ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 171-2 งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน
หญิงชราเมิ่งถึงนึกขึ้นได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเมิ่งเสียวเถี่ยมีคำพูดต่อจากนั้นอีก เอ่ยปากถามเขา “เถี่ยเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้ายังพูดอะไรอีก?”
เมิ่งเสียวเถี่ยกระวีกระวาดตอบ “พวกพี่ใหญ่บอกว่า เพื่อเฉลิมฉลองที่อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ ตัดสินใจจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีหน้าประตูบ้านพี่รองให้กินดื่มโดยไม่เสียเงินตลอดสามวัน”
หญิงชราเมิ่งร้องอุทาน “งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน เช่นนั้นต้องใช้เงินมากเท่าใด?”
เมิ่งจงจวี่กลับยิ่งทวีความปลื้มปริ่ม “ดีๆๆ คราวนี้ชื่อเสียงของพวกเราสกุลเมิ่งจะได้ขจรขจาย และถือว่าข้าไม่มีอะไรให้ละอายใจต่อบรรพบุรุษสกุลเมิ่งแล้ว” พูดจบ ลุกขึ้นยืน “เสี่ยวเถี่ย เร็วเข้า ประคองข้าไปบ้านพี่รองเจ้า ข้าจะไปดูอี้เซวียนด้วยตัวเอง”
สองคนคนหนึ่งอายุมากแล้ว อีกคนเหลือขาข้างเดียว ค่ำคืนมืดมิด หญิงชราเมิ่งย่อมไม่ยอมให้พวกเขาไป พูดหว่านล้อม “ตาเฒ่า วันนี้ดึกมากแล้ว โยวเอ๋อร์กับอี้เซวียนกลับมาจากในจังหวัดก็คงจะเหนื่อย พอกินข้าวเสร็จจะต้องพักผ่อนแต่หัวค่ำ เจ้าไม่ต้องไปแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้กินข้าวเช้าเสร็จค่อยไปหาพวกเขา”
เมิ่งจงจวี่กำลังอารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่าน ไหนเลยจะยอมฟังคำหว่านล้อม ดึงดันจะให้เสี่ยวเถี่ยประคองไปให้ได้
หญิงชราเมิ่งไม่มีทางเลือก จำต้องเดินไปเก็บไม้เท้าข้างประตู พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย แบบนี้ข้าค่อยวางใจได้หน่อย”
เมิ่งจงจวี่ไม่คัดค้าน ทั้งสามประคองกันเดินออกไป มาถึงหน้าประตูใหญ่ ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล ทั้งสามหยุดชะงัก ไม่นานเมิ่งต้าจิน ภรรยา เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็เดินมาถึงหน้าประตู
เห็นทั้งสามคนยืนอยู่หน้าประตู เมิ่งต้าจินรีบร้อนถาม “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านจะไปไหนกันหรือ?”
“พ่อเจ้าได้ยินว่าอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ ดีใจยกใหญ่ จะไปหาอี้เซวียนตอนนี้ให้ได้” หญิงชราเมิ่งตอบ
เมิ่งต้าจินเดินเข้ามาประคองเมิ่งจงจวี่ พูดว่า “ท่านพ่อ ดึกดื่นแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปเถอะ อีกอย่างพวกเรายังมีเรื่องจะปรึกษาท่านด้วย?”
“เรื่องอะไร?” เมิ่งจงจวี่ถาม
เมิ่งต้าจินฉวยโอกาสนี้ประคองเขาเดินเข้าบ้าน “ข้ากับน้องรองน้องสามปรึกษากันแล้ว พรุ่งนี้เตรียมงานหนึ่งวัน วันมะรืนจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี พวกเราจะให้ท่านเป็นผู้กล่าวโอวาทก่อนเปิดงาน ไม่ทราบว่าท่านยินดีหรือไม่?”
