ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 172-1 รักแรกพบ
ครึ่งชั่วยามต่อมา เริ่มมีคนกินไม่ไหวแล้ว แอ่นพุงที่จุกแน่นค่อยๆ ลุกออกไปจากงาน คนที่รอเข้าแถวด้านหลังรีบเข้าไปนั่งแทน หยิบตะเกียบและถ้วยที่เกินมาบนโต๊ะตักผัดผักรวมลงมือกินอย่างตะกละตะกลาม
เมิ่งชื่อมองดูทั้งหมดนี้ แอบลอบสรรเสริญบุตรสาวของตัวเองที่มองการณ์ไกล แม้แต่รายละเอียดยิบย่อยนี้ก็จัดการได้อย่างดี ไม่เช่นนั้นด้วยสถานการณ์ตอนนี้ จะต้องเกิดศึกเพราะแย่งเก้าอี้กันอย่างแน่แท้
งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีวันแรกยืนยาวมาถึงยามเสิน[1]ถึงจบสิ้น คนทั้งหมดต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แทบอยากไปพักผ่อนโดยไม่ต้องกินข้าวเย็น
พอเห็นวันแรกผู้คนก็กินไปมากมายเช่นนี้ เมิ่งชื่อเริ่มรู้สึกเสียใจ พูดว่า “ถ้ารู้ว่าชาวบ้านกินเก่งแบบนี้ ข้าจะจัดวันเดียวก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบนาง “วันแรกที่มาเป็นคนในหมู่บ้านพวกเราและหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ไม่ต้องป่าวประกาศมากพวกเขาก็รู้จักบ้านเรา วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะเป็นคนที่มาจากที่ไกลออกไปแล้ว นั่นถึงจะเป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงให้ครอบครัวพวกเราอย่างแท้จริง”
เมิ่งชื่อไม่เข้าใจ “ตอนนี้ครอบครัวพวกเราก็ดีมากแล้ว ยังต้องสร้างชื่อเสียงไปทำไม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อาจอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดได้ จำต้องตอบนางอย่างคลุมเครือ “หากครอบครัวพวกเรามีชื่อเสียง ภายหน้ากระทำการอันใดก็จะสะดวกขึ้นมาก”
เมิ่งชื่อยังคงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ไม่ถามอีก กินอาหารค่ำอย่างลวกๆ แล้วไปพักผ่อน
วันที่สองเป็นอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดดังคาด คนจากพื้นที่ห่างไกลได้ยินว่ามีงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีให้กินเปล่าก็หอบกันมาทั้งครอบครัว สถานการณ์การกินข้าวเหมือนวันแรกทุกอย่าง แต่ละคนต่างกินอย่างมูมมามเหมือนไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน
วันแรกเมิ่งจงจวี่ยังสดใสมีชีวิตชีวาดี นั่งยิ้มตาหยีที่หน้าประตูครึ่งค่อนวัน มองดูผู้คนกินเลี้ยง วันที่สองก็ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจนตอนเช้าลุกไม่ขึ้น โชคดีที่ไม่มีเรื่องจำเป็นให้เขาทำ หญิงชราเมิ่งก็ไม่ร้องเรียกเขา ให้เขาได้นอนเต็มที่
สะใภ้ทั้งสามคนของบ้านเมิ่งยังคอยต้อนรับผู้คน มีที่นั่งก็ให้พวกเขาไปกินข้าว ไม่มีที่นั่งก็ให้พวกเขาเข้าแถวอยู่อีกด้าน
เมิ่งเจี๋ยและเด็กคนอื่นๆ เริ่มคุ้นชินแล้ว วิ่งไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่ในลานบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเข้าไปในบ้านคำนวณค่าใช้จ่ายตลอดสามวันมานี้ ไกลออกไปมีรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา รถม้ามาถึงกลุ่มคนก็จอดลง ซุนเหลียงไฉกระโดดลงมาจากรถม้าก่อน ร้องอุทาน “ท่านปู่ ท่านรีบลงมา ที่นี่มีคนกำลังกินข้าวเต็มไปหมดเลย”
ซุนซ่านเหรินลงจากรถม้าอย่างเบิกบาน เห็นกลุ่มคนที่กินอย่างตะกละตะกลามตรงหน้า ก็ให้ชะงักอึ้งไปเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าไปต้อนรับ ถามอย่างเป็นกันเอง “ท่านมาได้อย่างไร?”
