ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 179-1 จัดสรร
อันอี่หยวนและเซี่ยเจียงเฟิงก็ให้รู้สึกเสียใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ไม่มีเหล้าพวกท่านสามคนก็คลุ้มคลั่งพอแล้ว หากว่ามีเหล้า พวกเราคงไม่ได้กินแม้สักคำเดียว”
ทั้งสามคนกินมาได้สักพัก เริ่มรู้สึกหนังท้องตึงนิดๆ แล้ว เห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคนยังไม่ได้กิน เกิดอาการรู้สึกผิดในใจ
จูหลานวางตะเกียบลง ขยับโถไปทางทั้งสามคน พูดว่า “พวกเจ้าสามคนก็กินเสียหน่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหยอกเย้า “ในที่สุดคุณชายจูก็คิดถึงพวกเราแล้ว”
จูหลานหน้าแดงเรื่อ “ก็ข้าได้รับบาดเจ็บมาช่วงระยะหนึ่ง วันๆ กินแต่น้ำซุปจืดๆ อยากอาหารจะแย่แล้ว อีกอย่างนี่ก็จะโทษข้าไม่ได้ ใครอยากให้เจ้าทำอาหารได้อร่อยเช่นนี้เองทำไม”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งขมวดคิ้วมุ่น “นี่ถือเป็นความผิดข้าหรือ? ได้ ต่อไปข้าจะไม่ทำของอร่อยเช่นนี้ให้พวกท่านกินแล้ว”
อันอี่หยวนคิดว่าเป็นจริง ร้อนรนพูด “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าสนใจเขา เขาพักรักษาตัวมาช่วงเวลาหนึ่ง สมองมีแต่สนิมกัดกร่อนไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่”
จูหลานไม่พอใจแล้ว “สมองข้ามีสนิมที่ไหนกัน? ที่ข้าพูดคือความจริง หรือเจ้าก็มิได้คิดเช่นนี้?”
อันอี่หยวนปิดปากเขาแน่น “เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อย ภายหน้าเจ้าไม่อยากกินอาหารที่แม่นางเมิ่งทำอีกแล้วจริงๆ หรือไร?”
จูหลานถึงพลันได้สติ รีบหุบปากตัวเองสนิท
ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “ข้าเห็นพวกเขามีปากมีเสียงกันทีไรก็ให้ปวดหัวทุกที มีเพียงเจ้าที่พอจะจัดการพวกเขาได้”
พ่อครัวร่วมนั่งโต๊ะนี้ด้วย เดิมคิดว่าคนน้อย ตัวเองจะได้กินมากหน่อย ไม่คิดว่าพวกจูหลานสามคนจะกินเก่งเช่นนี้ รู้สึกเสียใจเล็กๆ ยังดีว่าตนเองรู้วิธีการทำแล้ว พอกลับไป อยากกินเท่าไหร่ก็ทำได้เท่านั้น ก็ให้อิ่มเอมสุขใจ
อาจารย์โจวในฐานะตี้ซือ กินอาหารโอชะไม่ว่าจะบนบกหรือในทะเลมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยได้กินอาหารรสเลิศเช่นนี้มาก่อน เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ต่อเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง ลอบคิดในใจ เด็กสาวเช่นนี้มาเกิดอยู่ในชนบทน่าเสียดายนัก หากอยู่ในเมืองหลวง จักต้องกลายเป็นสาวสังคมชั้นสูงที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วแคว้น
ซุนซ่านเหรินก็ให้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ลอบคิดว่า เด็กสาวที่ชาญฉลาดสามารถเช่นนี้ ไม่รู้ว่าภายหน้าใครจะมีโชคลาภได้แต่งเข้าบ้าน
เป็นมื้ออาหารที่ทุกคนกินอย่างอิ่มหนำ แม้แต่ท่านอาจารย์ก็เกือบจะกินจนจุกแน่น
หลังอาหารท่านอาจารย์และทุกคนพูดคุยเสวนากันครู่หนึ่ง จากนั้นท่านอาจารย์จึงพาครอบครัวเดินกลับบ้าน
พวกจูหลานไม่รีบร้อนกลับไป แต่ให้เมิ่งเสียนพาไปเดินวนรอบแปลงมันฝรั่ง อันอี่หยวนเห็นใบมันฝรั่งสีเชียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา คิดว่าปีนี้จะมีเงินกลิ้งกลุกๆ เข้ามาในกระเป๋าตัวเอง กระโดดโลดเต้นดีใจอยู่บนแปลงดิน
กลุ่มคนที่รดน้ำในแปลงดินต่างหันมามองเขาอย่างแปลกประหลาด
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนอยู่พูดคุยกับซุนฮุ่ย ทั้งสามคนนิสัยเข้ากันได้ดี เสวนากันอย่างถูกคอ ซุนฮุ่ยเชื้อเชิญซุนเชี่ยนเมื่อมีเวลาว่างให้เข้ามาเที่ยวในอำเภอพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว ถึงตอนนั้นตนเองจะเป็นเจ้าบ้าน ดูแลต้อนรับพวกนางอย่างดี
ซุนเชี่ยนรับปากอย่างชื่นบาน
ซุนฮุ่ยยิ่งทวีความชื่นชอบนาง
พวกจูหลานกลับมาจากแปลงดิน ก็กล่าวลากลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งซุนฮุ่ยให้พักอยู่บ้านตนเองอีกสองสามวัน ซุนฮุ่ยส่ายหน้า “หลายวันนี้ท่านป้าเปาสุขภาพไม่สู้ดี ข้าต้องกลับไปดูแลนาง”
ได้ยินว่ามารดาของเปาอีฝานไม่สบาย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เป็นหนักหรือไม่?”
