ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 171-1 งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน
ไม่ว่าคนในหมู่บ้านจะคิดอย่างไร ทุกคนในสกุลเมิ่งต่างปิติยินดีจนเกือบเสียสติแล้ว โดยเฉพาะเมิ่งจงจวี่ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลเป็นสาย หัวหน้าสกุลเมิ่งยิ่งปลาบปลื้มปิติเปิดศาลเจ้าประจำสกุล เป็นผู้นำลูกหลานสกุลเมิ่งทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บอกกล่าวบรรพชนผู้ล่วงลับว่าสกุลเมิ่งมีถงเซิงอายุสิบปี แน่นอนว่านี้เป็นเรื่องท้ายสุด เอาไว้ค่อยพูดที่หลัง
เริ่มพูดถึงบ้านสกุลเมิ่งก่อน นอกจากเมิ่งจงจวี่และภรรยา คนทั้งหมดกลับมาถึงบ้านอย่างองอาจผึ่งผาย พอพ้นประตูเข้ามาเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ร้องด้วยความยินดีเสียงลั่น “แม่เอ๋ย รีบออกมา ทุกคนมากล่าวคำอวยพรให้พวกเราแล้ว”
เมิ่งชื่อวิ่งปลาบปลื้มใจออกมาจากในบ้าน ทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง “รีบเข้าไปนั่งในบ้านเถอะ”
เมิ่งต้าจินและภรรยา เมิ่งซานถงและภรรยาเดินเข้าไปในบ้าน
เมิ่งเสียนกลับถามอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ อี้เซวียนเล่า?”
เมิ่งอี้เซวียนได้ยินเสียงเอะอะเดินออกมาจากในบ้าน เอ่ยปากพูดเสียงแผ่ว “พี่ใหญ่ ข้าอยู่นี่”
เมิ่งเสียนเดินขึ้นหน้า อุ้มเขาขึ้นหมุนหลายรอบอย่างตื่นเต้นยินดี “อี้เซวียน ครั้งนี้เจ้าเป็นเกียรติเป็นศรีให้กับครอบครัวของเราแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนไม่เคยถูกคนอุ้มแบบนี้มาก่อน ใบหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขี
เมิ่งเจี๋ยเริ่มอิจฉา เดินไปร้องขอตรงหน้าเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ข้าจะเอาด้วย”
เมิ่งเสียนวางเมิ่งอี้เซวียนลง อุ้มเขาชูขึ้นเหนือหัวแล้วเหวี่ยงหมุนเป็นวง ทั้งลานบ้านเต็มตื้นไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของเมิ่งเจี๋ย
เมิ่งต้าจินนั่งลงในบ้าน ปรับสภาพจิตใจที่เต้นโครมคราม พูดว่า “อี้เซวียนอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้ อย่าว่าแต่ในตำบลชิงซี ต่อให้ทั้งอำเภอชิงเหอเกรงว่าก็จะเป็นคนแรก พวกเราจะต้องฉลองกันให้เต็มที่”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “ใช่ จะต้องฉลอง ต้องให้คนละแวกใกล้เคียงนี้ได้รู้ว่า สกุลเมิ่งของพวกเรามีถงเซิงอายุน้อยอีกคนแล้ว”
อารมณ์ชื่นมื่นเบิกบานของเมิ่งชื่อสะกดกลั้นไม่อยู่มาตลอด มีความคิดเช่นนี้นานแล้ว แต่ไม่รู้ต้องทำอย่างไร จึงถามขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเราต้องฉลองอย่างไร?”
เมิ่งต้าจินขบคิดครู่หนึ่ง ตอบว่า “เรียกรวมหมู่ญาติทั้งหมดของพวกเรามา ตั้งโต๊ะจำนวนหนึ่ง ให้ทุกคนได้มีความสุขร่วมกัน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าเห็นพ้อง “ได้ ทำตามที่พี่ใหญ่ว่า ประเดี๋ยวจะให้เด็กๆ ไปแจ้งข่าวต่อวงศาคณาญาติทั้งหมด เชิญพวกเขามากินข้าววันพรุ่งนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ไปบอกป้าหวังว่าอีกหนึ่งเดือนหวังหู่ก็จะกลับมาบ้าน เดินเข้ามาจากด้านนอก ร้องทักทายทุกคนอย่างยินดี กล่าวว่า “ที่พวกท่านพูดมาข้าได้ยินหมดแล้ว เมื่อพวกเราจะฉลอง ก็จัดให้ใหญ่เสียหน่อย ความคิดของข้าคือพวกเราตั้งโต๊ะกินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี[1]สามวัน ไม่ว่าใครมาจากที่ไหนก็สามารถเข้ามากินเปล่าได้”
พอได้ยินว่าจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน ทุกคนก็ตกใจดวงตาเบิกโพลง เมิ่งต้าจินถามขึ้นทันควัน “โยวเอ๋อร์ พวกเราทำแบบนี้จะโอ้อวดเกินไปหรือไม่?”