ซุนซ่านเหรินยิ้มแย้มตอบ “ข้าส่งไฉเอ๋อร์ไปโรงเรียน อาจารย์บอกว่าอี้เซวียนยังไม่ได้ไปเรียน ข้าจึงมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรที่บ้านเจ้าหรือไม่ และนำไฉเอ๋อร์กลับมาส่งด้วย”
พูดจบชี้ภาพตรงหน้าถามอย่างข้องใจ “นี่คือ…?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ พวกเราต่างดีใจมาก จึงจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวันเพื่อเลี้ยงฉลอง”
“อี้เซวียนสอบถงเซิงได้หรือ?” ซุนเหลียงไฉถามอย่างดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“ข้าจะไปหาเขา” พูดจบไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ ก็วิ่งแจ้นเข้าไปในบ้าน
ซุนซ่านเหรินมองแผ่นหลังเขาอย่างเบิกบาน พูดอย่างซาบซึ้งใจ “โชคดีที่ได้แม่นางเมิ่งคอยสอนสั่ง ตอนนี้ไฉเอ๋อร์เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เพียงอ่อนน้อมถ่อมตน ยังรู้จักรักพี่รักน้อง ดูเถิด วันนี้ตอนจะมาเชี่ยนเอ๋อร์อยู่บ้านพอดี ไม่ว่าอย่างไรก็จะลากนางมาด้วยให้ได้ ทั้งสองคุยกระซิบกระซาบกันมาตลอดทาง นี่เป็นเรื่องที่ในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
พูดจบก็พูดใส่รถม้า “เชี่ยนเอ๋อร์ ยังไม่รีบลงมาพบหน้าแม่นางเมิ่ง”
ซุนเชี่ยนขานรับคำ เปิดม่านบังรถลงจากรถม้า เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเปิดเผย “ข้าชื่อซุนเชี่ยน เป็นพี่สาวไฉเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยได้ยินซุนเหลียงไฉบอกว่าตัวเองมีพี่สาวมาก่อน แม้จะตกใจกังขา แต่ใบหน้ากลับยิ้มทักทาย “แม่นางซุน”
ซุนเชี่ยนเรียนรู้การทำการค้ากับซุนซ่านเหรินมาสองปี รู้จักสังเกตสีหน้าและคำพูดคนแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมีท่าทีตื่นตะลึง จึงยิ้มพูดว่า “เจ้าน้องตัวดีนั่นคงไม่เคยเอ่ยถึงข้าให้เจ้าฟังกระมัง”
ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ซุนเชี่ยนเข้าไปจับมือนางอย่างสนิทสนม “เขาถูกคนในบ้านโอ๋ตามใจแต่เด็ก ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา ไม่เคยเห็นข้าเป็นพี่สาวเขา ไม่บอกพวกเจ้าเป็นเรื่องปกติ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มๆ
ซุนเชี่ยนพูดต่อ “ทว่าครั้งนี้กลับไปเขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พอข้าเข้าไปในบ้านก็ดึงมือข้าเอาแต่ร้องเรียกพี่สาวๆ ข้าตกใจจนเกือบนึกว่าเขาถูกสับเปลี่ยนมา พอถามท่านปู่ถึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นเจ้าที่สอนสั่งเขาจนกลายเป็นเช่นนี้ ข้าพลันอยากรู้อยากเห็น บวกกับที่เขาก็อยากให้ข้ามาด้วย ไม่ทันได้บอกกล่าวก็มาพร้อมกับท่านปู่ คงมิได้มารบกวนพวกเจ้าดอกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางมีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ก็ให้ยินดี ยกยิ้มพูด “ไม่รบกวน ครอบครัวข้ามีข้าเป็นเด็กสาวคนเดียว ไม่มีเพื่อนให้พูดคุย ตอนนี้มีเจ้ามา ข้ามีแต่จะดีใจเสียไม่ว่า”
ซุนซ่านเหรินเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกชะตา ก็พยักหน้าปลาบปลื้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเชิญทั้งสองเข้าไปในบ้าน
