ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 177-1 พระกระโดดกำแพง
กลางดึก เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยังไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก ลุกขึ้นสวมเสื้อ เปิดประตูใหญ่ออก เห็นเหวินเปียวและเหวินหู่กำลังเดินมาถึงหน้าประตูพอดี
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูใหญ่ออก ทั้งสองก็ให้ตกตะลึง จากนั้นเหวินเปียวก็พูดอย่างรู้สึกผิดเสียงเบา “แม่นาง ทำท่านตื่นแล้ว? เดิมพวกเราคิดจะบังคับม้าเข้าไปในลานบ้านเงียบๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดเสียงเบาเช่นกัน “เดิมข้าก็ไม่ได้หลับ ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก คาดว่าพวกเจ้าคงกลับมาแล้ว ถึงได้ออกมาดู”
ทั้งสองเก็บรถม้าเรียบร้อย เหวินเปียวล้วงตั๋วเงินออกจากอกเสื้อ “นี่คือเงินขายกระเป๋านักเรียน แม่นางตรวจดูก่อน ว่าถูกต้องหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ไม่แม้แต่จะมอง พูดว่า “พวกเจ้าสองคนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าไม่ต้องเข้ามาสอนวรยุทธ์พวกเขาแล้ว”
เหวินเปียวและเหวินหู่รับรู้ด้วยสายตา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเชื่อใจพวกเขาเช่นนี้ ก็ให้ซาบซึ้งใจ พูดว่า “พวกเราไม่เป็นอะไร เมื่อก่อนตอนทำหน้าที่คุ้มกัน ต้องเร่งเดินทางเป็นสิบวันถึงครึ่งเดือน คุ้นชินเสียแล้ว พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเข้ามาตรงตามเวลา”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้ ข้าขอสั่งให้พรุ่งนี้พวกเจ้าพักผ่อนหนึ่งวัน หากมีเรื่องอะไร ข้าจะให้คนไปเรียกพวกเจ้าเอง”
เหวินเปียวและเหวินหู่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวหวังดีกับพวกเขา ก็ยิ่งซาบซึ้งใจ ไม่ดึงดั้นอีก กลับบ้านไปพร้อมแสงจันทร์สลัวที่สาดส่อง
เห็นทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวปิดประตูใหญ่ กลับเข้ามาในห้อง วางตั๋วเงินไว้บนโต๊ะ กลับไปนอนบนเตียงเตาอีกครั้ง คิดอะไรอีกมากมาย ฟ้าใกล้จะสางถึงได้นอนหลับไป
เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไม่ต้องไปเรียนในตัวตำบลแล้ว เมิ่งชื่อจึงไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาทำอาหารอีก นอนหลับอย่างเต็มที่สบายใจ กระทั่งฟ้าเริ่มสางถึงลุกขึ้นมาเข้าครัวทำอาหาร
หลังจากรองแม่ทัพชุยทราบว่าตี้ซือตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ ก็ออกเดินทางตลอดคืนกลับไปเรียนรายงานแล้ว
เมิ่งเสียนนึกว่าเหวินเปียวและเหวินหู่ไปส่งของยังไม่กลับมา จึงไปวิ่งกับพวกอู๋ต้าทั้งสิบคนแทนสองคนนั้น
พวกอู๋ต้าทั้งสิบคนหลังจากผ่านการฝึกฝนมาได้ระยะหนึ่ง ความเร็วในการวิ่งก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยวิ่งรอบภูเขาใหญ่ห้ารอบใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม
เหวินหู่เห็นพวกเขามีพัฒนาการ จึงสอนวิทยายุทธพื้นฐานที่เหมาะสมให้กับพวกเขา สิ่งแรกที่ให้ฝึกก่อนก็คือท่านั่งม้า ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ ทุกคนจะต้องร้องร่ำรำพัน โอดครวญว่าวิ่งยังสบายกว่า มีครั้งหนึ่งเมิ่งเชี่ยนโยวมาได้ยินเข้า เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มแล้วพูดกับพวกเขาว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านั่งม้าก็ไม่ต้องแล้ว ต่อไปให้วิ่งรอบภูเขาใหญ่ยี่สิบรอบทุกวัน”
พวกอู๋ต้าทั้งหมดร้องโอดครวญขอความเมตตา ภายใต้การสอนสั่งของเหวินหู่ ยอมทำท่านั่งม้าแต่โดยดี
เมิ่งเชี่ยนโยวก็มักจะคอยคิดหาวิธีมากลั่นแกล้งพวกเขา อย่างเช่นวางหนังสือไว้บนหัวพวกเขา ในระหว่างที่ทำท่านั่งม้า หากหนังสือบนหัวของใครตกลงมา จะเพิ่มเวลาทำท่านั่งม้าอีกหนึ่งเค่อ วิธีนี้ได้ผลเกินคาด พวกอู๋ต้าทั้งหมดผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็สามารถทำท่านั่งม้าได้โดยที่ขาทั้งสองข้างไม่สั่นแล้ว ฝึกฝนได้อย่างเข้าท่าเข้าทาง
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาฝึกวรยุทธ์ รู้สึกมึนๆ หัว รู้ว่าตัวเองนอนไม่พอ คิดว่าอย่างไรก็ไม่มีเรื่องให้ทำ จึงนอนกลับไปตามเดิม ผ่อนคลายอารมณ์ เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างเต็มอิ่ม
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ เห็นนางยังไม่ตื่น จึงเดินเข้ามาในบ้านร้องเรียนนาง
เพิ่งจะเข้ามาในบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกใจตื่น พอได้ยินว่าเป็นเสียงฝีเท้าเมิ่งชื่อ ก็ไม่ขยับ พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านแม่ ตั๋วเงินขายกระเป๋านักเรียนวางอยู่บนโต๊ะ ท่านเอาไปเก็บไว้ให้ดี”
เมื่อคืนวานเมิ่งชื่อไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นึกว่าพวกเหวินเปียวยังไม่กลับมา ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ก็รีบเดินไปข้างโต๊ะหยิบตั๋วเงินออกมาดูแล้วดูอีก
เนื่องจากเมิ่งเชี่ยนโยวได้นอนเต็มอิ่ม รู้สึกกระปรี้กระเปร่า อารมณ์ดีขึ้น จึงพูดหยอกล้อกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านดูถี่ถ้วนเช่นนี้ ทราบหรือไม่ว่าเป็นตั๋วเงินมูลค่าเท่าใด?”
