ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 171-3 งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน
หลังจากดื่มชาอีกสองสามคำ หัวหน้าสกุลเฒ่าก็วางถ้วยชาลง “จงจวี่เอ๋ย เจ้าช่างโชคดีนัก มีหลานสาวเก่งกาจสามารถ ตอนนี้ก็มีหลานชายฉลาดล้ำเลิศ ชีวิตจากนี้ไปของเจ้าเหลือเพียงเสพสุขโชควาสนาแล้ว”
เมิ่งจงจวี่ยิ้มแล้วโบกมือ “ชีวิตเกิดมาก็ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน ไฉนเลยจะได้เสพสุขโชควาสนา เด็กๆ ดีใจเบิกบานกันมาก อยากจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีให้กินเปล่าสามวัน ให้ข้ากล่าวให้โอวาทก่อนเปิดงาน ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออกเลย”
เรื่องงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีหัวหน้าสกุลเฒ่ายังไม่เคยได้ยิน พอได้ฟังดวงตาพร่าเลือนคู่นั้นก็เบิกกว้าง ถามอย่างตกใจ “จัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน?”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้า
หัวหน้าสกุลเฒ่ายิ่งทวีความปลาบปลื้มใจ ลูบเครายาวหัวเราะลั่น “ดีๆๆ นับจากนี้ไปชื่อเสียงสกุลเมิ่งของพวกเราในตำบลชิงซีนี้จะไม่มีใครไม่เคยได้ยิน ไม่มีใครไม่รู้จักอีก”
เมิ่งจงจวี่เห็นเขาดีใจเช่นนี้ หยั่งเชิงถามขึ้น “ท่านผู้อาวุโสผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก พอจะช่วยข้าได้หรือไม่?”
ถูกยกยอสูงเช่นนี้ หัวหน้าสกุลเฒ่าย่อมไม่ปฏิเสธ ให้คำแนะนำเขาเป็นกระบุงโกย
เมิ่งจงจวี่ได้ฟังรีบกล่าวขอบคุณ “ผู้อาวุโสมีความรู้และประสบการณ์มากโดยแท้ จงจวี่ขอบคุณแล้ว”
หัวหน้าสกุลเฒ่าโบกมือ “ล้วนเป็นคนสกุลเดียวกัน ช่วยเจ้าก็คือช่วยข้า อีกทั้งนี่เป็นการช่วยเชิดชูเกียรติให้สกุลเมิ่งของพวกเรา ข้าออกแรงช่วยบ้างก็สมควรแล้ว”
เมิ่งจงจวี่กล่าวขอบคุณอีกครั้ง
ทั้งสองหารือเรื่องพิธีเซ่นไหว้บรรพชนอีกรอบ สุดท้ายตัดสินใจจะเปิดศาลบรรพบุรุษตอนบ่าย
เมื่อตกลงเรื่องเสร็จ หัวหน้าสกุลเฒ่าดื่มน้ำชาอีกหลายคำ จึงลุกขึ้นกลับไปเตรียมการพิธีเซ่นไหว้ เมิ่งจงจวี่รั้งเขาแล้วหันไปสั่งหญิงชราเมิ่ง “ไปเอาใบชามาจำนวนหนึ่ง”
หญิงชราเมิ่งนำใบชาเข้ามา
เมิ่งจงจวี่รับมาวางใส่มือหัวหน้าสกุลเฒ่า “ใบชาพวกนี้ ท่านนำกลับไปดื่มเถอะ”
หัวหน้าสกุลเฒ่าได้ยินเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินซื้อใบชาราคาหลายพันตำลึงมอบให้เมิ่งจงจวี่มานานแล้ว รู้ว่าใบชานี้ราคาแพงลิ่ว บอกปฏิเสธ “นี่เป็นความกตัญญูของเด็กๆ ข้าจะรับของราคาแพงลิ่วเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าเก็บไว้ค่อยๆ ดื่มเองเถอะ”
เมิ่งจงจวี่พูดว่า “หลายปีมานี้ ท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ใบชานี้ถือเป็นของกตัญญูที่ข้ามีต่อท่าน ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย”
หัวหน้าสกุลเฒ่าเห็นเมิ่งจงจวี่มอบให้เขาด้วยความตั้งใจจริง จึงรับไว้ ส่งให้เด็กรุ่นหลังข้างกาย แล้วพูดเกรงอกเกรงใจอีกสองสามคำ ถึงให้เด็กรุ่นหลังประคองออกไป
หัวหน้าสกุลเฒ่าเพิ่งเดินจากไป เมิ่งจงจวี่ก็บอกกล่าวหญิงชราเมิ่งแล้วผลุนผลันเดินไปบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น
สองสามีภรรยาเมิ่งและคนอื่นๆ ยืมโต๊ะเก้าอี้มาหลายคันรถแล้ว กำลังตั้งเรียงเป็นแนวหน้าประตูบ้านตัวเอง เห็นเมิ่งจงจวี่เดินเข้ามาลิบๆ เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบวิ่งเข้าไปประคองเขา “ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร?”