“อาจจะดูโอ้อวดไปบ้าง ทว่านับจากนี้ไปชื่อเสียงสกุลเมิ่งของพวกเราก็จะยิ่งลือเลื่อง” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
พอคิดว่าต่อไปไม่ว่าเดินไปทางไหน พอเอ่ยถึงสกุลเมิ่งของหมู่บ้านหวงก็จะไม่มีใครไม่รู้จัก เมิ่งต้าจินเริ่มสั่นคลอน
เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับรู้สึกลังเล “งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน ต้องใช้เงินมากเพียงใด ตอนนี้บ้านเราไม่มีโรงงาน ทั้งยังซื้อภูเขาและที่ดินร้างอีกจำนวนมาก เงินในมือมีไม่มากแล้ว หากจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน เกรงว่าต่อไปจะไม่มีเงินจ้างคนอีก”
เมิ่งชื่อก็รู้สึกปวดใจ พูดโน้มน้าวเมิ่งเชี่ยนโยว “ทำตามที่ลุงใหญ่บอกเถอะ จัดโต๊ะไม่กี่ตัว เชิญญาติสนิทมิตรสหายจากครอบครัวต่างๆ มากินข้าวด้วยกันสักมื้อก็พอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางคิดอะไร พูดปลอบใจพวกเขา “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องเงินพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง อย่าว่าแต่สามวันเลย ต่อให้งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามสิบวัน พวกเราก็มีเงินมาใช้จ่าย”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเป็นคนดูแลบัญชี แต่ละวันมีรายรับเท่าใด รู้ชัดแจ้งใจดี ลองคิดคำนวณคร่าวๆ ก็พอจะรู้ว่าครอบครัวตัวเองมีเงินอยู่เท่าไหร่ หักรายจ่ายช่วงเวลาที่ผ่านมาออกไป ครอบครัวเหลือเงินไม่กี่มากน้อยแล้ว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ถามอย่างแคลงใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าไปเอาเงินเหล่านั้นมาจากไหน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่กล้าพูดว่าตัวเองมีป้ายหยกที่สามารถนำไปขึ้นเงินเมื่อไหร่ก็ได้ชิ้นหนึ่ง ทำได้เพียงพูดโกหก “ท่านพ่อ หลายวันมานี้นอกจากอี้เซวียนจะสอบถงเซิงได้ ยังเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนชุดใหญ่มาได้ อีกสองวันอีกฝ่ายจะเข้ามาขนถ่ายสินค้า ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะมีรายรับแล้ว”
เมิ่งชื่อได้ฟังถามอย่างตื่นเต้น “พวกเจ้ายังเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนมาได้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อีกฝ่ายต้องการกระเป๋านักเรียนคุณภาพดีหนึ่งร้อยใบและกระเป๋านักเรียนคุณภาพรองยี่สิบใบ”
พอได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการในคราเดียวมากเช่นนี้ เมิ่งชื่อยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก หันไปพูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งเอ้ออิ๋น “พ่อเอ๋ย พวกเรากำลังจะมีเงินแล้ว เชื่อโยวเอ๋อร์เถอะ จัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน ข้าจะให้ทุกคนได้รู้ว่า ครอบครัวพวกเราได้ลูกเขยชั้นเลิศมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย รีบพูดทันควัน “ท่านแม่ พวกเราเลี้ยงฉลองที่อี้เซวียนได้เป็นถงเซิง ไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่น”
