ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 178-1 หวั่นไหว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “รอให้ข้าทำออกมาท่านก็จะทราบเอง”
พนักงานนำโถมาส่ง เมิ่งเชี่ยนโยวล้างด้วยตัวเองอย่างสะอาดเอี่ยม วางพักตากให้แห้ง
วัตถุดิบที่ซื้อมามีจำนวนมาก พ่อครัว เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคนใช้เวลาถึงช่วงบ่ายถึงจะชำระล้างเสร็จ วางแยกไว้รอพร้อมใช้งาน
เมิ่งเชี่ยนโยวนำวัตถุดิบที่สิ้นเปลืองเวลาค่อนข้างนานนำไปดองแช่ไว้อีกด้านก่อน
พ่อครัวคอยตามติดข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ห่าง มองดูการกระทำของนางอย่างไม่ให้คลาดสายตา
ทุกขั้นตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำ จะบอกเขาอย่างใจเย็น พ่อครัวกลัวว่าผ่านไปนานเข้าจะจำไม่ได้ รีบร้อนหยิบกระดาษพู่กันออกมาจดบันทึก
วัตถุดิบในวันแรกจัดเตรียมพร้อมสรรพ มาถึงวันที่สองเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มนำวัตถุดิบที่ไม่เหมือนกันทำเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน
พ่อครัวไม่เข้าใจ ซักไซ้ว่าทำเช่นนี้ต่างอะไรกับการทำอาหารธรรมดาทั่วไป
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วบอกเขาอย่าใจร้อน ค่อยๆ ดูต่อไปเดี๋ยวก็จะรู้เอง
วัตถุดิบมีเยอะมาก เมิ่งเชี่ยนโยวทำทั้งวันถึงจะทำเสร็จ หลังจากทำเสร็จถึงบอกพ่อครัวว่าขั้นตอนสำคัญของการทำพระกระโดดกำแพงเริ่มต้นแล้ว
พ่อครัวเบิกตาโพลง เมิ่งเชี่ยนโยวนำวัตถุดิบที่ทำเสร็จแล้วมาวางสุมกันเป็นชั้นๆ อย่างเป็นระเบียบในโถสองสามใบ พอจัดวางไปได้สองสามชั้นก็จะเทน้ำปรุงที่แตกต่างกัน กระทั่งนำผักที่ทำเสร็จแล้วใส่ลงไปข้างในเสร็จ เทน้ำปรุงสุดท้ายเข้าไป ถึงปิดผนึกฝาขวด กำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ให้นำโถสี่ใบนี้ไปวางบนเตาไฟที่ก่อเสร็จแล้วใช้ไฟอ่อนตุ๋นจนถึงพรุ่งนี้เช้า
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกพ่อครัวว่าไฟและเวลาในการตุ๋นนี้ล้วนต้องพิถีพิถัน
พ่อครัวถือกระดาษพู่กันจดบันทึกอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ ไม่ว่าสถานการณ์ใด ห้ามให้ไฟดับ จะต้องตุ๋นจนให้ได้ตามเวลาถึงจะใช้ได้ ทั้งเรียกพวกอู๋ต้าเข้ามา ให้พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันคอยดูไฟ
หนึ่งคืนผ่านไป
วันที่สอง ฟ้ายังไม่สาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถูกปลุกด้วยเสียงดังลั่นของพ่อครัวอู๋ หยิบเสื้อผ้ามาสวม เปิดประตูออก กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายตลบอบอวลเข้ามา รู้ว่าพระกระโดดกำแพงทำสำเร็จแล้ว ก็เดินไปที่ลานบ้านทันที
พ่อครัววนรอบโถทั้งหมดอย่างปลาบปลื้มปิติ แทบอยากจะเปิดโถออกกินเสียเดี๋ยวนั้น
เหวินเปียวและเหวินหู่นำพาพวกอู๋ต้าคอยดูกำลังไฟทั้งคืน ในตอนนี้ก็ยังดูมีชีวิตชีวาดี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดอย่างดีใจ “แม่นาง อาหารนี้หอมเหลือเกิน พวกเราต่างก็ทนไม่ไหว น้ำลายหกไปหลายสอแล้ว”
พ่อครัวพูดจาเกินเลยยิ่งกว่า “แม่นางเมิ่ง หากไม่มีสายตาคอยจับจ้องตะครุบข้าของพวกเขา เกรงว่าพระกระโดดกำแพงในโถนี้ได้ถูกข้ากินเกลี้ยงไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อก็ถูกเสียงดังเอะอะของพ่อครัวปลุกให้ตื่น กระวีกระวาดใส่เสื้อผ้าออกมา ได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยมาปะทะจมูก ก็ให้แปลกประหลาดใจมาก
กระทั่งฟ้าสาง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงให้พวกเขาดับไฟ
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองคน สูดกลิ่นเข้าจมูก เดินวนเวียนรอบโถไม่ห่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจะลวกถูกพวกเขา กำชับพวกเขาให้อยู่ห่างจากโถ บอกพวกเขาว่า รอยามเที่ยงเมื่อแขกมาแล้วถึงจะกินได้
