ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 172-3 รักแรกพบ
ซุนเชี่ยนเจตนาเดินอย่างแช่มช้า ดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
เมิ่งเสียนเดินไปไม่กี่ก้าว พบว่านางไม่เดินตามมา จึงเดินช้าลงรอนาง แต่อย่างไรก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้านาง จำต้องหันกลับไปเร่งเร้า “เจ้าช่วยเดินเร็วหน่อยได้หรือไม่?”
ซุนเชี่ยนหยุดฝีเท้าพลัน พูดโป้ปด “เมื่อครู่ตอนขามาคงเดินเร็วเกินไป ตอนนี้ข้าเจ็บขา”
เมิ่งเสียนร้อนรนเดินกลับไปข้างนาง ถามขึ้น “เช่นนี้จะทำอย่างไร?”
ซุนเชี่ยนแสร้งทำเป็นอับจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้”
เมิ่งเสียนใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วกัดฟันพูด “เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะกลับไปบังคับรถม้ามา” พูดจบก็หันหลังเตรียมจะวิ่งกลับบ้าน
ซุนเชี่ยนร้องตะโกนรั้งเขา “ช้าก่อน!”
เมิ่งเสียนมองนางอย่างข้องใจ
“ไม่ต้องบังคับรถม้ามาแล้ว ท่านประคองข้าเดินกลับไปเถอะ!” ซุนเชี่ยนพูด
เมิ่งเสียนได้ฟังคล้ายจะตกใจขวัญผวา พลันถอยหลังไปสองสามก้าว พูดว่า “ให้ข้ากลับไปบังคับรถม้าเถอะ” พบจบก็วิ่งหน้าตั้งกลับไป ความเร็วนั้นราวกับเบื้องหลังมีจิ้งจอกวิ่งไล่กวด
ซุนเชี่ยนตะลึงอ้าปากค้างมองเขาที่เพียงพริบตาก็วิ่งไปไกลเหมือนลมวูบหนึ่ง แอบลอบถอนหายใจ เดินกลับไปด้วยความรู้สึกหดหู่
เมิ่งเสียนวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงหน้าประตูบ้าน เห็นผู้คนกำลังกินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ถึงนึกขึ้นได้ว่า รถม้าบ้านตัวเองต่อให้ประกอบเสร็จก็เอาออกมาไม่ได้ กระวนกระวายใจเดินอาดๆ เข้ามาหาเมิ่งเชี่ยนโยวในบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ กำลังพูดคุยอยู่ในบ้าน เห็นเมิ่งเสียนเดินหายใจหอบเข้ามาคนเดียว ก็ให้ประหลาดใจถาม “พี่ใหญ่ แม่นางซุนเล่า?”
เมิ่งเสียนมองทุกคนในบ้านแวบหนึ่ง พูดว่า “น้องสาว เจ้าออกมาหน่อยเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปนอกบ้าน
เมิ่งเสียนพูดกับนางเสียงเบา “ตอนขากลับแม่นางซุนบอกว่าขาเจ็บ ข้าให้นางพักอยู่ที่แปลงดิน ตัวเองกลับมาบังคับรถม้า แต่รถม้าของพวกเราเอาออกมาไม่ได้ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?”
เห็นเขาพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวแทบอยากจะเคาะกะโหลกที่แข็งตะปุ่มตะป่ำเหมือนไม้ต้นอวี๋[1]ของเขานัก คำรามเสียงเบาใส่เขาอย่างเคืองขุ่น “ไม่มีรถม้าท่านก็ไปประคองแม่นางซุนกลับมาสิ”
เมิ่งเสียนลนลานโบกมือ “ไม่ได้ๆ ทำเช่นนั้นจะเสื่อมเสียชื่อเสียงแม่นางซุนได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะร้องคำรามใส่เขานัก ที่ต้องการก็คือให้เขาทำลายชื่อเสียงแม่นางซุนอย่างไร แต่ในบ้านมีคนอยู่มาก นางทำได้แต่คิด ไหนเลยจะกล้าร้องคำราม เพียงแค่นเสียงหึแล้วพูดว่า “ข้าจะไปรับแม่นางซุนกลับมากับท่าน”
เมิ่งเสียนรบเร้านาง “งั้นพวกเรารีบไปเถอะ”
เห็นท่าทีร้อนรนของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือดีใจดี
ทั้งสองเดินพ้นประตูมาได้ไม่ไกล ก็เห็นซุนเชี่ยนเดินอ้อยอิ่งกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งเข้าไป กุลีกุจอถาม “แม่นางซุน ขาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซุนเชี่ยนยิ้มเก้อเขิน “พักครู่หนึ่งก็ดีขึ้นมากแล้ว”
เมิ่งเสียนอธิบาย “รถม้าในบ้านเอาออกมาไม่ได้ ข้าเลยไปหาน้องสาวให้มาช่วยเจ้า ทำให้ล่าช้าเสียเวลา หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”
ซุนเชี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “เป็นความผิดของข้าเอง ไฉนเลยจะกล้าตำหนิท่าน?”
