ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 172-2 รักแรกพบ
จางฟู่กุ้ยพาจางเฉิงบุตรชายมาด้วย จางเฉิงที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เห็นผู้คนสวมเสื้อผ้ามอซอมากมายกำลังกินอาหารอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ตกใจเข้าไปหลบอยู่หลังจางฟู่กุ้ย จางฟู่กุ้ยเองก็ตาโตอ้าปากค้างเช่นกัน
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาต้อนรับพวกเขา ลืมกระทั่งจะทักทาย ถามนางอย่างตกอกตกใจ “แม่นางเมิ่ง เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“น้องชายข้าสอบถงเซิงได้ ครอบครัวพวกเราก็เลยจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีให้กินเปล่าสามวันเพื่อเฉลิมฉลอง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ
จางฟู่กุ้ยพยักหน้าเข้าใจโดยพลัน หัวเราะเสียงลั่น “วันนั้นพวกเราเห็นในใบรายชื่อแล้ว น้องชายเจ้าสอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง จัดงานฉลองก็สมควรแล้ว หากเป็นเฉิงเอ๋อร์ ข้าคงจัดงานใหญ่โตยิ่งกว่านี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดต่อความ แต่ยิ้มแล้วพาพวกเขาเข้าไปในบ้าน
คนในบ้านเมิ่งออกมารอรับในลานบ้านแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำแก่จางฟู่กุ้ย “นี่คือท่านพ่อท่านแม่ข้า”
จางฟู่กุ้ยกล่าวทักทายสองสามคำ พูดกับทั้งสองคนอย่างอิจฉา “พวกท่านทั้งสองมีบุตรสาวเก่งกาจเพียงนี้ นับว่าเป็นบุญวาสนาโดยแท้”
เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำต่อ “นี่คือซุนซ่านเหรินและหลานสาวของเขา วันนี้มาเป็นแขกบ้านพวกเราพอดี ทุกคนต่างทำการค้า จะได้รู้จักกันไว้ ไม่แน่ว่าภายหน้าจะได้คบค้าสมาคมกัน”
ทั้งสองกล่าวทักทายกันอย่างเบิกบาน
คนทั้งหมดกลับเข้าไปในบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างหมดจดไร้ร่องรอย “พี่ใหญ่ ที่นี่ไม่มีธุระของท่านแล้ว ท่านพาแม่นางซุนออกไปเดินเล่นเถอะ”
ซุนซ่านเหรินที่เดินตามหลังมาได้ยินคำนี้ หยุดชะงักฝ่าเท้า
เมิ่งเสียนหน้าแดงเรื่อ ขยี้หัวถาม “ไปเดินเล่นที่ไหน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาทำเสียเรื่องในช่วงเวลาสำคัญ แทบอยากจะเตะเขาสักสองที พูดอย่างข่มกลั้น “บ้านเราเพิ่งจะปลูกมันฝรั่งไม่ใช่หรือ? ท่านพาแม่นางซุนไปเดินดูแปลงมันฝรั่งอย่างไร”
เมิ่งเสียนถามอย่างไม่เข้าใจ “มันฝรั่งเพิ่งจะปลูก ยังไม่งอกออกมา มีอะไรน่าดูกัน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแทบอยากจะบีบเค้นหัวใจเขาแล้ว ขบเขี้ยวฟันพูดว่า “แม่นางซุนน่าจะไม่เคยเห็นว่ามันฝรั่งปลูกอย่างไร ท่านพานางไปดู และจะได้ตรวจสอบด้วยว่าวันนี้คนงานมารดน้ำมันฝรั่งตรงตามเวลาหรือไม่”
ซุนเชี่ยนเห็นปฏิกิริยาของนางก็หลุดขำ
เมิ่งเสียนรับคำ พูดอย่างสุภาพ “เชิญแม่นางซุน”