เมิ่งชื่อนึกว่านางเขินอาย หัวเราะพูด “จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร อี้เซวียนเป็นสามีในอนาคตของเจ้า ตอนนี้เขามีอนาคตที่ดีเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นโชควาสนาของเจ้า แม่อยากให้ทุกคนได้รู้ว่า ลูกสาวแม่โชคดีมากเพียงใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แสร้งพูดข่มขู่เมิ่งชื่อ “ท่านแม่ หากท่านทำเช่นนี้ บ้านเราไม่ต้องจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีแล้ว ข้ากลัวท่านจะทำทุกคนตกใจจนหนีไปหมด”
เมิ่งชื่อเห็นนางไม่พอใจ ก็ให้ประหลาดใจ ตกใจถาม “โยวเอ๋อร์ อย่าบอกว่าเจ้ายังคิดจะให้เวลาผ่านไปหลายปี แล้วเพิกถอนการแต่งงานนี้นะ?”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ ในห้องต่างหันมองนางเป็นตาเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวจนใจ จำต้องยกธงยอมแพ้ “ก็ได้ๆๆ ท่านแม่ ขอเพียงท่านไม่ให้พวกเราแต่งงานเดี๋ยวนี้ ท่านอยากพูดกับคนอื่นอย่างไรก็พูดไปเถอะ ข้าไม่มีความคิดเห็น”
ไม่คิดว่าเมิ่งชื่อจะตบหน้าขาดังฉาด แล้วพูดขึ้นว่า “นี่นับเป็นความคิดที่ดี พ่อเอ๋ย ไม่อย่างนั้นพวกเราใช้โอกาสนี้จัดงานแต่งงานให้พวกเขาเลย รอให้พวกเขาโตอีกหน่อยค่อยเข้าห้องหอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจสะดุ้งโหยง เบิกตาโพลงถามเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านไม่ได้พูดจริงใช่ไหม?”
เมิ่งชื่อถลึงนางใส่นาง “เจ้าลูกคนนี้ แม่มีเวลามาพูดเล่นกับเจ้าหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องโอดครวญ “ท่านแม่ หากท่านให้พวกเราแต่งงานกันจริงๆ ข้าจะหนีออกจากบ้าน ดูว่าท่านต้องการลูกสาวหรือว่าลูกเขย”
คนทั้งหมดหัวเราะครื้นเครงกับปฏิกิริยาของนาง
เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะพูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งชื่อ “ลูกๆ ยังเด็ก ยังไม่ต้องรีบร้อนเรื่องแต่งงาน อย่างไรพวกเขาก็ยังเล็ก อีกสองปีค่อยพูดก็ยังไม่สาย ตอนนี้พวกเราถกกันเรื่องงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ว่าจะจัดหรือไม่จัด?”
พอได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนขายกระเป๋านักเรียนได้ร้อยกว่าใบ เมิ่งชื่อก็มีความมั่นใจขึ้น “จัดสิ เหตุใดจะไม่จัด? ข้ายังรอจะบอกทุกคนว่าอี้เซวียนไม่เพียงเป็นบุตรชายข้า ภายหน้าจะยังเป็นบุตรเขยของครอบครัวเราด้วย ใครก็อย่าฝันจะมาคิดหวัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางพูดวกกลับมาเรื่องเดิม พูดเสียงแหว “ข้าจะหนีออกจากบ้านเดี๋ยวนี้ พวกท่านใครก็อย่ามาขวาง”
คนทั้งหมดหัวเราะครื้นเครง
เห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาต่างยินยอมตกลงแล้ว เมิ่งต้าจินจึงทำการตัดสินใจ “ได้ เช่นนั้นก็ทำตามที่โยวเอ๋อร์บอก พวกเราจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน หากเงินไม่พอ บ้านข้ายังมีอีกหลายสิบตำลึง ประเดี๋ยวจะให้ป้าสะใภ้ใหญ่เอามาให้พวกเจ้า”