เมิ่งเสียนตะลึงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากแอบอมยิ้ม
ซุนเชี่ยนก็รู้สึกว่าน้ำเสียงตัวเองผิดปกติ หน้าแดงเรื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างมีนัยแอบแฝง “แม่นางซุนอย่าได้ถือสา พี่ใหญ่ข้าไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับหญิงสาว ไม่รู้ว่าพวกนางคิดอ่านอย่างไร แต่หากพี่ใหญ่ข้าจริงจังตั้งมั่นกับใคร จะต้องดีกับคนผู้นั้นไปทั้งชีวิต”
ซุนเชี่ยนฟังความหมายแฝงในคำพูดนางออก ใบหน้ายิ่งฝาดแดง ชำเลืองมองเมิ่งเสียนแวบหนึ่ง
เมิ่งเสียนก็หน้าแดงเรื่อ กล่าวตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเก้อเขิน “น้องสาว เจ้าพูดเรื่องพวกนี้ทำไม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบถอนหายใจ หันไปพูดกับซุนเชี่ยนอย่างแหนงหน่าย “พี่ชายข้าสมองดั่งไม้ต้นอวี๋ เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจ”
ซุนเชี่ยนเห็นนางกล่าวถึงเมิ่งเสียนเช่นนี้ก็ให้หัวเราะขบขัน
เมิ่งเสียนมองนางอย่างงุนงง
ทั้งสามเดินเข้ามาในลานบ้าน ซุนเชี่ยนเห็นคนทั้งหมดกำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่ก็ให้ประหลาดใจ สาวเท้าเดินเข้าไปพูดขึ้น “ขอข้าเล่นบ้างได้หรือไม่”
เมิ่งเสียนเห็นซุนเชี่ยนเดินเหินกระฉับกระเฉง ตกใจอ้าปากร้องลั่น “น้องสาว นางๆๆ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขาอย่างไม่ได้ดั่งใจ “หุบปาก!”
เมิ่งเสียนกลับอ้าปากค้างกว้างกว่าเดิม มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างฉงน ไม่เข้าใจทำไมนางต้องตวาดตัวเอง
จางเฉิงที่ถือแมลงปอไม้ไผ่นิ่งอึ้งเล็กน้อย ยื่นแมลงปอไม้ไผ่ในมือให้นางอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ซุนเชี่ยนรับมา ลองปั่นมือเลียนแบบพวกเขา แมลงปอไม้ไผ่ก็หมุนติ้วลอยคว้างกลางอากาศ
ซุนเชี่ยนพูดกับจางเฉิงอย่างตื่นเต้น “เจ้าดูเถิด ของข้าสูงกว่าเจ้าอีก”
จางเฉิงลืมความสั่นกลัวแล้ว พูดอย่างไม่ยอม “ของข้าสูงกว่าเจ้า ไม่เชื่อเดี๋ยวเจ้าคอยดู” พูดจบหลังจากเฝ้ามองให้แมลงปอไม้ไผ่ร่วงลงมา ก็รีบวิ่งไปเก็บ จากนั้นออกแรงสุดชีวิตปั่นไม้ไผ่ เป็นดั่งที่เขาพูดดังคาด แมลงปอไม้ไผ่ลอยละลิ่วสูงยิ่งกว่าเมื่อครู่
ซุนเชี่ยนกล่าวชื่นชม “เจ้าเด็กทะเล้น ก็ได้ สูงกว่าของข้าจริงๆ”
จางเฉิงไม่เคยได้ยินใครเรียกตนเองเช่นนี้มาก่อน ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ขบคิดวางแผน หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉ “เมื่อคุณชายจางชอบแมลงปอไม้ไผ่เช่นนี้ พวกเจ้ากับพี่ใหญ่ไปช่วยกันทำให้เขาสองอันเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนเข้าใจนัยยะจากคำพูดนางทันที พยักหน้า เชื้อเชิญจางเฉิง “วิธีการทำของสิ่งนี้ง่ายมาก เจ้าก็มาทำด้วยกันกับพวกเราเถอะ”
จางเฉิงไม่เคยทำของสิ่งนี้มาก่อน พยักหน้าดีใจ
เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปเดินหาไม้ไผ่สองสามแผ่นกลับมา ให้เมิ่งเสียนผ่าแยกออก แล้วสอนจางเฉิงว่าต้องฝนอย่างไร
ซุนเชี่ยนเห็นว่าไม่ยาก จึงเข้ามาร่วมวงกับพวกเขาด้วย
ตอนที่จางฟู่กุ้ยและซุนซ่านเหรินเดินออกมา เห็นจางเฉิงใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกำลังฝนไม้ไผ่แผ่นอย่างสนุกสนาน ให้ประหลาดใจ พูดว่า “พี่ซุน แม่นางเมิ่งไม่ใช่เล่นจริงๆ บุตรชายข้าไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน”
ซุนซ่านเหรินก็เลื่อมใสในตัวเมิ่งเชี่ยนโยวมากเช่นกัน ลูบเคราพูดอย่างเบิกบาน “ถูกแล้ว เรื่องที่พวกเราคิดว่าจัดการได้ยาก พอมาอยู่ในมือนางกลับง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ บางครั้งข้ายังสงสัยว่านางนั้นหรือคือเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าปี”
สองสามีภรรยาเมิ่งได้ยินพวกเขากล่าวชมเชยบุตรสาวตัวเองเช่นนี้ ย่อมปิติยินดีอย่างมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาเดินออกมา จึงพาพวกเขามาที่ห้องฝั่งตะวันตก มาดูกระเป๋านักเรียนจำนวนมากที่เย็บเสร็จแล้ว ทั้งหยิบกระเป๋านักเรียนทุกลวดลายออกมาอย่างละหนึ่งใบ วางตรงหน้าจางฟู่กุ้ย บอกเขาว่า ลูกหลานบ้านเศรษฐีส่วนใหญ่จะซื้อกระเป๋านักเรียนทุกลวดลายไปอย่างละใบ
จางฟู่กุ้ยมองดูลวดลายทุกแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ให้ประหลาดใจ หลังจากตรวจดูฝีมือการเย็บกระเป๋านักเรียนสองสามใบอย่างง่ายๆ ก็พูดว่า “แม่นางเมิ่ง ขอกระเป๋านักเรียนคุณภาพดีมาให้ข้าอีกลวดลายละสามสิบใบเถอะ ข้ากลัวกระเป๋านักเรียนหนึ่งร้อยใบจะถูกแย่งซื้อหมดอย่างเร็ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบยินดี ขานรับคำ “เถ้าแก่จางมีสายตาแหลมคม ข้าจะเตรียมให้ท่านเดี๋ยวนี้”
จางฟู่กุ้ยหัวเราะลั่น
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งชื่อบรรจุกระเป๋านักเรียนที่จางฟู่กุ้ยต้องการด้วยตัวเอง ทั้งพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยที่ครั้งนี้ต้องให้ท่านมาด้วยตัวเอง ภายหน้าหากท่านต้องการสินค้าอีกให้คนมาส่งข่าวก็พอ พวกเราจะจัดส่งไปให้”
จางฟู่กุ้ยโบกมือ พูดว่า “ข้ามาครั้งนี้ นับว่าไม่เสียเที่ยว ไม่เพียงเฉิงเอ๋อร์มีความเปลี่ยนแปลง ข้าก็ได้ผลประโยชน์กลับไปไม่น้อย ภายหน้าหากแม่นางเมิ่งเข้าไปในจังหวัดอีกจะต้องมาที่บ้านข้า พวกเราจะได้พูดคุยกันให้เต็มที่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับคำ “มีเวลาข้าจะต้องไป”
เมิ่งเสียนสอนคนทั้งหมดทำแมลงปอไม้ไผ่จำนวนหนึ่ง หลังจากจางเฉิงเลือกเฟ้นแล้ว ก็หยิบออกมาสองอัน กำไว้ในมือแน่น ดีใจยกใหญ่
ซุนเชี่ยนก็เลือกไปหนึ่งอัน
เมื่อเจรจาความเสร็จเรียบร้อยแล้ว จางฟู่กุ้ยก็กล่าวคำลา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าเริ่มเย็นแล้ว คิดจะรั้งพวกเขาให้อยู่ต่อ แต่พอคิดว่าบ้านตัวเองสถานที่ไม่เพียงพอ จึงหันไปมองซุนซ่านเหรินอย่างลำบากใจ