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนก็เห็นซุนซ่านเหรินแล้ว รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ เชื้อเชิญซุนซ่านเหรินเข้าไปนั่งในบ้าน
ซุนซ่านเหรินกำชับบ่าวรับใช้สองสามคนยกของกำนัลตามเข้ามา
คนทั้งหมดเข้ามานั่งในบ้าน เมิ่งเสียนรีบไปชงชาสองสามถ้วยเข้ามาโดยไว
ซุนเชี่ยนเห็นเขาทำงานแข็งขัน ไม่พูดมาก อดชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเข้าพอดี หัวใจกระตุกไหว
ซุนซ่านเหรินยิ้มตาหยีพูดว่า “อี้เซวียนอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้แล้ว นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง โชคดีที่ข้ามีลางสังหรณ์ไว้ก่อน เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มาให้เขา ไม่เช่นนั้นข้าคงผิดคำพูดแล้ว”
พูดจบส่งสายตาให้บ่าวรับใช้นำของขวัญมาวางบนโต๊ะ
บ่าวรับใช้วางเรียบร้อย ซุนซ่านเหรินเข้าไปนำกล่องทรงยาวหนึ่งใบมาเปิดออก กล่าวว่า “ตอนที่ข้าไปทำการค้าต่างถิ่น ได้พู่กันเล่มหนึ่งมาโดยบังเอิญ ได้ยินว่าทำขึ้นโดยผู้มีชื่อเสียง ราคาสูงลิบ ตอนนั้นข้าดีใจมากจึงซื้อไว้ วันนี้ได้นำมาเป็นของขวัญให้อี้เซวียนพอดี หวังว่าพวกเจ้าจะไม่รังเกียจ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเคยร่ำเรียนกับเมิ่งจงจวี่มาหลายปี รู้จักคุ้นเคยเรื่องพู่กันเป็นอย่างดี ตอนที่ซุนซ่านเหรินเปิดกล่องออก เขาก็รู้แล้วว่าพู่กันนี้ล้ำค่าราคาแพง ตอนนี้ยิ่งมาได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ลนลานปฏิเสธพลัน “น้ำใจของท่านพวกเรารับไว้แล้ว แต่พู่กันนี้สูงค่าเกินไป พวกเรารับไว้ไม่ได้”
ซุนซ่านเหรินยิ้มแล้วผลักพู่กันไปตรงหน้าเขา “พู่กันดีมอบให้คนปราดเปรื่องถึงจะถูก พวกเจ้ารับไว้เถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความรู้เรื่องพู่กัน แต่นางรู้ว่าของขวัญที่ซุนซ่านเหรินมอบให้จะต้องไม่ธรรมดา จึงยิ้มพูดว่า “อี้เซวียนยังเด็ก ให้พู่กันสูงค่าเช่นนี้ไม่เหมาะสม เมื่อเป็นของที่ท่านชมชอบ ท่านก็เก็บกลับไปเถอะ”
ซุนซ่านเหรินโบกมือ “ข้าเอาแต่ทำการค้า ไม่เคยได้ศึกษาร่ำเรียน พู่กันนี้อยู่กับข้าเรียกได้ว่าเสียของโดยแท้ ตอนนี้มอบให้อี้เซวียน ถึงเป็นการได้พบเจ้านายที่แท้จริง นี่เป็นน้ำใจจากข้า พวกเจ้าอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย”
ซุนซ่านเหรินพูดเช่นนี้แล้ว ปฏิเสธอีกก็ดูจะไม่เหมาะสม เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ ถึงร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียนเข้ามา วางกล่องลงบนมือเขา “นี่เป็นของขวัญที่ซุนซ่านเหรินมอบให้เจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนรับมา มองเพียงแวบเดียว ก็ชื่นชอบ กล่าวขอบคุณอย่างยินดี “ขอบพระคุณ”
ซุนซ่านเหรินยิ้มรับพยักหน้า
ซุนเชี่ยนเห็นเมิ่งอี้เซวียนงดงามเกินบรรยาย ร้องอุทาน “ข้าก็อยากมีน้องชายเช่นนี้บ้าง”
ซุนเหลียงไฉที่ตามหลังเข้ามาได้ยินคำพูดนี้พอดี พูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพี่ ละโมบเกินไปแล้ว มีน้องชายฉลาดเกินคน สง่างามผึ่งผายเช่นข้าผู้นี้ยังไม่พอใจอีกหรือ?”
