ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 175-2 วาจาของแม่ทัพรองชุย
รถม้าสองคันมาถึงประตูเมืองฝั่งตะวันตก รถม้าของตี้ซือยังมาไม่ถึง
เหวินซื่อโล่งอก สั่งการพนักงานให้บังคับรถม้าไปด้านนอกประตูเมือง ลงจากรถม้ามายืนรอ
เมิ่งเชี่ยนโยวและคนทั้งหมดก็ลงจากรถม้า
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นประคองเมิ่งจงจวี่ลงมายืนนิ่ง
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ไกลออกไปมีรถม้าหลายคันแล่นมุ่งหน้าเข้ามา
คนที่คุ้มกันมาตลอดทางคล้ายจะรู้จักเหวินซื่อ เห็นเขายืนรออยู่หน้าประตูเมือง พูดเสียงเบาบอกคนในรถม้าว่ามีคนมารับพวกเขาแล้ว รถม้าทั้งหมดหยุดจอด
เหวินซื่อก็รู้จักผู้คุ้มกัน เอ่ยปากเสียงลั่น “ท่านรองแม่ทัพชุย ท่านมาส่งด้วยตัวเอง”
รองแม่ทัพชุยประสานหมัดขานรับ “นายท่านเหวิน สบายดีหรือ”
เหวินซื่อชี้รอยแผลเป็นบนใบหน้าตนเองแล้วถาม “ข้าดูเหมือนสบายดีเช่นนั้นหรือ?”
รองแม่ทัพชุยชะงักอึ้งเล็กน้อย แล้วยิ้มพูด “นายท่านเหวินยังมีอารมณ์ขันเช่นเดิม”
ม่านบังรถรถม้าคันแรกถูกเปิดออก ชายชราผู้เต็มไปด้วยรัศมีแห่งผู้ทรงภูมิ ท่วงท่ากระชุมกระชวยแข็งแรงคนหนึ่งเดินลงมา
เมิ่งจงจวี่เป็นผู้นำทุกคนเข้าไปต้อนรับ
รองแม่ทัพชุยก็ลงจากม้า พูดกับทุกคน “ท่านผู้นี้คืออาจารย์ที่ท่านแม่ทัพเชิญมาให้เด็กน้อยบ้านสกุลเมิ่ง”
เมิ่งจงจวี่ลนลานประสานมือคารวะกล่าวว่า “ข้าคือปู่ของอี้เซวียน ได้ฟังว่าท่านอาจารย์จะมา ตั้งใจพาคนในครอบครัวมาต้อนรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบประเมินท่ามกลางกลุ่มคน ชายชรามีรูปร่างสมส่วน เสื้อผ้าพอดีตัว ไม่ถือว่าหรูหรา กลับสะท้อนความสูงส่งไม่ธรรมดา ใบหน้าสดใสเบิกบาน แผงเคราสีขาวพลิ้วไสวเบื้องหน้าหน้าอก สะท้อนบารมีเยี่ยงเทพเซียน
จากปากของฉู่เหวินเจี๋ย ตี้ซือทราบเพียงว่าสกุลเมิ่งเป็นคนชนบท มิได้รับทราบสิ่งใดอีก ตอนนี้ได้ฟังเมิ่งจงจวี่กล่าวถ้อยคำอย่างมีมารยาท อดมองประเมินพวกเขาหลายครั้งไม่ได้ เห็นพวกเขาแต่ละคนแต่งกายใช้ได้ ไม่เหมือนครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น ก็ให้รู้สึกเบาใจไปได้บ้าง กล่าวอย่างอ่อนโยน “เกรงใจแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงอาจารย์คนหนึ่ง ลำบากพวกเจ้าต้องมาต้อนรับแล้ว”
ตี้ซือประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้เหล่าองค์ชายมาหลายปี เนื้อตัวสะท้อนบารมีน่าเกรงขาม แม้นว่าตนเองจะแสดงกิริยาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน รัศมีอันน่าเกรงขามบนตัวนั้นก็ยังคงอยู่
เมิ่งจงจวี่พลันพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ท่านอาจารย์ถ่อมตนเกินไปแล้ว ด้วยความรู้ของท่าน ยอมมาสอนสั่งหลานชายของข้าด้วยตนเอง ถือว่าเป็นเกียรติแก่สกุลเมิ่งของพวกเราแล้ว”