เห็นซุนเชี่ยนออกไปกับเมิ่งเสียน เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยโล่งอก เดินออกไปด้านนอก ตามหาเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉ บอกพวกเขาว่าเถ้าแก่จางมารับกระเป๋านักเรียนแล้ว ให้พวกเขาสองคนเข้าไปพูดคุย
เมิ่งอี้เซวียนเคยเจรจากับจางฟู่กุ้ยแล้ว ภายในใจสงบนิ่ง ไม่รู้สึกประหม่ากลัว เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าไปข้างในอย่างเชื่อฟัง
ซุนเหลียงไฉกลับรู้สึกครั่นคราม เอ่ยถามเมิ่งเชี่ยนโยว “ประเดี๋ยวพอพวกเราเจอเถ้าแก่จางต้องพูดอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าและอี้เซวียนเจรจากับเขาเรียบร้อยแล้ว วันนี้เขาเพียงเข้ามารับกระเป๋านักเรียน พวกเจ้าเพียงรักษาความสัมพันธ์กับเขาเอาไว้ก็พอ”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้า
สมแล้วที่ซุนซ่านเหรินเป็นพ่อค้า แม้จะไม่มีเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในบ้าน ก็ไม่ทำให้เสียบรรยากาศ แต่ร่วมเสวนากับจางฟู่กุ้ยอย่างถูกคอออกรสออกชาติ สองสามีภรรยาเมิ่งเพียงนั่งเป็นไม้ประดับอยู่อีกด้าน
เห็นทั้งสามคนเข้ามา จางฟู่กุ้ยมองสองสามีภรรยาเมิ่งอย่างอิจฉาอีกครั้ง พูดว่า “บุตรชายฉลาดปราดเปรื่อง บุตรสาวเก่งกาจสามารถ พวกท่านมีโชควาสนาโดยแท้”
เมิ่งชื่อกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าเมิ่งอี้เซวียนเป็นบุตรเขยตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชิงพูดขึ้นก่อน “เถ้าแก่จางกล่าวชมเกินไปแล้ว บุตรชายท่านก็ไม่ได้แย่ เพียงแค่ยังไม่ได้รับการเจียรนัยเท่านั้น”
จางฟู่กุ้ยทอดถอนใจ “เฉิงเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนเล็กสุดของข้า ถูกเลี้ยงดูตามใจมาแต่เกิด ตอนนี้มีอายุสิบกว่าปีแล้ว นอกจากการเรียนที่พอจะทำให้ข้าปลาบปลื้มใจได้บ้าง สิ่งอื่นไม่มีอะไรควรค่าให้กล่าวถึง”
ซุนซ่านเหรินพูดอย่างเบิกบาน “ท่านยังดีกว่าข้ามากนัก หลานชายข้าแม้แต่การเรียนก็ยังไม่ไหว วันๆ รู้จักแต่กินเล่นเกียจคร้าน โชคดีข้าส่งมาให้แม่นางเมิ่งสอนสั่งชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตอนนี้จึงดีขึ้นบ้าง”
พูดจบหันไปพูดกับซุนเหลียงไฉ “ไฉเอ๋อร์ ยังไม่เข้ามาแสดงความเคารพ?”
ซุนเหลียงไฉเดินขึ้นหน้า คำนับจางฟู่กุ้ย กล่าวทักทาย
จางฟู่กุ้ยกล่าวว่า “หลานชายท่านนับว่าดูดีมากแล้ว ไฉนเลยจะเหมือนบุตรชายข้า เจอคนแปลกหน้าก็จะหลบซ่อน”
ซุนซ่านเหรินโบกมือ “สามเดือนก่อน เขาหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ เป็นเด็กที่ไม่มีสัมมาคารวะอย่างสิ้นเชิง เป็นเด็กเกเรที่รู้จักแต่ก่อเรื่อง หากไม่ได้แม่นางเมิ่งอบรมสั่งสอนอย่างเต็มที่ ภายหน้าหลานชายข้าคนนี้จะต้องเป็นเพียงคุณชายเหลือขอคนหนึ่ง”
จางฟู่กุ้ยตกตะลึง “การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของหลานชายท่านล้วนเป็นฝีมือของแม่นางเมิ่ง?”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า
