เซวียนกำลังจะตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวชิงตอบก่อน “ใกล้จะเข้าสนามสอบแล้ว ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะคุยเรื่องนี้ เอาอย่างนี้เถอะ พวกเราพักที่โรงเตี๊ยมซิงหลงถัดไปอีกสามถนน หากท่านว่างสามารถมาหาพวกเราได้ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยบอกท่านอย่างละเอียด”
บิดานักเรียนรับคำ “ได้ๆๆ เมื่อบุตรชายข้าสอบเสร็จ พวกเราจะไปหาพวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังประตูสนามสอบต่อ
เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน เดินตามหลังนาง
บริเวณชั้นในติดกับสนามสอบมีนักเรียนรายล้อมอยู่ไม่น้อยแล้ว ทั้งสองคนหาพื้นที่ว่าง หยุดยืนรอประตูใหญ่สนามสอบเปิดออกเงียบๆ
นักเรียนที่อยู่ใกล้พวกเขาอายุไม่มากเท่าไหร่ คงเพราะตื่นเต้น เม็ดเหงื่อผุดซึมออกมาไม่หยุด คนในครอบครัวที่มากับเขาด้านหนึ่งซับเหงื่อ ด้านหนึ่งคอยพูดปลอบประโลมเขา
เห็นสภาพพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากถาม “เจ้าต้องการการปลอบประโลมหรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนชะงักงัน มองนักเรียนคนนั้นแวบหนึ่ง ส่ายหน้าพูด “ไม่ต้องการ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นลมหายใจเบาๆ ฟ้าที่รู้ว่านางยินยอมฆ่าคน แต่จะไม่ยอมปลอบใจใครเด็ดขาด
ประตูใหญ่สนามสอบเปิดออก บรรดานักเรียนทยอยกันเดินเข้าไป เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน บอกกล่าวเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วเดินเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหน้าประตู เห็นเขานำจดหมายแนะนำห้าฉบับมอบให้ผู้คุมสอบ เปลี่ยนได้ป้ายหมายเลขมา เดินไปยังสนามสอบที่ตรงกับตัวเองแล้ว ก็เดินมาตรงหน้าคนเฝ้าประตู สอบถามโมงยามที่สอบเสร็จ เมื่อแน่ใจว่าตอนบ่ายถึงจะสอบเสร็จ ก็เดินกลับมาข้างรถม้า พูดกับเหวินเปียวว่า “อี้เซวียนจะสอบเสร็จก็ยามบ่าย พวกเราไม่มีอะไรทำ วนดูรอบตัวจังหวัดก็แล้วกัน”
เหวินเปียวขานรับ หันกลับหัวม้า บังคับรถม้าเดินเล่นบนถนนอย่างสบายอารมณ์
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ นั่งบนรถม้ามองออกมาด้านนอกอย่างเพลิดเพลินใจ
ตัวจังหวัดคึกคักกว่าตัวอำเภอมาก สองฝั่งถนนมีแต่เสียงร้องโหวกเหวกและเสียงร้องขายของ ผู้คนที่สัญจรไปมาหยุดปลายเท้าเบื้องหน้าร้านแผงลอย ซักถามราคาสิ่งของที่ตัวเองชื่นชอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้น กระโดดลงจากรถม้า เลียนแบบท่วงท่าของคนบนถนน เดินไปหยุดสำรวจเบื้องหน้าร้านแผงลอย
เหวินเปียวเห็นดังนั้น กำชับเหวินหู่ “เจ้าตามแม่นางไป”
เหวินหู่พยักหน้า สาวเท้าก้าวตามเมิ่งเชี่ยนโยวไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปพลางมองไปพลาง พอเห็นของที่ชอบก็หยุดฝีเท้าและต่อรองราคากับพ่อค้า
เริ่มต้นบรรดาพ่อค้าหาบเร่เห็นนางอายุยังน้อย แต่งกายไม่ธรรมดา คิดว่าจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ โอภาปราศรัยอย่างกระตือรือร้น ครั้นพอได้ยินนางหั่นราคาถึงรู้ว่าตัวเองตาพร่าเลือน แม่นางน้อยคนนี้รับมือยากยิ่งกว่ามนุษย์ป้าเสียอีก ขอเพียงต้องตาสิ่งใด ก็จะคว้าไว้แน่นไม่ปล่อย หั่นราคากับพ่อค้าหาบเร่ไม่หยุด หากหั่นราคาไม่ได้ตามความพอใจของตัวเอง ก็จะไม่ควักเงินจ่าย