ตี้ซือโบกมือ “พูดเช่นนี้ยังเร็วเกินไป รอให้ข้าพบหลานชายคนนั้นของท่านก่อนถึงค่อยตัดสินใจ”
เมิ่งจงจวี่ยังคงกล่าวอย่างนบนอบ “วันนี้หลานชายข้าไปโรงเรียน จึงไม่อาจมาต้อนรับท่านด้วยได้ รอพาท่านอาจารย์เข้าที่พักเรียบร้อย พวกเราก็จะไปรับเขามากราบคารวะท่านอาจารย์”
ตี้ซือยิ้มอ่อนๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็นำทางเถิด มีเรื่องอะไรรอให้พวกเราเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน”
เมิ่งจงจวี่ขานรับคำ
ตี้ซือเดินกลับไปขึ้นรถม้า
เมิ่งจงจวี่ปาดเหงื่อผดบนหน้าผากตัวเอง เร่งรุดกลับไปขึ้นรถม้าตัวเองด้วยการประคองของเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋น
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนคานรถม้าด้านหน้า กำชับให้เหวินเป้าตรงกลับบ้าน
รองแม่ทัพชุยเห็นนางเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ กลับออกมานั่งด้านนอกรถม้า หลังจากมองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ถึงพลิกตัวขึ้นหลังม้า กำชับรถม้าให้ตามติดไป
เหวินซื่อก็ขึ้นบนหลังม้าแล้ว ม้าเดินไปพลางพูดคุยกับรองแม่ทัพชุยไปพลาง ถามไถ่สถานการณ์ช่วงนี้ของฉู่เหวินเจี๋ย
รองแม่ทัพชุยตอบเขาเสียงเบา “ตอนนี้ท่านแม่ทัพสบายดีทุกประการ เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันจะง่วนอยู่กับการฝึกทหารในค่าย ทว่า ก่อนข้ามาท่านแม่ทัพได้ฝากข่าวมาให้ท่าน บอกว่าปีนี้ยุ่งมาก อาจจะปลีกตัวมาจากเมืองหลวงไม่ได้ เรื่องที่เขาฝากฝังท่านไว้ขอท่านอย่าได้ลืมเลือนเด็ดขาด ต่อให้มีเบาะแสเพียงน้อยนิดก็ต้องแจ้งเขา”
เหวินซื่อพยักหน้าพูดว่า “ท่านกลับไปบอกท่านพี่ฉู่ บอกว่าเรื่องนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ข้าคอยให้คนสืบข่าวอยู่ตลอด เมื่อได้ข่าวข้าจะแจ้งเขาไปทันที”
รองแม่ทัพชุยรับคำ “ข้ากลับไปจะแจ้งท่านแม่ทัพตามจริงทุกประการ”
พูดจบก็ยิ่งกดเสียงต่ำถามความ “ไม่ทราบว่าสกุลเมิ่งและท่านแม่ทัพมีความเกี่ยวดองอันใดต่อกัน ท่านแม่ทัพถึงกับเชิญตี้ซือมาสอนเด็กบ้านพวกเขา”
เหวินซื่อก็ไม่ปิดบัง “ปีก่อนหลังจากท่านพี่ฉู่ออกจากเมืองหลวง ถูกลอบทำร้าย คนร้ายยิงธนูตะขออาบยาพิษเข้าที่กลางหลังเขา แม้แต่ข้าก็ทำอะไรไม่ถูก เป็นแม่นางน้อยสกุลเมิ่งที่ยื่นมือมาช่วยชีวิตเขาไว้”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้า “เป็นอย่างนี้เอง ถึงว่าท่านแม่ทัพไม่เสียดายที่จะทวงบุญคุณขอให้ตี้ซือมาสอน ทำเอาพวกข้าพี่น้องแอบคาดเดากันเองอยู่เป็นนาน แต่ว่า ไม่ทราบว่าแม่นางสกุลเมิ่งคนนี้มีอายุเท่าใด เหตุใดถึงมีวิชาแพทย์สูงส่งปานนั้น”
เหวินซื่อชี้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูด “ก็คือนาง”
รองแม่ทัพชุยมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกอกตกใจแวบหนึ่ง ถามอย่างไม่เชื่อ “นางคือคนที่ช่วยชีวิตท่านแม่ทัพ?”