ซุนเชี่ยนพูดกระเซ้าเขา “ย่อมไม่พอใจ เจ้าห่างชั้นจากเขาหลายเท่าตัว”
ซุนเหลียงไฉไม่พอใจแล้ว “ท่านปู่ ดูเถิด ท่านพี่รังแกข้าอีกแล้ว”
ซุนเชี่ยนหยอกเย้าเขา “ที่ข้าพูดเป็นความจริง ไปรังแกเจ้าตอนไหน”
ซุนเหลียงไฉโมโหโพล่งปากพูดออกไป “เมื่อท่านอยากได้อี้เซวียนเป็นน้องชาย ก็แต่งมาบ้านพวกเขาให้สิ้นเรื่องไปเสียเล่า”
สิ้นเสียงเขา ทั้งห้องเงียบสนิท
ซุนเชี่ยนหน้าแดงเรื่อ
เมิ่งเสียนกลับหน้าแดงก่ำ
ซุนซ่านเหรินเอ่ยปากตำหนิ “ไฉเอ๋อร์ อย่าพูดเหลวไหล”
ซุนเหลียงไฉก็รู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองพูดผิดไป แลบลิ้นแผล็บๆ พูดว่า “ท่านปู่ ข้ากับอี้เซวียนจะออกไปเล่นแล้ว” แล้วก็ลากเมิ่งอี้เซวียนวิ่งแนบจากไป
ซุนซ่านเหรินกล่าวขอโทษ “ไฉเอ๋อร์พูดไม่คิด พวกเจ้าอย่าเอามาใส่ใจ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นยิ้มอย่างจริงใจไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวซุนเชี่ยนจะเก้อเขิน เปลี่ยนเรื่องพูด “ซุนซ่านเหริน ครั้งนี้ข้าและอี้เซวียนเข้าไปในจังหวัด ยังเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนมาได้หนึ่งชุด”
ซุนซ่านเหรินดีอกดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดเรื่องกระเป๋านักเรียนให้ซุนซ่านเหรินฟังอีกรอบ ทั้งบอกเขาว่า “พวกเราตกลงกันแล้ว สินค้าชุดแรกให้พวกเขามาขนไปเอง เริ่มตั้งแต่สินค้าชุดที่สองจะเป็นพวกเราที่นำส่งให้”
ซุนซ่านเหรินไม่คิดว่าพวกเขาจะเก็บเกี่ยวได้สิ่งอื่นมาโดยบังเอิญเช่นนี้ กล่าวชื่นชมด้วยความยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ซักถาม “อี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนไปเข้าสอบด้วย นักเรียนมากมายได้เห็นแล้ว ข้าคาดว่ากระเป๋านักเรียนที่พวกเขานำกลับไปขายจะต้องไม่ยาก คิดว่าไม่นานก็จะต้องการสินค้าชุดที่สอง ถึงตอนนั้นข้าคิดจะให้อี้เซวียนและเหลียงไฉไปส่งสินค้าด้วยกัน ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”
ซุนซ่านเหรินเห็นนางคิดคำนึงถึงซุนเหลียงไฉเข้าไปด้วย ยิ่งดีใจจนหุบปากไม่ลง
ซุนเชี่ยนได้ฟังซุนซ่านเหรินเล่าเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉขายกระเป๋านักเรียนแล้ว นึกเลื่อมใสยกย่องในการตัดสินใจที่กล้าหาญนี้ของนางอย่างราบคาบ ตอนนี้เห็นนางยังให้ซุนเหลียงไฉมาเข้าร่วมการค้าที่ตัวเองหามาได้เองอย่างไม่ลังเล พูดอย่างยกย่องนับถือ “เจ้าช่างเป็นคนจิตใจกว้างขวางเผื่อแผ่โดยแท้ ไม่แปลกที่เจ้าอายุเพียงเท่านี้ก็ทำการค้าใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ ข้าเทียบไม่ได้เลยจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เจ้าถ่อมตนเกินไปแล้ว เจ้าเองก็ช่วยดูแลการค้าให้ซุนซ่านเหรินไม่ใช่หรือ พวกเราไม่ต่างกันดอก”