เรื่องเป็นเกียรติเป็นศรีเช่นนี้เมิ่งจงจวี่ไหนเลยจะไม่ยินดี ลืมเรื่องจะไปหาเมิ่งอี้เซวียนทันใด รับปากเต็มคำ “ยินดี ข้าย่อมยินดี”
“เช่นนั้นเดี๋ยวพอท่านกินอาหารเสร็จก็รีบไปคิดว่าจะพูดอย่างไร เพราะเหลือเวลาแค่วันเดียวแล้ว” เมิ่งต้าจินพูด
เมิ่งจงจวี่พยักหน้าเบิกบานใจ “ได้ ข้ากลับเข้าห้องค่อยคิด”
หลังจากทั้งครอบครัวกินข้าวแล้ว เมิ่งต้าจินและภรรยาก็พูดเรื่องที่พวกเราหารือกันเรียบร้อยแล้วว่าจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีอย่างไรให้สองผู้เฒ่าฟังอย่างละเอียด ถามเขาว่ามีตรงไหนตกหล่นหรือไม่
เมิ่งจงจวี่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วบอกพวกเขาว่า การจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีโดยให้กินเปล่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องควบคุมการดำเนินการให้ดี ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น อย่างเช่นบางคนทั้งกินทั้งห่อกลับ หรือบางคนก็มากินทุกมื้อ เรื่องพวกนี้จะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้น
พวกเมิ่งต้าจินไม่ได้คิดคำนึงถึงเรื่องพวกนี้เลย รีบร้อนพูด “ขอบคุณท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกน้องรองและน้องสาม ดูว่าต้องทำอย่างไรจะสกัดกั้นเรื่องพวกนี้ได้”
ตลอดทั้งคืน นอกจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน คนในสกุลเมิ่งแทบทั้งหมดต่างตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับ
เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเมื่อเจอเรื่องดีจิตใจก็กระปรี้กระเปร่า เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อที่แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน หลังจากตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังคงกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา
หลังจากกินอาหารเช้า เมิ่งเอ้ออิ๋นเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็บังคับรถม้าออกไปยืมโต๊ะเก้าอี้จากครอบครัวต่างๆ โดยรอบ ทั้งบอกพวกเขาเรื่องที่ครอบครัวตัวเองจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี และให้พวกเขาบอกญาติสนิทมิตรสหายของตัวเอง สามวันนี้ให้มากินดื่มกันได้ตามอัธยาศัย
คนในหมู่บ้านยินดีปรีดา แยกย้ายกันไปกระจายข่าว บางคนให้ลูกหลานของตัวเองไปแจ้งข่าวดีแก่ญาติสนิทมิตรสหาย พริบตาเดียวเกิดเสียงดังระงม อึกทึกคึกคักไปทั้งหมู่บ้าน มีเพียงประตูใหญ่บ้านหนิวโก่วจื่อที่ปิดสนิท ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ชาวบ้านที่ผ่านหน้าบ้านพวกเขาต่างต้องเหล่มองเข้าไปด้านใน ลอบขบคิดสองสามีภรรยาชอบประจบสอพลอคู่นี้จะมีสีหน้าอย่างไร
พวกเขาไม่รู้ว่าหนิวโก่วจื่อและภรรยาที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบมาตลอด ตอนนี้ต่างเสียใจจนไส้เขียวไปหมดแล้ว แทบอยากจะไปแย่งเมิ่งอี้เซวียนกลับมา แต่พวกเขารู้ว่าถ้าทำเช่นนั้นจริงๆ ด้วยนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวในตอนนี้ จะต้องจับพวกเขาโยนให้เป็นอาหารจิ้งจอกบนเขาอย่างแน่แท้ ดังนั้นจึงปิดประตูใหญ่สนิท เมื่อไม่เห็นก็ไม่รู้สึก แต่หนิวตั้นไม่เหมือนกัน พอได้ยินว่าเป็นงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีให้กินเปล่า ก็ดีใจกระโดดโลดเต้น ฉวยโอกาสที่สองสามีภรรยาไม่สังเกต แอบเปิดประตูใหญ่วิ่งออกไป สองเท้าสั้นกระจิดวิ่งตรงมาที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นเมิ่งอี้เซวียนที่อยู่ในลานบ้าน กระโจนเข้าหาแล้วร้องเรียก “ท่านพี่” ด้วยอารามดีใจ ทั้งวิงวอนเขา “ท่านพี่ ข้าก็อยากกินงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี”
เมิ่งอี้เซวียนลูบหัวเขา รับปากด้วยความยินดี “ได้ พรุ่งนี้หนิวตั้นมาหาพี่ พี่จะพาเจ้าไปกินงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี”
หนิวตั้นดีใจร้องไชโย เห็นเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงกำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่อย่างสนุกสนาน ก็เข้าไปถามอย่างสั่นกลัว “พวกเจ้าสอนข้าเล่นบ้างได้หรือไม่?”