เมิ่งจงจวี่เดินไปพลางพูดว่า “เมื่อครู่หัวหน้าสกุลเฒ่ามาหาข้า บอกว่าอี้เซวียนเชิดหน้าชูตาให้สกุลเมิ่งของพวกเรา เขาจะเปิดศาลบรรพบุรุษ บอกกล่าวเรื่องดีนี้ต่อบรรพชน ข้ารับปากเห็นด้วยไปแล้ว พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ พิธีจะเริ่มตอนบ่าย”
เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังพูดด้วยความปลื้มปริ่ม “ข้าทราบแล้วท่านพ่อ ประเดี๋ยวข้าจะไปเตรียมตัว”
เมิ่งเสียนย้ายเก้าอี้ออกมาวางหน้าประตู
เมิ่งจงจวี่นั่งลงแล้วถาม “อี้เซวียนเล่า? ให้เขาออกมาหน่อยเถิด”
เมิ่งเสียนเข้าไปในบ้านเรียกเมิ่งอี้เซวียนออกมา
เมิ่งอี้เซวียนเดินมาเบื้องหน้าเมิ่งจงจวี่ ร้องเรียกอย่างว่านอนสอนง่าย “ท่านปู่”
เมิ่งจงจวี่มองเมิ่งอี้เซวียนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ถึงพบว่าเขาอายุเพียงเท่านี้ก็มีสง่าราศีไม่ธรรมดา บนตัวมีรัศมีเยี่ยงคนใหญ่คนโต ลูบเคราตัวเองแล้วพยักหน้ายินดี “ดีๆๆ”
การเซ่นไหว้บรรพชนเป็นพิธีสำคัญ ลูกหลานสกุลเมิ่งทุกคนจะต้องเข้าร่วม ดังนั้นเมิ่งเอ้ออิ๋นจึงให้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไปแจ้งข่าวแก่เมิ่งต้าจินและเมิ่งซานถง ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรให้หยุดไว้ก่อน แล้วรีบกลับมาเตรียมงานพิธีเซ่นไหว้บรรพชน
กินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นและลูกๆ ห้าคนรวมถึงเมิ่งชิงต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ไปยังศาลบรรพบุรุษอย่างหน้าชื่นตาบาน
หลังจากหัวหน้าสกุลหนิวได้รับทราบข่าวนี้ ก็ให้โมโหขว้างถ้วยชาในมือแตกละเอียด ร้องก่นด่าหนิวโก่วจื่อและภรรยา “หากไม่เพราะพวกเขาสายตาสั้นเขิน เห็นแก่เงินเล็กๆ น้อยๆ นั่น เกียรติยศชื่อเสียงนี้สมควรเป็นของพวกเราสกุลหนิว” ทั้งออกคำสั่งคนในสกุลหนิว “ต่อไปพวกเขามีเรื่องอะไร พวกเจ้าใครก็ห้ามไปช่วยเหลือ ให้พวกเขาเอาตัวรอดด้วยตัวเอง”
หัวหน้าสกุลหนิวกำลังโมโหเดือดดาล อีกด้านหัวหน้าสกุลเฒ่าเมิ่งก็เป็นผู้นำทำพิธีเซ่นไหว้บรรพชนอย่างชื่นบานเสร็จเรียบร้อย
สะใภ้บ้านเมิ่งทั้งสามคนก็ตระเตรียมความพร้อมสำหรับงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีครบถ้วนแล้ว รอคอยการมาถึงของวันพรุ่งนี้อย่างปิติยินดีและกระสับกระส่าย
เมื่อวานหลังจากคนในหมู่บ้านได้ยินเรื่องงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี คิดถึงผัดผักรวมเนื้อหมูหม้อใหญ่ตอนปลูกเรือนครั้งแรกของบ้านเมิ่ง ต่างก็ตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับ รอคอยให้วันนี้มาถึงโดยเร็ว มีบางคนถึงกับยอมไม่กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน เตรียมตัวรอเวลาช่วงเที่ยง จะได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ ดังนั้นหลังกินอาหารเช้าเสร็จหนึ่งถึงสองเค่อ ก็เริ่มมีคนอดใจรอไม่ไหว มาเลือกตำแหน่งที่นั่งหน้าประตูบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นแล้ว
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม นอกจากผู้หญิงผู้ชาย คนชราเด็กเล็กในหมู่บ้านที่มากันพร้อมหน้าแล้ว หมู่บ้านละแวกใกล้เคียงก็มียกโขยงมากันทั้งครอบครัว เห็นหน้าประตูบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นมีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงเป็นแนวยาว ก็ให้ตกใจครั่นคราม ลอบคิดในใจ คนมากมายมากินข้าวพร้อมกันในคราเดียว ช่วงเวลาสามวันนี้ต้องใช้เงินจำนวนมากเท่าใด
สะใภ้สกุลเมิ่งทั้งสามคนกล่าวทักทายผู้คนที่เข้ามา ให้ทุกคนหาที่นั่ง เตรียมตัวกินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี
ไม่ถึงยามซื่อ[1] โต๊ะเก้าอี้หน้าประตูก็ถูกคนที่มากินเลี้ยงหลิวสุ่ยสีนั่งจนเต็ม ด้านหลังยังมีคนทยอยกันมาไม่ขาดสาย พอเห็นว่าไม่มีที่นั่งแล้ว ก็ยืนรออยู่อีกด้าน รอให้คนชุดแรกกินเสร็จจะได้รีบเข้าไปนั่ง