ซุนเชี่ยนรีบร้อนพูด “พวกเราไม่เหมือนกัน การค้าของครอบครัวข้าสำเร็จพร้อมแล้ว อีกทั้งท่านปู่ก็สอนข้าทีละขั้นตอน เวลาสองปี ข้าถึงค่อยๆ จับทางได้ เจ้าไม่เหมือนกัน ข้าได้ยินว่าการค้าในครอบครัวล้วนเป็นเจ้าที่คิดค้นและหนุนนำขึ้นมา ข้าเปรียบกับเจ้าแล้ว ไม่รู้ว่าห่างกันกี่แสนลี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกึ่งหยอกเย้ากึ่งจริงจัง “เมื่อเจ้านับถือข้าเช่นนี้ ต่อไปก็มาบ้านข้าบ่อยๆ พวกเรามาเสวนาปัญหาด้านการค้าด้วยกันให้เต็มที่”
ซุนเชี่ยนรับปากทันควัน “ดีเลย ต่อไปพอมีเวลาว่าง ข้าก็จะมาพักระยะยาวที่นี่เหมือนน้องชายข้า พวกเจ้าห้ามเบื่อข้านะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนรับคำ “วิงวอนขอให้เป็นเช่นนั้น”
เพราะคำพูดของซุนเหลียงไฉทำเอาเมิ่งเสียนเขินหน้าแดง เอาแต่ก้มศีรษะไม่ได้พูดจาอีก
ซุนเชี่ยนคอยชำเลืองมองเขาเป็นพักๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองทั้งหมดนี้ไว้อย่างเงียบๆ
ซุนซ่านเหรินผู้มีไหวพริบทันคนก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ยกยอรอยยิ้มบนใบหน้าแฝงความหมายลึกซึ้ง
เมิ่งชื่อเดินหน้าตาแช่มชื่นเข้ามาในลานบ้าน ตะโกนเข้ามาในบ้านว่า “โยวเอ๋อร์ รีบออกมา เถ้าแก่จางจากจังหวัดมารับกระเป๋านักเรียนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำ ไม่ได้ออกไป แต่พูดกับเมิ่งชื่อว่า “ท่านแม่ ท่านเข้ามาหน่อยเถิด ซุนซ่านเหรินมาที่บ้านพวกเรา”
เมิ่งชื่อเอาแต่คอยต้อนรับทักทายคนที่เข้าแถวกินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ไม่เห็นว่าซุนซ่านเหรินและคนอื่นเข้ามา ได้ฟังก็รีบเดินเข้ามาในบ้าน พูดอย่างรู้สึกผิด “วันนี้ยุ่งวุ่นวายมากจริงๆ ไม่ทันได้ทักทาย ขอท่านอย่าได้ถือสา”
ซุนซ่านเหรินตอบกลับอย่างเบิกบาน “เป็นพวกเราที่มาไม่รู้เวล่ำเวลาเอง”
ซุนเชี่ยนกล่าวทักทายเมิ่งชื่ออย่างเปิดเผย “อาซ้อ ข้าคือซุนเชี่ยนพี่สาวของเหลียงไฉ”
เมิ่งชื่อเห็นนางท่าทางเปิดเผยจริงใจ นึกชื่นชมในใจ ดึงมือนางมาพูดว่า “ข้าชอบหญิงสาวที่ไม่เสแสร้งทำตัวอ่อนแออย่างเจ้านัก ต่อไปถ้าว่างก็มาเที่ยวบ้านพวกเราบ่อยๆ”
ซุนเชี่ยนรับคำอย่างจริงใจ
เห็นคนทั้งหมดทักทายกันดีแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพูดขึ้น “จะต้องเป็นเถ้าแก่จางเข้ามาขนกระเป๋านักเรียนไปด้วยตัวเอง เอาอย่างนี้ ข้าจะไปเชิญพวกเขาเข้ามา ทุกคนจะได้รู้จักกันไว้”
ซุนซ่านเหรินเป็นคนทำการค้า ย่อมต้องชื่นชอบคบหาคนทำการค้าด้วยกันมากๆ ได้ฟังก็หัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็อาศัยบารมีของแม่นางเมิ่งแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยิ้มเดินออกไป
[1] ยามเสิน คือเวลา 15.00-17.00 น.