เมิ่งเจี๋ยคุ้นเคยกับหนิวตั้นมานานแล้ว จึงไม่ปฏิเสธ สอนเขาเล่นแมลงปอไม่ไผ่อย่างมีความสุข เมิ่งชิงรู้สึกไม่พอใจ ทำปากยื่นยืนอีกด้านอย่างไม่ยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกวักมือเรียกเขา เมิ่งชิงวิ่งเข้ามาร้องเรียกอย่างน้อยใจ “ท่านพี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ถามอย่างรู้แก่ใจ “ชิงเอ๋อร์เป็นอะไร? ใครทำเจ้าไม่พอใจ?”
เมิ่งชิงชี้หนิวตั้นที่เล่นแมลงปอไม้ไผ่อย่างสนุก “ข้าไม่ชอบเล่นกับเขา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เพราะอะไร?”
เมิ่งชิงตอบเสียงดัง “เมื่อก่อนพ่อแม่พวกเขาทำไม่ดีกับพี่อี้เซวียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง ยกยิ้มถามเขา “ใครเป็นคนบอกเจ้า?”
“ท่านแม่ข้า ท่านแม่ข้าเป็นคนบอก คนจิตใจเ**้ยมโหดอย่างพวกเขาสักวันจะต้องได้รับผลกรรม ไม่ให้ข้าไปเล่นกับหนิวตั้น” พอเอ่ยถึงมารดาตัวเอง เมิ่งชิงก็สีหน้าหมองมัวลง แต่ก็ยังตอบคำถามอย่างอ่อนน้อมเชื่อฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขาอย่างรักใคร่ มองดวงตาเขาถามอย่างจริงจัง “เจ้าเห็นพี่อี้เซวียนดีต่อหนิวตั้นหรือไม่?”
เมิ่งชิงพยักหน้า “ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมเหตุใดพี่อี้เซวียนถึงดีกับเขาเช่นนั้น?”
เมิ่งชิงย่นหัวคิ้วน้อยๆ ขบคิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจบอกเขา “นั่นเพราะเขาเป็นน้องชายพี่อี้เซวียน พี่อี้เซวียนเห็นเขาโตมาแต่อ้อนแต่ออก มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อเขา ถึงดีต่อเขาเช่นนั้น”
เมิ่งชิงพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ดังนั้นเห็นแก่หน้าพี่อี้เซวียน เจ้าก็ควรจะดีกับเขาด้วยเช่นกัน ต่อไปให้เล่นสนุกกับเขาพร้อมเจี๋ยเอ๋อร์”
เมิ่งชิงครุ่นคิดอึดใจหนึ่ง ถึงพยักหน้าถาม “เช่นนั้นต่อไปพวกเราสามคนก็จะเป็นน้องชายของพี่อี้เซวียนใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่แล้ว ดังนั้นต่อไปไม่ว่าพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหน จะต้องคอยดูแลกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
เมิ่งชิงรับคำอย่างยินดี “ทราบแล้ว พี่สาว ข้าจะไปเล่นกับพวกเขาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา “ไปเถอะ”
เมิ่งชิงวิ่งแจ้นเข้าไปร่วมวงกับเมิ่งเจี๋ยและหนิวตั้น ไม่นานเท่าไหร่เด็กตัวน้อยก็ส่งเสียงหัวเราะสนุกสนานออกมา
เมิ่งอี้เซวียนมองทั้งหมดนี้เงียบๆ แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
หลังจากเมิ่งจงจวี่กินอาหารเช้าเสร็จ ก็นั่งบนเก้าอี้ภายในบ้าน ขบคิดเรื่องคำกล่าวโอวาท คิดคำกล่าวออกมาได้หลายบทแต่ก็ยังไม่พอใจ ตอนที่กำลังกลัดกลุ้ม ด้านนอกมีเสียงร้องถาม “มีคนอยู่หรือไม่?”