ซุนซ่านเหรินเข้าใจทันที พูดกับจางฟู่กุ้ยอย่างเบิกบาน “วันนี้ก็เย็นมากแล้ว เดินทางกลับจังหวัดตลอดคืนเกรงจะไม่ปลอดภัย เอาอย่างนี้เถอะ น้องจางตามข้าไปพักในตำบลสักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางเป็นอย่างไร”
จางฟู่กุ้ยและซุนซ่านเหรินเพิ่งเจอกันดั่งรู้จักกันมานาน พูดคุยถูกคอ บวกกับการเดินทางตอนกลางคืนก็ไม่ปลอดภัยจริงๆ จึงรับปากเต็มคำ “พวกเราเป็นคนต่างถิ่นไม่คุ้นเคย ต้องรบกวนพี่ซุนแล้ว”
ซุนซ่านเหรินโบกมือหยอยๆ “ไม่รบกวน ตอนกลางคืนพวกเราจะได้พูดคุยกันอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเหวินเปียวนำกระเป๋านักเรียนไปจัดวางบนรถม้าที่จางฟู่กุ้ยพามาด้วย จางฟู่กุ้ยร้องเรียกจางเฉิง นำเขากล่าวคำลา
แม้จางเฉิงจะไม่ได้พูด แต่ก็ไม่ยืนด้านหลังจางฟู่กุ้ยอย่างสั่นกลัวอีก
ซุนเชี่ยนกล่าวลาสองสามีภรรยาเมิ่งอย่างสุภาพอ่อนน้อม จึงเดินออกไปพร้อมซุนซ่านเหริน
งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีด้านนอกยังดำเนินต่อ ในตอนนั้นคนทั้งหมดไม่ตกใจแล้ว เดินไปข้างรถม้าตัวเอง ก้าวขึ้นรถม้า
ซุนซ่านเหรินสั่งคนรถให้บังคับรถม้านำทางไปยังโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของตำบล
เมื่อส่งคนทั้งหมดกลับ สองสามีภรรยาเมิ่งที่คอยอยู่ด้วยตลอดมาครึ่งค่อนวันถอนใจโล่งอก เมิ่งชื่อพูดว่า “เหนื่อยจะแย่แล้ว ต่อไปข้าจะมุ่งมั่นกับการเย็บกระเป๋านักเรียนเท่านั้น พวกเจ้าใครก็อย่ามาให้ไปต้อนรับแขกอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
เมิ่งเอ้ออิ๋นรู้สึกว่าตัวเองยิ้มจนหน้าแข็งค้างไปหมดแล้ว ได้ฟังก็พยักหน้าเห็นพ้อง “ใช่ ต่อไปเรื่องเช่นนี้ไม่ต้องมาเรียกข้าและแม่เจ้าอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเสียงลั่น
งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวันผ่านพ้นไปด้วยดี คนในครอบครัวเมิ่งทั้งหมดยังมีลูกๆ หลานๆ ในสกุลเมิ่งที่มาช่วยเหลือต่างเหน็ดเหนื่อยจนผิวหนังลอยเป็นชั้น พักผ่อนสองสามวันถึงฟื้นคืนกลับมา
คืนวันที่จัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวคำนวณอย่างคร่าวๆ ใช้เงินไปหลายร้อยตำลึง เมิ่งชื่อได้ฟังก็ตบหน้าอกพูดอย่างปวดใจ “ต่อไปจะไม่จัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีแล้ว แค่สามวันก็ละลายเงินไปมากมายเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มเชื้อไฟ “ท่านแม่ ยังไม่หมดนะ คาดว่าพรุ่งนี้เหล่าผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ในละแวกใกล้เคียงก็จะเข้ามากล่าวคำอวยพร ถึงตอนนั้นพวกเราจะเลี่ยงเลี้ยงรับรองอาหารพวกเขาสักมื้อไม่ได้”
เมิ่งชื่อร้องอุทาน “ยังต้องเลี้ยงอาหาร? กระเป๋านักเรียนร้อยกว่าใบของข้าขายไม่ได้กำไรแล้ว!”
[1] ต้นอวี๋ เป็นไม้เนื้อแข็งในสกุลต้นอัลมัส เป็นการเปรียบเปรยว่ามีความคิดโบราณ คร่ำครึ