เมิ่งชื่อเห็นบุตรสาวเย้าแหย่ตนเองแต่เช้าตรู่ โมโหตีไปที่ร่างของบุตรสาวที่มีผ้าห่มกั้นไว้เต็มแรง “เจ้าขบขันที่แม่ไม่รู้หนังสือใช่หรือไม่? แม่จะบอกให้นะ เจ้าดูแคลนแม่เกินไปแล้ว ช่วงที่ผ่านมาแม่รู้จักอักษรหลายตัวบนตั๋วเงินแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่อ “เช่นนั้นท่านบอกหน่อยเถิดว่านี่เป็นเงินเท่าใด?”
เมิ่งชื่อหยิบตั๋วเงินขึ้นตอบอย่างยิ้มย่องใจ “นี่เป็นเงินสามพันตำลึงใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง ถามอย่างประหลาดใจ “ท่านแม่ ท่านเรียนรู้มาแต่เมื่อใด?”
เมิ่งชื่อพูดโยกโย้ “ไม่บอกเจ้าหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวกอดเมิ่งชื่อไว้แน่น พูดอย่างเกินจริง “ท่านแม่ ทำไมท่านเก่งแบบนี้ ข้ารักท่านจะแย่แล้ว”
เมิ่งชื่อทนรับความอบอุ่นเช่นนี้ของนางไม่ไหว เล่นเอาหน้าแดงก่ำ รีบผลักนางออก พูดว่า “เจ้าผีเข้าอะไรแต่เช้าตรู่ รีบลุกขึ้น ประเดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน” พูดจบก็หยิบตั๋วเงินยิ้มหน้าบานกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
กระทั่งเมิ่งชื่อเดินออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวถึงค่อยๆ เก็บคืน นั่งนิ่งบนเตียงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงลุกขึ้นแต่งตัว
หลังจากเมิ่งชื่อเก็บตั๋วเงินดีแล้ว ก็เข้าไปจัดแจงอาหารให้ดี เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ ทยอยกันเดินเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงข้างโต๊ะ ถามซุนเหลียงไฉอย่างจริงจัง “นับแต่วันนี้ไปอี้เซวียนก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
ซุนเหลียงไฉกลืนหมั่นโถวในปากลงไป แล้วพูดว่า “ข้าก็ต้องไม่ไปด้วยอยู่แล้ว”
เมิ่งชื่อคัดค้าน “เจ้าจะไม่ไปโรงเรียนได้อย่างไร?”