คนในบ้านต่างออกไปช่วยเรื่องงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี เหลือเพียงสองผู้เฒ่าอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงร้องตะโกน เมิ่งจงจวี่เดินออกมาจากในบ้าน กำลังจะซักถามว่าใคร กลับเห็นคนในสกุลตัวเองประคองหัวหน้าสกุลยืนอยู่หน้าประตูบ้านตนเอง
เมิ่งจงจวี่ผลุนผลันเร่งฝีเท้าเดินออกไป ถามอย่างอ่อนน้อม “ท่านผู้เฒ่ามีเรื่องอันใดให้คนมาแจ้งข่าวก็ได้ เหตุใดต้องมาด้วยตัวเอง รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อน”
หัวหน้าสกุลเฒ่าก็ไม่ปฏิเสธ ตามเขาเข้ามาในบ้าน แล้วพูดว่า “วันนี้ข้ามาหาท่าน เพราะอยากปรึกษาท่านเรื่องเปิดศาลบรรพบุรุษเซ่นไหว้บรรพชน”
พอได้ยินว่าเป็นเสียงหัวหน้าสกุลเฒ่า หญิงชราเมิ่งก็รีบเข้ามาต้อนรับ กล่าวทักทายหัวหน้าสกุลเฒ่าอย่างเป็นกันเอง
เมิ่งจงจวี่กำชับนาง “ท่านหัวหน้าสกุลเฒ่าอุตส่าห์มาบ้านพวกเรา เจ้าจงไปชงใบชาชั้นดีที่โยวเอ๋อร์ซื้อให้ข้าเข้ามา”
หญิงชราเมิ่งรับคำออกไปชงชา
เมิ่งจงจวี่และหัวหน้าสกุลเฒ่านั่งบนเก้าอี้ดีแล้ว ถึงถามอย่างไม่เข้าใจ “การเปิดศาลบรรพบุรุษจะกระทำในวันปีใหม่ของทุกปีและตอนที่เกิดเรื่องสลักสำคัญไม่ใช่หรือ? ช่วงนี้ข้าไม่ได้ยินว่าสกุลเราเกิดเรื่องใหญ่อันใด เหตุใดท่านถึงคิดจะเซ่นไหว้บรรพชนเล่า?”
หัวหน้าสกุลเฒ่าแย้มยิ้มกล่าวว่า “จงจวี่เอ๋ย ข้าว่าเจ้าดีใจจนเลอะเลือนแล้ว อี้เซวียนสอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่งด้วยวัยเพียงสิบปี เป็นถงเซิงอย่างง่ายดาย เรื่องดีเรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกเราไม่ควรเซ่นไหว้บอกกล่าวต่อบรรพชนสกุลเมิ่งหรือ?”
เมิ่งจงจวี่ถามอย่างปลาบปลื้ม “ท่านหมายความว่า พวกเราจะเปิดศาลบรรพบุรุษเซ่นไหว้บรรพชนเพื่ออี้เซวียน”
หัวหน้าสกุลเฒ่าพยักหน้า
เมิ่งจงจวี่เริ่มพูดตะกุกตะกัก “ตะ ตะ แต่เขาหาได้เป็นลูกหลานสกุลเมิ่งของพวกเราอย่างแท้จริง ทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ?”
หัวหน้าสกุลเฒ่ายิ้มพูด “จงจวี่เอ๋ย เจ้าดีใจจนเลอะเลือนไปแล้ว อี้เซวียนได้เข้ามาอยู่ในบันทึกเชื้อสายประจำสกุลเมิ่งแล้ว เขาก็คือลูกหลานของพวกเราสกุลเมิ่ง เรื่องสลักสำคัญที่เขาสอบถงเซิงได้นี้ ย่อมต้องบอกกล่าวให้บรรพชนของพวกเรารับรู้”
เมิ่งจงจวี่ยังคงตื้นตันใจ “เอ่อๆๆ…”
หัวหน้าสกุลเฒ่าเห็นอาการตื่นเต้นดีใจของเขา รู้ว่าเขายอมรับปากแล้ว ก็ให้ยินดีไปด้วย พูดว่า “จงจวี่เอ๋ย เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อวานตอนที่เด็กๆ มาบอกข่าวนี้แก่ข้า ข้าตื้นเต้นปิติยิ่งกว่าเจ้าอีกเล่า หากไม่เพราะพวกเขาบอกว่าฟ้ามืดแล้ว ไม่เหมาะให้ข้าออกจากบ้าน เกรงว่าข้าคงมาหาเจ้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
เมิ่งจงจวี่พูดอย่างตื้นเต้น “ข้าก็เช่นกัน เมื่อคืนวานข้าดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้พอตื่นมากลับยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่า”
หัวหน้าสกุลเฒ่าหัวเราะลั่น
หญิงชราเมิ่งนำชาที่ชงเสร็จแล้วเข้ามา เมิ่งจงจวี่ลุกขึ้นนำน้ำชามามอบให้หัวหน้าสกุลเฒ่าด้วยตัวเอง “นี่เป็นชาเถี่ยกวนอินชั้นเลิศของปีนี้ ท่านลองลิ้มรสดู”
หัวหน้าสกุลเฒ่าก็ไม่เกรงใจ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างระวังหนึ่งคำ หลังจากลิ้มรสอย่างละเมียดก็พูดชื่นชม “กลิ่นหอมเต็มปาก เป็นยอดชาโดยแท้”
เมิ่งจงจวี่ก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำอย่างเบิกบานใจ นั่งบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าเต็มตื้น