ซุนฮุ่ยหัวเราะพูด “เป็นหวัดธรรมดาเท่านั้น หมอบอกว่ากินยาไม่กี่ขนานก็หาย น้องโยวเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง”
ทั้งสองคุยกันอีกครู่หนึ่ง ซุนฮุ่ยถึงขึ้นนั่งบนรถม้าบอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอาลัยอาวรณ์
ซุนซ่านเหรินกลับไม่มีแววว่าจะจากไป นั่งบนม้านั่งหัวเราะเหอะๆ มองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจ “ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ เขาน่าจะสังเกตเห็นอะไรแล้ว ถึงไม่ยอมไปคอยรอจะถามตนเอง”
เป็นดังคาด เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะนั่งลง ซุนซ่านเหรินก็ยิ้มตาหยีถามขึ้น “แม่นางเมิ่ง สถานะของท่านอาจารย์โจวผู้นี้คงไม่ธรรมดาสินะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ซุนซ่านเหรินพูดต่อ “คงจะมาจากเมืองหลวงกระมั้ง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงเล็กน้อย ถามขึ้น “โลกนี้มีคนมีความรู้มากมาย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขามาจากเมืองหลวง?”
ซุนซ่านเหรินลูบแผงเคราหัวเราะเหอะๆ พูดว่า “ข้าทำการค้ามาหลายปี เข้าไปเมืองหลวงนับครั้งไม่ถ้วน ท่วงท่าการพูดจาการแต่งกายของพวกเขา เห็นแวบแรกก็รู้ว่าเป็นคนเมืองหลวง อีกทั้ง อาจารย์โจวผู้นี้เกรงจะมิได้เป็นเพียงอาจารย์ที่มีความรู้มากธรรมดาๆ คนหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปฏิเสธ “พวกเขามีประวัติที่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ข้าไม่อาจบอกท่านตามจริงได้ ขอท่านโปรดอภัย”
ซุนซ่านเหรินได้รับการยืนยันการคาดเดาของตนเอง ก็ไม่ซักไซ้ต่ออีก เพียงแต่หัวเราะเหอะๆ พูดว่า “บัดนี้ข้ายิ่งทวีความเลื่อมใสในตัวแม่นาง อายุเพียงเท่านี้กลับสามารถเชิญบุคคลที่มีสถานะเช่นนี้มาเป็นอาจารย์สอนน้องชายตนเองได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าไฉนเลยจะมีความสามารถมากเช่นนั้น เพราะข้ามีโอกาสบังเอิญไปช่วยเพื่อนจากเมืองหลวงคนหนึ่งไว้ เขาที่ช่วยเชิญอาจารย์ท่านนี้มาให้”
ซุนซ่านเหรินกล่าวว่า “ดูท่าคนที่เจ้าช่วยก็คงมีประวัติไม่ธรรมดา แม่นางเมิ่งมีโชควาสนาเช่นนี้ อนาคตไม่แน่ว่าจักต้องสนั่นลื่อเลือง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเล ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนาธรรมดา ความฝันอันสูงสุดก็คือได้อยู่กับครอบครัวอย่างสงบสุขพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีความปรารถนาอื่นแล้ว”
ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้นอกจากข้าจะเรียกท่านมากินข้าวแล้ว ยังมีเรื่องหนึ่งต้องการซักถามท่าน”
“เชิญแม่นางเมิ่งพูด”
“คืออย่างนี้ อาจารย์ที่ข้าเชิญมาสอนอี้เซวียนรับปากจะสอนวิชาให้เขาเพียงคนเดียว เมื่อวานข้าถามเหลียงไฉแล้ว เขาบอกว่าหากอี้เซวียนไม่ไปโรงเรียนเขาก็ไม่ไป ข้าอยากถามความเห็นของท่าน หากท่านต้องการให้เขาไป ต่อไปข้าจะให้คนส่งเขาไปโรงเรียนตามเวลาทุกวัน”