เด็กน้อยทั้งสองไชโยโห่ร้อง ยิ่งวิ่งอย่างชื่นบานวนรอบโถ ทว่าอยู่ห่างออกมาอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวเช้าพร้อมกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งเสร็จ ก็แบ่งหน้าที่ให้พวกเหวินเปียว ให้เหวินเปียวไปหอน้ำชาของซุนซ่านเหรินรับซุนซ่านเหรินและซุนเชี่ยนเข้ามา ให้พวกอู๋ต้าเข้าไปยืมโต๊ะเก้าอี้จำนวนหนึ่งในหมู่บ้านมา ยังคิดจะให้คนกางศาลา ภายหลังคิดได้ว่ายุคสมัยนี้ไม่มีผ้าเต็นท์ ทั้งต้องใช้ฟางข้าวถึงจะกางได้ รู้สึกว่ายุ่งยาก จึงล้มเลิกไป คิดว่าช่วงเวลานี้อากาศยังไม่ร้อน การกินอาหารนอกบ้านก็เป็นรสชาติที่แปลกใหม่ไปอีกแบบ
หลังจากพวกอู๋ต้าจัดโต๊ะเก้าอี้ที่ยืมมาเสร็จ เริ่มรู้สึกง่วงหงาว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสภาพเช่นนั้นของพวกเขาก็ยิ้มพูด “หากพวกเจ้ารู้สึกไม่ไหวแล้ว ก็กลับไปพักผ่อนสักครู่เถอะ แต่ข้าบอกพวกเจ้าไว้ก่อน หากพวกเจ้าพลาดเวลานี้ไป ก็จะไม่มีพระกระโดดกำแพงให้กินอีก”
ตั้งแต่ที่กลิ่มหอมแรกของพระกระโดดกำแพงลอยออกมาพวกอู๋ต้าก็น้ำลายสอมาถึงตอนนี้ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่าตัวเองก็กินได้ แต่ละคนต่างถลึงตาโตพลัน มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
เหวินเปียวไปรับซุนซ่านเหรินและซุนเชี่ยนกลับมาอย่างไว
สองปู่หลานสกุลซุนเพิ่งจะลงจากรถม้า ก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยเต็มลานบ้าน รู้สึกประหลาดใจ ไม่รอให้เหวินหู่ไปรายงาน ก็สาวเท้าเดินเข้ามาในลานบ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ด้วย ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ พูดว่า “แม่นางเมิ่ง พวกเรามาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังสั่งพวกอู๋ต้าให้จัดวางโต๊ะเก้าอี้ใหม่ ได้ยินเสียงซุนซ่านเหรินก็กลับหลังหัน ยกยิ้มพูด “ข้าทำอาหารชนิดหนึ่ง คิดว่าพวกท่านน่าจะไม่เคยกิน จึงให้คนไปรับพวกท่านมา คงไม่รบกวนเวลาของพวกท่านหรอกนะ?”
ซุนซ่านเหรินโบกมือ พูดอย่างอารมณ์ดี “แม่นางเมิ่งพูดอะไรกัน ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่คับฟ้าก็ไม่อาจขวางข้ามากินอาหารที่หอมอบอวลเช่นนี้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาหยอกเย้าจนหัวเราะร่วน
ซุนเชี่ยนกลับยิ่งประหลาดใจ “ที่แท้เจ้ามิได้เพียงทำอาหารเป็น ทั้งยังทำอาหารมีกลิ่นหอมเย้ายวนได้ถึงเพียงนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่เพียงอาหารชนิดนี้ ข้ายังทำอาหารอื่นๆ ได้อีกมาก หากเจ้าอยากกิน เมื่อมีเวลาว่างก็มาบ้านพวกเราบ่อยๆ ข้าจะทำอาหารหลายๆ ชนิดให้เจ้ากิน”
ซุนเชี่ยนพูดทันควัน “เจ้าพูดเองนะ หากภายหน้าข้ามากินข้าวบ้านเจ้าทุกวัน เจ้าจะรำคาญมิได้นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างมีนัยแฝง “เฝ้าหวังให้เป็นเช่นนั้น”
เมิ่งเสียนได้ฟังพวกนางสนทนากัน กะพริบตาปริบๆ ก้มศีรษะมองต่ำ
ซุนเชี่ยนแสร้งทำเป็นมองเขาโดยไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบมองทั้งหมดนี้ไว้ในสายตา
ซุนเหลียงไฉที่แทบอยากเอาตัวเองแปะติดกับโถเห็นซุนซ่านเหรินเข้ามา ดีใจวิ่งเข้าหา ร้องเรียก “ท่านปู่”
ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ ขานรับ
ซุนเชี่ยนใช้มือเขกศีรษะซุนเหลียงไฉ พูดว่า “เจ้าตัวดี ยังมีข้าเล่า?”
ซุนเหลียงไฉลูบศีรษะตัวเอง พูดอย่างไม่พอใจ “ทำไมข้าถึงโชคร้ายเช่นนี้ มีพี่สาวที่ชอบตีคนเช่นท่านได้”
ซุนเชี่ยนเคาะไปอีกครั้ง “ข้าว่าเจ้าอยากถูกอัดจริงๆ แล้ว พูดเช่นนี้กับพี่สาวได้อย่างไรกัน?”