เมิ่งต้าจินเห็นคนนั่งเต็มแล้ว เวลาก็ไม่เช้าแล้ว จึงหันไปพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ท่านพ่อ ท่านเริ่มกล่าวโอวาทเถอะ”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้า เดินไปยืนตรงด้านหน้ากลุ่มคน
เมิ่งต้าจินโบกมือให้กลุ่มคน ทุกคนพลันเงียบเสียงลง ต่างมองมาที่เมิ่งจงจวี่อย่างนิ่งสงบ
แม้เมิ่งจงจวี่จะเป็นซิ่วไฉ และมีประสบการณ์มาไม่น้อย แต่ก็ยังไม่เคยกล่าวโอวาทต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้มาก่อน อดตื่นเต้นประหม่าไม่ได้ แม้แต่เสียงก็เริ่มสั่นไหว กว่าจะพูดสิ่งที่อยากพูดจบ เหงื่อเม็ดใหญ่ก็ผุดซึมไปทั่วหน้าผากแล้ว
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นกุลีกุจอเข้าไปประคองเขาลงมานั่งอีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นมาด้านหน้าทุกคน พูดอย่างจริงจังขึงขัง “ทุกคนต่างทราบดี เพื่อเฉลิมฉลองที่น้องชายข้าสอบถงเซิงได้ ครอบครัวของพวกเราถึงจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีขึ้น จุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนมีความสุขร่วมกัน ดังนั้นเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่สบายใจต่อกัน ข้าขอพูดกฎระเบียบสองสามข้อ หวังว่าทุกคนจะปฏิบัติตาม ไม่เช่นนั้น ข้าจะขับคนผู้นั้นออกไป”
กลุ่มคนนิ่งเงียบสนิท
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง พูดว่ากฎข้อที่หนึ่งก็คือ ทุกคนสามารถกินอาหารในงานได้ตามสบาย อยากกินเท่าไหร่ก็กินเท่านั้น กระทั่งกินไม่ไหวแล้ว แต่ห้ามนำติดมือกลับไป แม้แต่ผักสักใบก็ไม่ได้
ฟังนางพูดจบ คนที่เตรียมสิ่งของหมายจะฉวยโอกาสเอากลับไป รีบนำสิ่งของที่ตัวเองนำมาซุกซ่อนไว้ในร่างกาย เลี่ยงไม่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเข้า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “กฎข้อที่สองก็คือ ภายในสามวันนี้ แต่ละคนจะกินได้เพียงหนึ่งมื้อ จะมากินทุกมื้อไม่ได้”
สิ้นเสียงนาง ในกลุ่มคนมีคนส่งเสียงผิดหวังออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดต่อ “กฎข้อที่สาม และเป็นข้อที่อยากบอกทุกคนมากที่สุด ก็คือเมื่อกินอิ่มแล้ว ก็ให้รีบลุกออกไป หลีกทางให้คนมาที่หลัง ห้ามจองที่นั่ง และยิ่งห้ามไม่ให้เกิดความบาดหมางกันเพราะเรื่องนี้”
พูดจบก็โบกมือ พวกอู๋ต้าห้าคนและพวกจางมู่ห้าคนรวมถึงเหวินเปียวสามพี่น้องเดินมายืนนิ่งด้านหน้าโต๊ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้พวกเขาแล้วพูดกับกลุ่มคน “ข้าจะให้พวกเขาคอยสอดส่อง หากมีใครฝ่าฝืนกฎสามข้อนี้ คนผู้นั้นจะถูกขับออกไปทันที ต่อไปเมื่อมีรับสมัครงานก็จะไม่เรียกใช้เขา”
ไม้นี้เด็ดขาด คนที่เพิ่งจะร้องโอดครวญพลันเงียบเสียงกริบ
สะใภ้หนิวโก่วจื่อที่หน้าด้านหน้าทนเข้ามาเบ้ปาก พูดอย่างดูแคลน “ไหนบอกว่าบ้านตัวเองมีเงินใช้ไม่หมดอย่างไร? ตอนนี้เหตุใดถึงไม่กล้าให้ทุกคนเข้ามากินเลี้ยงหลิวสุ่ยสีได้ทุกวันแล้ว ข้าว่ามีแต่เปลือกข้างในโหรงเหรงเสียไม่ว่า”
คนที่นั่งข้างนางได้ยินเขาพูดเช่นนี้ กริ่งเกรงเมิ่งเชี่ยนโยวจะได้ยิน พลอยให้ตัวเองไม่ได้กินเลี้ยงไปด้วย ต่างหาที่กระเถิบแยกไปคนละด้าน พยายามออกห่างนางให้มากที่สุด
ราวกับว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะได้ยินเสียงของนาง มองนางแวบหนึ่งเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
สะใภ้หนิวโก่วจื่อตกใจคอหัวหดพลัน พยายามลดการมีตัวตนของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจนาง หันไปพยักหน้าให้เมิ่งต้าจิน
เมิ่งต้าจินยกมือร้องตะโกน “งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีเริ่มได้!”