เหวินซื่อพยักหน้า
รองแม่ทัพชุยลอบมองประเมินเมิ่งเชี่ยนโยวโดยรอบอีกครั้งอย่างอดใจไม่ได้ เห็นนางเป็นเพียงสาวน้อยบ้านนาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ก็ให้ยิ่งประหลาดใจ ถามขึ้น “แม่นางน้อยท่านนี้มองดูแล้วมีอายุอานามเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น กลับมีวิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศได้ปานนั้น?”
เหวินซื่อตอบเขา “เจ้าอย่าได้ดูแคลนนางเป็นอันขาด นางไม่เพียงรู้วิชาแพทย์ ทั้งยังปรุงยาได้ ยาห้ามเลือดที่ท่านพี่ฉู่นำกลับไปปีก่อนก็ได้นางเป็นคนปรุงให้”
รองแม่ทัพชุยยิ่งให้ตกตะลึง ยาห้ามเลือดที่ท่านแม่ทัพนำกลับไปปีก่อนสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งกองทัพ แพทย์ทหารถึงกับไม่สนใจหน้าตาร้องฟูมฟายจะแขวนคอตาย ให้ท่านแม่ทัพคิดหาวิธีนำกลับไปอีก ท่านแม่ทัพกลับไม่รับปาก ที่แท้เป็นแม่นางน้อยท่านนี้เป็นคนปรุงออกมา
เหวินซื่อพูดต่อ “ไม่เพียงเท่านั้น นางยังมีความเชี่ยวชาญด้านการค้า อายุเพียงเท่านี้ก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว”
รองแม่ทัพชุยได้ฟังจึงหันไปพินิจมองเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อนางเต็มหัวใจ
“แต่ทว่า นางเป็นคนอารมณ์ร้าย ท่านอย่าได้ยั่วโมโหนางเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นนางจะใช้วิธีอัศจรรย์พันลึกต่างๆ นาๆ มาจัดการท่าน” สุดท้ายเหวินซื่อกล่าวด้วยความปรารถนาดี
รองแม่ทัพชุยรีบร้อนพูด “ไม่แน่นอน ท่านแม่ทัพกล่าวไว้แล้ว ขอเพียงตี้ซือยินดีจะอยู่ที่นี่ ก็ให้พวกเราเดินทางกลับไปทันที”
เหวินซื่อพยักหน้า “ก่อนไปท่านต้องมาที่ร้านยาเต๋อเหริน พวกเราจะได้เสวนากันอย่างเต็มที่”
มาถึงทางแยก เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงพูดกับเหวินซื่อ “ที่ร้านยาค่อนข้างยุ่ง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
เดิมทีเหวินซื่อและตี้ซือก็ไม่รู้จักมักจี่กัน ที่ตามมาก็เพื่อตามมารับคนด้วยเท่านั้น ตอนนี้รับคนมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว จึงไม่มีธุระกงการอะไรของเขาอีก ได้ฟังดังนั้นก็รั้งเชือกม้า หันไปพูดกับรองแม่ทัพชุย “เช่นนั้นข้าไม่ไปส่งแล้ว เมื่อท่านจะไปจะต้องมาที่ร้านยาเต๋อเหริน”
รองแม่ทัพชุยรับคำ
เหวินซื่อกระตุกม้าเดินทางกลับ
คนที่เหลือเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านหวง
เมิ่งเชี่ยนโยวเกรงคนทั้งครอบครัวตี้ซือจะไม่คุ้นชิน ให้เหวินเป้าลดความเร็วของรถม้า ใช้เวลาสองชั่วยามเต็มกว่าจะมาถึงเรือนหลังใหม่
เหวินเป้าหยุดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงมาก่อน เมิ่งจงจวี่ก็ตามลงมาด้วยการประคองของเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋น เดินมาเบื้องหน้ารถม้าของตี้ซือ รอคอยตี้ซือลงจากรถม้าอย่างนอบน้อม
รถม้าทั้งหมดหยุดสนิทแล้ว คนบนรถม้าต่างทยอยกันเดินลงมา
เมิ่งจงจวี่กล่าวกับตี้ซืออย่างนบนอบ “นี่เป็นที่พักที่เตรียมไว้ให้ท่าน เชิญท่านตามข้าเข้าไปดูว่าพึงพอใจหรือไม่?”