ซุนเหลียงไฉยื่นหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่นาง “ท่านโหดเช่นนี้ ระวังจะขายไม่ออก” พูดจบกลัวซุนเชี่ยนจะอัดเขา หันหลังเผ่นแนบ
ซุนเชี่ยนยกกระโปรงวิ่งไล่กวดอย่างไม่สนภาพลักษณ์ “เจ้าตัวดี ทางที่ดีอย่าให้ข้าจับได้เล่า ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าจะตีจนภายหน้าเจ้าไม่กล้าพูดเหลวไหลอีก”
เมิ่งเสียนเห็นท่าทีที่ไม่สะดีดสะดิ้งเสแสร้งแม้แต่น้อยของนาง ก่อเกิดความรู้สึกประหลาดบอกไม่ถูกขึ้นในใจ
ซุนซ่านเหรินมองดูสองพี่น้องวิ่งไล่กวดกันอย่างมีความสุข พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างซาบซึ้งใจ “แม่นางเมิ่ง เพราะเจ้าแท้ๆ เชี่ยนเอ๋อร์และไฉเอ๋อร์ถึงเข้าหากันได้ดีเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าหาได้ทำสิ่งใดไม่”
ซุนซ่านเหรินถอนใจ “เฮ้อ เพราะว่าเชี่ยนเอ๋อร์เป็นบุตรสาว เจ้าบุตรชายไม่เอาถ่านของข้าถึงไม่ดูดำดูดีนาง เชี่ยนเอ๋อร์ต้องอยู่ข้างกายข้ามาตลอด แต่เชี่ยนเอ๋อร์ก็มีนิสัยแข็งกร้าว จึงเห็นเขาขวางหูขวางตาไปด้วย สิ่งนี้กระทบต่อความสัมพันธ์ของเชี่ยนเอ๋อร์และไฉเอ๋อร์ กระทั่งได้เจ้าสอนสั่งมาหลายเดือน หลังจากไฉเอ๋อร์กลับบ้านก็เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเชี่ยนเอ๋อร์ ทั้งสองถึงมีความสัมพันธ์เยี่ยงพี่น้องแท้ๆ ไม่เช่นนั้น ไม่แน่ว่าภายหน้าพวกเขาสองคนอาจจะเป็นศัตรูกันก็เป็นได้”
คำพูดทำนองนี้ ซุนซ่านเหรินเคยพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นหลานชายและหลานสาวเข้ากันได้เป็นอย่างดี ก็มักจะคิดถึงเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วโรคขี้บ่นก็มักจะกำเริบตามมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “หาได้รุนแรงเช่นนั้นไม่ พื้นฐานเหลียงไฉมิได้เลวร้าย เพียงแค่เขาถูกตามใจจนเคยตัวมานาน ลุ่มหลงไม่ได้สติไปกับบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ข้าเองก็มิได้ทำสิ่งใด เขาคงจะเห็นพวกเราพี่น้องรักใคร่สมัครสมานสามัคคี หัวใจถูกกระตุ้นเร้า จึงปรับเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อคุณหนูซุน”
ได้ฟังนางถ่อมตนเช่นนี้ ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ พูดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องขอบใจการสอนสั่งที่เจ้ามีต่อเหลียงไฉ”
ซุนเชี่ยนวิ่งไล่กวดซุนเหลียงไฉหนึ่งรอบ และไม่รู้ว่าซุนเหลียงไฉตั้งใจหรือเป็นความบังเอิญ วิ่งไปข้างกายเมิ่งเสียน แล้วมุดตัวหลบด้านหลังเมิ่งเสียน ซุนเชี่ยนไม่กล้าเดินหน้าเข้าไปจับเขา พูดด้วยน้ำโห “เจ้าตัวดี ออกมาเดี๋ยวนี้ ไปหลบหลังคนอื่นใช้ได้ที่ไหนกัน?”
ซุนเหลียงไฉยื่นหัวออกมาจากหลังเมิ่งเสียน แลบลิ้นปลิ้นตาใส่นางอย่างคึกคะนอง พูดจายั่วยุ “ข้าไม่ออกไปเสียอย่าง ท่านจะทำอะไรข้าได้?”
ซุนเชี่ยนโมโหเดือดดาล เข้าไปคว้าเมิ่งเสียนดึงไปอีกด้าน “ท่านหลีกไป วันนี้ข้าจักต้องตีเจ้าตัวดีนี่ให้รู้สำนึก”
เมิ่งเสียนก็ไม่หลบเลี่ยง ถูกนางลากไปอีกด้าน
ซุนเหลียงไฉร้องอุทาน หันหลังวิ่งแผ่นแนบ ซุนเชี่ยนวิ่งไล่กวดตามหลังไป
เมิ่งเสียนยืนอยู่อีกด้าน ลูบแขนตัวเองที่ถูกนางดึงรั้ง ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจยิ่งทวีความเข้มข้น
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนซ่านเหรินมองทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