ลูกหลานสกุลเมิ่งแต่ละรุ่นเริ่มยกอาหารออกมา แต่ละโต๊ะมีอาหารคาวสองอาหารผักสอง เพิ่มพิเศษด้วยผัดผักรวมหนึ่งกะละมังใหญ่
กลุ่มคนแตกตื่นลุกฮือ ทยอยกันหยิบตะเกียบลงมือกินอย่างไม่สนใจใคร
เมิ่งเชี่ยนโยวเคยเห็นคนกินงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีมาแล้วครั้งหนึ่ง คุ้นตาเสียแล้ว แต่เหวินเปียวและน้องๆ ไม่เหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเองตระเวนไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ พบเจอเรื่องแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน ไม่มีอะไรทำให้ตัวเองรู้สึกประหลาดใจได้อีก แต่พอเห็นอิริยาบถการกินเลี้ยงของกลุ่มคนตรงหน้า ก็ตกใจจนเกือบกัดลิ้นตัวเอง สวรรค์ คนเหล่านี้ไม่ได้กินข้าวมานานแค่ไหนแล้ว หมั่นโถอัดแน่นเต็มเข่งใหญ่เพิ่งจะยกมาวางถูกแย่งหยิบจนหายเกลี้ยงในพริบตา อาหารทั้งสี่จานยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว เพิ่งจะว่างจานลงบนโต๊ะ ก็เห็นก้นจานในทันที แม้แต่ผัดผักรวมพูนกะละมังใหญ่ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถูกกินจนเห็นแต่ก้นกะละมัง
สามพี่น้องสกุลเหวินยังตกตะลึงถึงขั้นนี้ คนอื่นในสกุลเหวินยิ่งตกตะลึงจนพูดไม่ออก โดยเฉพาะเหวินจิ้ง ถามเหวินซงอย่างไร้เดียงสา “ท่านพี่ พวกเขาไม่ได้กินข้าวกันมาหลายวันแล้วหรือ?”
เหวินซงก็ไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมตอบไม่ออก มองเมิ่งฉีที่ตัวเองสนิทด้วยที่สุดอย่างขอความช่วยเหลือ
เมิ่งฉีก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ ให้เขา
พวกอู๋ต้าและจางมู่ทั้งสิบคนแม้จะตกตะลึงบ้าง แต่ไม่นานก็สงบนิ่งลงได้ ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคอยเดินไปเดินมาในกลุ่มคน คอยสอดส่องว่ามีใครแอบหยิบของกลับไปหรือไม่
กฎของงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีคืออาหารคาวอาหารผักอย่างละสอง ยกขึ้นโต๊ะหนึ่งครั้งทุกหนึ่งชั่วยาม ผัดผักรวมจะมีอยู่ตลอด ดังนั้นลูกหลานสกุลเมิ่งคนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยงานจึงต้องคอยยกผัดผักรวมเดินฝ่ากลุ่มคนไม่หยุด พอเห็นโต๊ะไหนไม่มี ก็จะรีบเข้าไปเติมให้หนึ่งกะละมัง โดยที่คนชุดแรกยังไม่ลุกออกจากงาน พวกเขาก็เหนื่อยจนยกแขนไม่ขึ้นแล้ว
เมิ่งต้าจินเห็นพวกเขาเหนื่อยล้าอ่อนแรงก็โบกมือ ให้อีกชุดหนึ่งเข้ามา เปลี่ยนพวกเขาไปพักผ่อน
กลุ่มหญิงสาวที่มาทำอาหารยิ่งไม่ต้องพูดถึง เหนื่อยจนยกหม้อยกตะหลิวไม่ขึ้นแล้ว
[1] ยามซื่อ คือเวลา 9.00-11.00 น.