ตี้ซือยอมตบปากรับมาสอนสั่งวิชาให้เมิ่งอี้เซวียนเพื่อทดแทนบุญคุณของฉู่เหวินเจี๋ย ทว่าก็ยังคิดจากใจว่าเด็กน้อยบ้านนาคนหนึ่ง ต่อให้ฉลาดมีพรสวรรค์เพียงใด ย่อมอ่อนด้อยห่างไกลจากเหล่าโอรสองค์ชายเป็นอย่างมาก ไม่มีทางเข้าตาตนเอง ดังนั้นระหว่างทางที่มาก็ได้เตรียมใจกลับบ้านเกิดไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจเรื่องที่พักอาศัยแม้แต่น้อย ได้ฟังเมิ่งจงจวี่พูดเช่นนี้ จึงพูดอย่างเกรงใจและมีมารยาทว่า “ข้าเป็นเพียงอาจารย์ต่ำต้อย มิได้มีข้อเรียกร้องสูงต่อที่พักอาศัย ขอเพียงอาศัยได้ก็พอแล้ว”
เมิ่งจงจวี่อ่านความคิดเขาไม่ออก ทำได้เพียงเชื้อเชิญเขาเข้าไปในบ้านอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
ตี้ซือรอคนทั้งหมดลงจากรถม้าแล้ว ถึงก้าวเท้าเข้าไปในเรือนใหม่อย่างไม่รีบไม่ร้อน
เมิ่งจงจวี่เร่งรุดตามติดไปอย่างอ่อนน้อม
คนทั้งหมดเดินตามหลังมาติดๆ
แม้ตี้ซือจะมิได้คาดหวังใดๆ กับที่พัก แต่หลังจากเดินเข้ามาในเรือนใหม่ ก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าหมู่บ้านชนบทเล็กๆ นี้กลับปลูกเรือนได้โดดเด่นมีเอกลักษณ์อีกทั้งใหญ่โตงดงามแปลกตา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของเขาก็ให้วางใจลง
บรรดาผู้ที่เดินตามหลังเข้ามาก็ให้ตกตะลึงพรึงเพริด
เมิ่งจงจวี่กล่าวแนะนำ “นี่เป็นเรือนสี่ประสานสี่ลานเรือน คนในแต่ละลานเรือนสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นส่วนตัว หรือจะรวมตัวกันทันทีก็ได้”
ตี้ซืออดกล่าวชื่นชมไม่ได้ “เป็นการออกแบบที่ล้ำเลิศนัก ไม่ทราบว่ายอดฝีมือท่านใดคิดออกมา”
เมิ่งจงจวี่ตอบอย่างภาคภูมิใจ “หลานสาวของข้าเป็นผู้ออกแบบออกมา”
ตี้ซือตะลึงเล็กน้อย “หลานสาวท่านช่างมีสติปัญญาปราดเปรื่อง ไม่ทราบว่าปีนี้อายุเท่าใด”
เมิ่งจงจวี่หันไปกวักมือให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวขึ้นมาข้างหน้า
เมิ่งจงจวี่ยกยิ้มพูด “นี่ก็คือหลานสาวผู้นั้นของข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มคารวะตี้ซือ
ตี้ซือเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ถามอย่างตกตะลึง “เรือนหลังนี้เจ้าเป็นผู้ออกแบบ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ในบ้านมีคนมาก ปลูกเรือนเป็นหลังๆ ยุ่งยากเกินไป ข้าจึงคิดออกแบบเช่นนี้ เทียบไม่ได้กับคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมืองหลวง แต่ในชนบทนี้ถือได้ว่ามีเพียงหลังเดียว”