ซุนเหลียงไฉตอบกลับ “เดิมข้าก็ไม่อยากเรียนหนังสือ ท่านปู่ที่จะให้ข้าไปให้ได้ ตอนนี้ในที่สุดก็มีข้ออ้างที่ดีนี้ ข้าไม่อยากต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว”
เมิ่งชื่อหันมองมาที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพลันคิดอะไรบางอย่างได้ พูดอย่างปลาบปลื้มใจ “ไม่ไปก็ไม่ต้องไปเถอะ”
เมิ่งชื่อไม่เห็นด้วย “โยวเอ๋อร์ เจ้าตามใจเขาแบบนี้ ภายหน้าจะตอบซุนซ่านเหรินอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบประโลมนาง “ท่านแม่ ข้าเพียงแค่ไม่ให้เขาร่ำเรียนไม่กี่วันเท่านั้น มิใช่จะไม่ให้เขาไม่ได้เรียนระยะยาวเสียหน่อย”
เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้งุนงง ถามขึ้น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดแม่ถึงฟังไม่เข้าใจเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างมีเลศนัย “อีกไม่กี่วันท่านแม่ก็รู้แล้ว”
กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมจะไปดูฉั่งฉิกที่หมู่บ้านหลี่ว่าเติบโตเป็นอย่างไรแล้ว เพิ่งจะเดินพ้นประตูออกมา ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งแล่นเข้ามาแต่ไกล
พอรถม้าเข้ามาใกล้ เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเห็นชัดว่า เป็นคนงานของจูหลานที่บังคับรถมา
คนงานจอดรถม้าสนิท พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง นายท่านของพวกเราให้ข้ามาบอกท่าน อีกสองวันเขาและคุณชายเซี่ย คุณชายอันรวมถึงคุณชายเปาและแม่นางซุนจะเข้ามาเป็นแขกที่บ้านท่าน ให้ท่านเตรียมวัตถุดิบอาหารให้เรียบร้อย ถึงตอนนั้นจะได้ทำพระกระโดดกำแพงให้พวกเขารับประทาน”
พอได้ยินว่าพวกซุนฮุ่ยจะมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าดีใจ “รู้แล้ว กลับไปบอกนายท่านของพวกเจ้า ถึงตอนนั้นให้พวกเขาเข้ามาได้เลย”
คนงานรับคำ อีกทั้งชี้ไปที่รถม้าพูดว่า “นี่เป็นรถม้าที่คุณชายเปาชดเชยให้ท่าน ใหม่หมดตั้งแต่ข้างในไปถึงข้างนอก เชิญท่านดูก่อนว่าพอใจหรือไม่? คุณชายเปาบอกว่าหากท่านไม่พอใจ ให้ข้าบังคับกลับไป อีกสองวันพอเขามาเองจะซื้อคันใหม่นำมาให้ท่านอีกครั้ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้ารถม้า เปิดม่านรถออก เห็นด้านในมีสิ่งของพร้อมสรรพ พยักหน้าพึงพอใจ พูดว่า “ไม่เลว ข้าจะรับไว้”
คนงานถอดรถม้าออก หลังจากถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็พลิกตัวขึ้นรถม้า กลับไปรายงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหน้าประตูร้องตะโกน “พี่ใหญ่ พวกท่านออกมาหน่อยเถิด”
เมิ่งเสียนได้ยินเสียงเดินออกมา เห็นรถม้าคันหนึ่งหน้าประตูก็ให้ประหลาดใจ ถามขึ้น “น้องสาว มาจากไหนหรือ?”
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาจากตัวจังหวัด ก็มิได้บอกคนในครอบครัวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางกับพวกเขา อีกทั้งหลายวันมานี้คนในครอบครัวก็มีเรื่องยุ่ง ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบนรถม้าตัวเองมีร่องรอยถูกคนฟัน ได้ยินเมิ่งเสียนถาม จึงสร้างเรื่องพูดปด “ข้ารังเกียจที่รถม้าของพวกเราทรุดโทรมแล้ว เกรงภายหน้านำออกไปคุยการค้าจะขายหน้า จึงให้คุณชายเปาช่วยซื้อคันใหม่มาให้ เมื่อครู่คนงานของจูหลานเข้ามาส่งข่าว จึงนำรถม้าเข้ามาด้วยเลย”
เมิ่งเสียนไม่คลางแคลงใจอะไร ร้องเรียกเมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉออกมา ร่วมแรงกันเข็นรถม้าเข้าไปในลานบ้าน
หลังจากเข็นรถม้าเข้ามาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ วันนี้ท่านขึ้นไปบนเขาดูว่าฉั่งฉิกเติบโตเป็นอย่างไรแล้ว อีกสองวันพวกคุณชายเปาก็จะมากินข้าวบ้านพวกเรา ข้าจักต้องเข้าเมืองไปซื้อวัตถุดิบ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกำชับให้วันนี้เมิ่งฉีพาเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปแปลงดินด้วย ให้พวกเขาได้ออกกำลังบ้าง จากนั้นกลับเข้าไปในห้อง หยิบพู่กันเขียนสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถึงไปตะโกนบอกเหวินเปียวและเหวินหู่ให้เข้าไปซื้อวัตถุดิบในเมืองพร้อมตัวเอง
หลังจากเข้ามาถึงในเมือง เหวินเปียวเฝ้ารถม้า เหวินหู่ติดตามนางเข้าไปซื้อวัตถุดิบในตลาดสด
เดินวนในตลาดสดรอบใหญ่ วัตถุดิบโดยรวมซื้อได้ครบหมดแล้ว ส่วนวัตถุดิบหลักที่ใช้สำหรับอาหารสิบกว่าอย่างกลับซื้อได้เพียงสามถึงสี่ชนิด
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาขึ้นรถม้า สั่งการเหวินเปียวให้ไปที่เหลาจวี้เสียน
เหวินเปียวชะงักอึ้งเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขา “มุ่งหน้าตรงไปตามถนนเส้นนี้ ประมาณหนึ่งเค่อก็จะเห็นเหลาจวี้เสียน”
เหวินเปียวขานรับ บังคับรถม้ามาถึงเหลาจวี้เสียน