บรรดาพ่อค้าหาบเร่ร้องโอดครวญไม่หยุด เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ่งซื้อยิ่งกระหยิ่มใจ ช่วงเวลาสั้นๆ เหวินหู่ก็ถือของเต็มสองมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวเผลอมองกลับมา เห็นข้าวของมากมายที่ตัวเองซื้อไปเมื่อครู่ก็ตกใจสะดุ้ง สั่งเหวินหู่ให้รีบนำข้าวของกลับไปไว้บนรถม้า
เหวินเปียวจูงรถม้าคอยตามหลังมาติดๆ เห็นนางซื้อของมากมายก็กระเดาะลิ้น
เหวินหู่นำข้าวของวางบนรถม้าแล้วก็ถอนหายใจ พูดกับเหวินเปียวเสียงเบา “พี่ใหญ่ ว่ากันว่าสตรีซื้อของจะคลุ้มคลั่ง วันนี้ข้านับว่าได้เห็นกับตาแล้ว”
เหวินเปียวถลึงตาใส่เขา “ระวังแม่นางได้ยินเข้าจะลงโทษเจ้า”
เหวินหู่ขยี้หัว กลับไปเดินข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังดูเครื่องประดับบนแผงเครื่องประดับร้านหนึ่ง เห็นเหวินหู่เดินมา ถามเนิบๆ “พูดนินทาข้าหรือไร”
เหวินหู่ตกใจตัวลอย ตอบอึกๆ อักๆ “ปะ เปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้ามอบเขาแวบหนึ่ง ก้มหน้าดูเครื่องประดับต่อพลางยกยิ้มพูดว่า “ร้อนตัวหรือไร จะต้องพูดว่าข้าซื้อของเยอะเป็นแน่เทียว”
เหวินหู่โพล่งปากพูด “แม่นางรู้ได้อย่างไร?” พูดจบถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป รีบปิดปากตัวเองแน่น
เห็นชายร่างกำยำเยี่ยงเขาแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตัวงอ “ข้าเดาเอา ไม่คิดว่าจะเดาถูกด้วย”
เหวินหู่ยืนกระอักกระอ่วนอยู่ตรงนั้น แทบอยากจะตบปากตัวเองหนักๆ สักสองฉาด
หลังจากหัวเราะ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดูเครื่องประดับต่อ
เหวินหู่ปิดปากตัวเองสนิท เป็นตายก็ไม่ยอมปริปากอีก
มองดูครู่ใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เจอที่ถูกใจ จึงเปลี่ยนไปดูเครื่องประดับอีกร้าน พ่อค้าแผงเครื่องประดับร้านนี้ถอนใจโล่งอก พ่อค้าอีกร้านว้าวุ่นใจทันควัน แอบลอบบนบานในใจขอให้แผงลอยร้านตัวเองอย่าได้มีเครื่องประดับที่เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชอบเด็ดขาด
แต่ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งได้สิ่งนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเดินมาตรงหน้าแผงลอยร้านเขา ดวงตาก็ทอแสงระยับ คว้าปิ่นดอกไม้อันหนึ่งมาไว้ในมือตัวเอง ถามเขาอย่างชื่นชอบ “ปิ่นดอกไม้นี้ราคาเท่าใด?”
พ่อค้าหาบเร่เห็นนางหยิบเครื่องประดับที่ดีที่สุดของร้านตนเอง ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนในใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวรอคำตอบจากเขา
พ่อค้าหาบเร่ตัดใจ กัดฟันพูดว่า “ยี่สิบตำลึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “แพงเกินไป”
พ่อค้าร้องครวญ “แม่นาง นี่เป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุดของแผงข้า ข้าหมายจะได้กำไรจากมัน ยี่สิบตำลึงยังแพงไปหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตอบอย่างจริงจัง “แพง!”