เมิ่งซานถงก็พูดบ้าง “ครอบครัวพวกเราก็มีหลายสิบตำลึง ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปเอามา”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนโบกมือ “ท่านลุงใหญ่ ท่านอาสาม ไม่ต้องแล้ว เงินของพวกเราพอใช้แล้ว ถึงเวลานั้นพวกท่านเข้ามาช่วยก็พอ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินยิ้มพูด “อี้เซวียนเชิดหน้าชูตาให้สกุลเมิ่งของพวกเรา เมื่อพวกเจ้าออกเงิน พวกเราก็ออกแรง เอาอย่างนี้เถอะ เรื่องทำอาหารพวกเจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ยกให้เป็นหน้าที่ข้ากับน้องสะใภ้สาม ประเดี๋ยวพวกเราจะไปหามือดีด้านการทำอาหารในหมู่บ้าน ให้พวกเขามาช่วยด้วย”
ภรรยาเมิ่งซานถงพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม “ข้าจะไปพร้อมพี่สะใภ้ใหญ่”
พอคิดว่าถึงเวลานั้นจะมีคนมาช่วยมากมาย เมิ่งชื่อก็ไม่บอกปัด ยิ้มพูด “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ น้องสะใภ้สาม”
ทั้งสองแย้มยิ้มโบกมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับทั้งสองคน “ข้าคาดว่าคนที่จะมางานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีคงมีไม่น้อย ทางที่ดีพวกท่านหาคนมาให้เยอะหน่อย แบ่งพวกเขาออกเป็นสองชุด ชุดหนึ่งทำอาหารตอนเช้า อีกชุดหนึ่งทำอาหารตอนบ่าย ให้พวกนางได้มีเวลาพักผ่อน ไม่เช่นนั้นจะทำพวกนางเหนื่อยล้าได้”
ภรรยาเมิ่งต้าจินและภรรยาเมิ่งซานถงพยักหน้า “โยวเอ๋อร์ยังคงคิดรอบคอบเสมอ ประเดี๋ยวตอนที่พวกเราไปหาคนจะบอกพวกนางเช่นนี้”
“ท่านบอกพวกนางว่า ช่วงเวลาครึ่งวันนี้จะมีค่าตอบแทนให้พวกนางห้าสิบตำลึง” เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอีกคำ
ทั้งสองพยักหน้า
จัดการเรื่องเสร็จแล้ว คนทั้งหมดก็หารือเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย กำหนดวันจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี จากนั้นแยกย้ายไปทำเรื่องที่ได้รับมอบหมาย
เมิ่งเสียน เมิ่งฉีรวมถึงเมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ของตัวเอง คนทั้งสกุลเมิ่งต่างวุ่นวายโกลาหล กลับลืมเรื่องหนึ่งไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือไปบอกเมิ่งจงจวี่และภรรยาเรื่องที่เมิ่งอี้เซวียนสอบถงเซิงได้
ยามว่างเมิ่งจงจวี่จะฝึกเขียนอักษรในบ้าน หญิงชราเมิ่งก็ไม่ชอบออกไปนั่งคุยบ้านคนอื่น ดังนั้นคนทั้งหมู่บ้านหวงต่างรู้กันหมดว่าเมิ่งอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ ยกเว้นพวกเขาสองคนที่ไม่รู้เลย
พอเห็นว่าเย็นมากแล้ว ภรรยาเมิ่งต้าจินยังไม่กลับมาทำอาหารเหมือนเคย หญิงชราเมิ่งก็ให้คลางแคลงใจ พูดกับเมิ่งจงจวี่ที่กำลังฝึกเขียนอักษร “มันฝรั่งก็ปลูกเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดวันนี้สะใภ้ต้าจินถึงยังกลับมาช้าเช่นนี้?”
เมิ่งจงจวี่ไม่แม้แต่จะเงยหน้า “คงมีเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้า เจ้าไปทำอาหารก่อนเถอะ พอพวกเขากลับมากินข้าวเสร็จจะได้ไปพักผ่อน”
เมิ่งชื่อลงจากเตียง เข้าครัวไปทำอาหาร
กระทั่งทำอาหารเสร็จ ก็ยังไม่เห็นคนทั้งหมดกลับมา เริ่มตะขิดตะขวงใจ ถามเมิ่งจงจวี่ “เย็นย่ำป่านนี้แล้ว ไม่มีใครกลับมาสักคน คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ?”