จางฟู่กุ้ยหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวชื่นชม “ไม่คิดว่าแม่นางเมิ่งนอกจากทำการค้าแล้ว ยังรู้จักสอนสั่งเด็กด้วย ถึงว่าน้องชายเจ้าอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้แล้ว เรื่องนี้เจ้าจะต้องมีส่วนช่วย น่าเสียดายนัก พวกเราสองบ้านอยู่ไกลกันเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเฉิงเอ๋อร์มาอยู่บ้านเจ้า ให้เจ้าก็ช่วยสอนสั่งเขาด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยกยิ้มพูด “เถ้าแก่จางกล่าวเกินไปแล้ว ตัวข้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไฉนเลยจะสอนสั่งพวกเขาได้ ที่พวกเขาเปลี่ยนได้เช่นนี้ เพราะพื้นฐานดั้งเดิมของพวกเขาดีอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่คอยกวดขันพวกเขาอีกเล็กน้อย พื้นฐานของบุตรชายท่านก็ไม่เลว เชื่อว่าภายหน้าจะต้องมีอนาคตเกรียงไกร”
จางฟู่กุ้ยถอนใจ “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ”
จางเฉิงนั่งบนเก้าอี้อีกด้านไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปส่งสายตาให้เมิ่งอี้เซวียน เมิ่งอี้เซวียนเข้าใจทันที เดินไปตรงหน้าจางเฉิง พูดด้วยน้ำเสียงสดใส “ในห้องข้ายังมีกระเป๋านักเรียนลวดลายแตกต่างกันอีกมาก สวยทุกแบบเลย เจ้าอยากเข้าไปดูกับข้าหรือไม่?”
จางเฉิงดวงตาเปล่งประกาย พยักหน้ายินดี
เมิ่งอี้เซวียนดึงมือเขา “ไป ข้าจะพาไปดู”
จางเฉิงเดินตามเข้าไปอย่างชื่นบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปส่งสายตาให้ซุนเหลียงไฉอีกครั้ง เขาก็เดินตามออกไปด้วย
จางฟู่กุ้ยเริ่มรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี กล่าวว่า “บุตรชายข้าคนนี้ไม่ว่าข้าพาไปที่ไหน จะต้องตามติดข้าแจ ไม่เคยออกห่างจากข้าแม้แต่ก้าวเดียว ไม่คิดว่าวันนี้จะยอมไปเล่นกับอี้เซวียน นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เถ้าแก่จาง จากที่ข้าเห็น บุตรชายท่านมิได้แย่ถึงขนาดที่ท่านกล่าวมา เพียงแค่ปกติมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยเกินไป ถึงทำให้เขาเป็นคนขี้อายเช่นนี้ พอท่านกลับไป ให้เขาชวนคนที่มีอายุเท่ากันไปเล่นที่บ้าน เวลานานเข้า เขาอาจจะค่อยๆ ดีขึ้นก็เป็นได้”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ จางฟู่กุ้ยก็ดีอกดีใจพูดว่า “พอกลับไปข้าจะไปทำตามที่แม่นางบอก หากเป็นดังที่เจ้าว่า เฉิงเอ๋อร์ไม่กลัวคนแปลกหน้าอีก ข้าจะมีของกำนัลชิ้นใหญ่มอบให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ข้ามิได้ทำอะไรไม่ เถ้าแก่จางกล่าวเกินไปแล้ว”
ระหว่างที่คนทั้งหมดพูดคุยสรวลเส ในลานบ้านกลับมีเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของจางเฉิงดังลอยมา จางฟู่กุ้ยลุกขึ้นอย่างไม่เชื่อ เดินมาหน้าประตู เห็นภายใต้การสอนของเมิ่งอี้เซวียน จางเฉิงกำลังหมุนเครื่องเล่นในมือเบาๆ จนลอยสูงอย่างมีความสุข
เป็นครั้งแรกที่จางเฉิงเล่นเครื่องเล่นนี้ ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เห็นว่าพอใช้มือปั่น เครื่องเล่นจะบินลอยสูง ตัวเองก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