พ่อค้าหาบเร่โมโหจนเกือบกระเด้งตัวลอย
เหวินหู่มองเขาอย่างเห็นใจ
พ่อค้าหาบเร่ข่มกลั้นอารมณ์ครู่หนึ่ง กัดฟันฝืนพูดออกไปสองสามคำ “ท่านจะให้เท่าใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปทำรูปมือ “แปดตำลึง”
พ่อค้าหาบเร่เกิดอารมณ์อยากบีบเค้นคอนางแล้ว โมโหร้องโวยวาย “ปิ่นของข้านี้ปกติจะบอกราคาสามสิบตำลึง ข้าอยากขายให้เจ้าด้วยใจจริงถึงคิดเจ้ายี่สิบตำลึง เจ้ากลับให้ข้าแปดตำลึง เจ้าจะบีบข้าไปแขวนคอรึ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจลูกไม้ของเขา พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ปกติเจ้าจะบอกราคาเท่าใดข้าไม่รู้ แต่เจ้าบอกราคาข้าคือยี่สิบตำลึง ข้าเพียงต่อราคาเกินครึ่งไปอีกเล็กน้อย เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือไร?”
พ่อค้าหาบเร่แทบจะกระอักเลือดแล้ว “ข้าย่อมไม่พอใจ อย่างน้อยที่สุดยี่สิบตำลึง น้อยกว่านี้อีแปะเดียวข้าก็ไม่ขาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดพึมพำกับตัวเอง “ดูท่าข้าจะให้สูงเกินไป ถึงว่าท่านแม่บอกข้าว่า เวลาจะซื้อของพวกนี้จะต้องหั่นราคาครึ่งต่อครึ่งอีกที ข้าควรจะให้เจ้าห้าตำลึง”
พ่อค้าหาบเร่โมโหจนพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดใจเด็ดขาด ยื่นมือออกไปห้านิ้วพูดว่า “ใครอยากให้ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่หั่นราคาไม่เป็นเล่า เอาอย่างนี้เถอะ ข้าจะเพิ่มเงินให้เจ้าอีกห้าร้อยอีแปะ ให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
พ่อค้าหาบเร่เห็นนางยื่นมือออกมาห้านิ้ว นึกว่านางจะเพิ่มให้ห้าตำลึง พลันยินดีในใจ ตอนที่เตรียมจะขายให้นาง กลับได้ยินนางพูดว่าห้าร้อยอีแปะ ขาอ่อนในบัดดล เกือบจะล้มพับไป ลนลานใช้สองมือยันร่างตัวเองไว้กับแผงลอย พูดอย่างโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “อย่างต่ำสุดสิบตำลึง น้อยกว่านี้ตีให้ตายข้าก็ไม่ขาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำทันควัน “ตกลง!”
พ่อค้าหาบเร่นั่งพับไปกับพื้นอย่างราบคาบแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินสิบตำลึงออกมาวางบนแผง หันหลังยิ้มร่าไปจากแผงลอย
เหวินหู่มองพ่อค้าหาบเร่อย่างเวทนาเป็นครั้งสุดท้ายแวบหนึ่ง แล้วเดินตามหลังเมิ่งเชี่ยนโยวจากไป
ซื้อปิ่นดอกไม้เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเที่ยวจนรู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงกลับไปนั่งบนรถม้า กำชับเหวินเปียว “พวกเราหาภัตตาคารกินข้าวเถอะ”
เหวินเปียวพยักหน้า จูงรถม้าเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามถนน เดินมาถึงหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง จอดรถม้า พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ที่นี่มีเหลาจวี้เสียน พวกเราจะเข้าไปกินข้าวหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพลันเลิกม่านบังรถออก พินิจมอง เขียนว่าเหลาจวี้เสียนจริงๆ พูดขึ้นทันใด “พวกเรากินข้าวที่นี่ล่ะ”
เหวินเปียวนำรถม้ามาจอหน้าประตู เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ ถามอย่างกระตือรือร้น “ทุกท่านมาแล้ว เชิญด้านในเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินเข้ามาในเหลาจวี้เสียน มองโดยรอบแวบหนึ่ง แทบจะเหมือนกับเหลาจวี้เสียนประจำตำบลไม่ผิดเพี้ยน และไม่รอให้เสี่ยวเอ้อไต่ถาม ก็พูดขึ้นโดยตรง “พวกเราไปห้องรับรองชั้นสอง”
เสี่ยวเอ้อหันไปตะโกนบอกชั้นบนอย่างยินดี “ห้องรับรองชั้นบนสามท่าน!”
สิ้นเสียง ก็มีคนหนึ่งวิ่งตุ๊บๆๆ ลงมาจากด้านบน “กี่ท่าน…” พูดยังไม่ทันจบ ก็ร้องทักอย่างดีใจระคนประหลาดใจ “น้องโยวเอ๋อร์!”