ท้องฟ้ามืดสลัว เมิ่งจงจวี่เก็บกระดาษพู่กันแล้ว ในตอนนี้กำลังนั่งหลับตาฟื้นฟูจิตใจบนเก้าอี้ ได้ยินคำพูดของหญิงชราเมิ่งก็ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน พูดอย่างเป็นกังวล “ข้าจะไปดูที่บ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่”
หญิงชราเมิ่งยับยั้งเขา “เย็นย่ำแล้ว เส้นทางก็ไม่ค่อยดี ให้เถี่ยเอ๋อร์ไปเถอะ”
เมิ่งจงจวี่นอนบนเตียงมานานหลายเดือน รู้ว่าไม่ควรหักโหมเกินไป เขาก็กลัวฟ้ามืดทางไม่ดี หากตัวเองล้มกลิ้งไปจริงๆ ต้องกลับไปมีสภาพเหมือนก่อน จะยิ่งแย่ จึงพยักหน้าเห็นด้วย เดินเข้าไปในห้องเมิ่งเสียวเถี่ย พูดกับเขาว่า “พี่ใหญ่เจ้าทั้งครอบครัวจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมาสักคน เจ้าไปดูที่บ้านพี่รองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”
บาดแผลบนตัวเมิ่งเสียวเถี่ยหายเป็นปกติดีแล้ว ได้ยินคำพูดเมิ่งจงจวี่ก็ลุกเดินออกไป
เมิ่งจงจวี่และภรรยารอคอยอย่างกระสับกระส่ายที่บ้าน
มองดูท้องฟ้าที่มืดมิดลงเรื่อยๆ เมิ่งเสียวเถี่ยก็ยังไม่กลับมา เมิ่งจงจวี่นั่งไม่ติดแล้ว ลุกขึ้นพูดกับหญิงชราเมิ่ง “เจ้ากับข้าออกไปดูด้วยกัน ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หญิงชราเมิ่งก็ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ได้ฟังจึงลงจากเตียง ใส่รองเท้า แล้วประคองเมิ่งจงจวี่เดินออกไปพร้อมกัน
ในตอนนี้เมิ่งเสียวเถี่ยเดินลากเท้าขาหนึ่งวิ่งโยกเยกเข้ามาจากด้านนอก เห็นสองผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าประตู พูดกับคนทั้งสองอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ อี้เซวียนสอบถงเซิงได้”
เมิ่งจงจวี่ปลาบปลื้มใจ ไม้เท้าในมือร่วงหล่นพื้น ถามเสียงสั่น “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เมิ่งเสียวเถี่ยพูดซ้ำอีกครั้ง “อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ พวกพี่ใหญ่กำลังยุ่งเรื่องจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี”
เมิ่งจงจวี่เมินเฉยต่อคำพูดหลังจากนั้นไปโดยปริยาย ในสมองมีแต่คำว่าอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ ตื้นตันใจจนน้ำตาเอ่อคลอ
เมิ่งเสียวเถี่ยสะดุ้งตกใจ รีบเดินสองสามก้าว มาเบื้องหน้าเมิ่งจงจวี่ กระวนกระวายถาม “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร?”
เมิ่งจงจวี่ปลื้มปริ่มจนพูดไม่ออกแล้ว โบกสะบัดมือให้เมิ่งเสียวเถี่ย
เมิ่งเสียวเถี่ยและหญิงชราเมิ่งรีบประคองเมิ่งจงจวี่ไปนั่งบนเก้าอี้
อึดใจหนึ่งเมิ่งจงจวี่ถึงเอ่ยปากอย่างปลาบปลื้มสุขล้น “สวรรค์ สวรรค์ช่างดีต่อสกุลเมิ่งของข้านัก”
หญิงชราเมิ่งก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลพราก “ตาเฒ่าเอ๋ย โยวเอ๋อร์ของเราชะตาชีวิตดีโดยแท้ ภายหน้าจะต้องเป็นลูกหลานที่มีบุญวาสนาที่สุดของพวกเรา”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้างุดๆ “เด็กคนนั้นจิตใจดีงามมีเมตตากรุณา นี่ก็คือทำดีย่อมได้ดี”
เมิ่งเสียวเถี่ยอยู่อีกด้านพยักหน้าเห็นพ้อง
สักพักใหญ่อารมณ์ของสองผู้เฒ่าถึงสงบลงได้
[1] หลิวสุ่ยสี(流水席) รูปแบบงานเลี้ยงที่ให้ผู้มาร่วมงานเข้ามากินดื่มได้ตามชอบใจ