จางฟู่กุ้ยไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจากใบหน้าของบุตรชายตัวเองเช่นนี้มาก่อน ตื้นตันใจจนเกือบน้ำตาคลอเอ่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขา “นี่คือแมลงปอไม้ไผ่ เป็นเครื่องเล่นที่ข้าคิดประดิษฐ์ขึ้นในยามว่าง หากบุตรชายท่านชอบ ประเดี๋ยวจะให้พี่ใหญ่ข้าทำให้เขาหนึ่งอัน”
จางฟู่กุ้ยกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นางเมิ่งๆ”
กลับมาพูดถึงเมิ่งเสียน ที่พาซุนเชี่ยนมายังแปลงมันฝรั่ง ชี้ตามแนวคันดินแล้วพูดกับนาง “มันฝรั่งปลูกอยู่ตามแนวคันดินเหล่านี้ ตอนนี้หน่ออ่อนข้างในยังเล็ก ยังไม่งอกออกมา รอให้ผ่านไปสักระยะหนึ่ง ทั่วแนวคันดินนี้จะเต็มไปด้วยใบต้นมันฝรั่ง ถึงตอนนั้นใต้แนวคันดินจะเต็มไปด้วยมันฝรั่งลูกใหญ่ๆ”
ซุนเชี่ยนเคยกินมันฝรั่งที่เหลาจวี้เสียน แต่ไม่เคยเห็นมันฝรั่งจริงๆ เกิดความอยากรู้อยากเห็น ถามขึ้น “มันฝรั่งมีหน้าตาอย่างไร? พวกท่านไปได้เมล็ดพันธุ์มันฝรั่งมาจากที่ใด? แล้วทำอย่างไรให้พวกมันเจริญเติบโต?”
เมิ่งเสียนขยี้หัว ตอบว่า “น้องสาวเป็นคนพบมันฝรั่งบนเขาโดยบังเอิญ ไม่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ เพียงนำหน่ออ่อนที่งอกออกมาจากมันฝรั่งลงไปปลูกก็ได้แล้ว”
พอได้ยินว่ามันฝรั่งไม่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ก็งอกออกมาได้ ซุนเชี่ยนยิ่งทวีความอยากรู้อยากเห็น ถามว่า “ข้าขุดออกมาดูสักอันได้หรือไม่?”
เมิ่งเสียนรีบยับยั้งนาง “ไม่ได้ น้องสาวบอกแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเจริญเติบโตของมันฝรั่ง หากเจ้าขุดออกมา มันฝรั่งนั้นก็จะไม่เติบโตแล้ว”
เห็นท่าทีร้อนรนของเขา ซุนเชี่ยนพ่นหัวเราะออกมาดัง “พรืด” “ข้าหยอกท่านนะ ท่านยังจะคิดเป็นจริง ทำไมท่านถึงหลอกง่ายเช่นนี้?”
เมิ่งเสียนถูกนางเย้าแหย่ เขินจนหน้าแดง
ซุนเชี่ยนยั่วเย้าเขา “ท่านเป็นผู้ชายอกสามศอก ใบหน้าบางยิ่งกว่าข้า อะไรนิดหน่อยก็หน้าแดง”
ครั้งนี้แม้แต่ใบหูก็แดงก่ำแล้ว
ซุนเชี่ยนหัวเราะร่วน
คนที่หาบน้ำมารดน้ำในแปลงดินต่างมองมาอย่างประหลาดใจ ทั้งคาดเดาในใจว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร
ซุนเชี่ยนก็ไม่หลบหลีก ยืนอย่างเปิดเผยให้พวกเขามองประเมินตามใจ
เมิ่งเสียนก็รับรู้ได้ถึงสายตามองประเมินของทุกคน รีบพูดเตือนนาง “ไม่ต้องหัวเราะแล้ว ทุกคนมองเจ้าหมดแล้ว”
ซุนเชี่ยนพูดอย่างไม่แยแส “มองก็มองไปสิ ข้าก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่”
เมิ่งเสียนไม่พูดอะไร ยืนอักอ่วนอีกด้านเป็นเพื่อนนาง
พอเห็นพวกเขายืนด้วยกันไม่พูดไม่จา คนงานก็ยิ่งให้ประหลาดใจ
ยืนอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเสียนทนกับสายตามองประเมินของพวกเขาไม่ไหวแล้ว พูดขึ้น “พวกเรากลับเถอะ ที่บ้านยังมีธุระอีกมาก” พูดจบ ก็หันหลังเดินดุ่ยๆ กลับไป