ซุนซ่านเหรินยังคงหัวเราะเหอะๆ พูดว่า “เมื่อข้ามอบเหลียงไฉให้เจ้าสอนสั่ง เรื่องของเขาข้าจะไม่ขอยุ่ง แม่นางเมิ่งจัดการได้ตามสบาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เมื่อท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว”
ซุนซ่านเหรินมองดูซุนเชี่ยนที่กำลังเล่นหัวร่อต่อกระซิกกับซุนเหลียงไฉ กดเสียงต่ำถามขึ้น “ไม่ทราบว่าเรื่องแต่งงานของเชี่ยนเอ๋อร์และพี่ชายเจ้า…?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านวางใจเถอะ ข้าปักใจให้แม่นางซุนเป็นพี่สะใภ้ข้าแล้ว”
ซุนซ่านเหรินหัวเราะก้อง
การมาครั้งนี้ซุนซ่านเหรินเก็บเกี่ยวอะไรกลับไปได้มากมาย อิ่มอกอิ่มใจ บอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปอย่างมีความสุข
พ่อครัวก็ตามติดรถกลับไปด้วย
วันรุ่งขึ้นพอกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “วันนี้ข้าอยากไปดูว่าฉั่งฉิกบนภูเขาเติบโตเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เจ้าไปกับข้าด้วยเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อก่อนเรื่องพวกนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ให้เขาเข้าร่วม ทว่าก็มิได้ถามอะไร เพียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ซุนเหลียงไฉพูดหาเรื่องสนุกไปอย่างนั้น “ข้าไปด้วย!”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “เจ้าอยากเห็นว่ามันฝรั่งงอกออกมาได้อย่างไรมาตลอดมิใช่หรือ วันนี้จะให้เจ้าไปดูกับพี่ใหญ่”
ซุนเหลียงไฉเพียงแค่อยากหาเรื่องสนุก ได้ฟังก็ไม่ยืนหยัดตามไปด้วยอีก
หลังจากบอกกล่าวเมิ่งชื่อ ก็สั่งเหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้ามายังข้างภูเขาร้างหมู่บ้านหลี่ ทั้งสองคนลงจากรถม้า มุ่งหน้าเดินขึ้นไปบนเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มาเป็นเวลานานแล้ว เมล็ดพันธุ์ฉั่งฉิกงอกออกมาแล้ว จางจู้กำลังนำพากลุ่มคนรดน้ำ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดขึ้นอย่างดีใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ร้องเรียก “ท่านลุงใหญ่”
เมิ่งอี้เซวียนก็ร้องเรียกตามไปด้วย
จางจู้ขานรับอย่างยินดี หันมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ เดิมพวกเราจะเข้าไปแสดงความยินดี แต่พอคิดว่าที่บ้านจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ถ้าพวกเราเข้าไปพวกเจ้าจะต้องดูแลพวกเราอีก จึงไม่ได้เข้าไป แต่ว่าท่านยาย ท่านป้าใหญ่และท่านป้ารองของเจ้าพวกเขาก็เตรียมของขวัญให้อี้เซวียนเอาไว้แล้ว อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็กลับบ้านไปเอานะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้พวกเรายังมีธุระ ไม่เข้าไปแล้ว ท่านบอกท่านยาย อีกไม่กี่วันพอพวกเรามีเวลา จะไปหานางพร้อมกัน”
จางจู้พูดกับเมิ่งอี้เซวียน “ลุงใหญ่เป็นคนบ้านป่า ไม่รู้ว่าสมควรต้องพูดอย่างไร แต่ลุงใหญ่ดีใจแทนเจ้าจากใจจริง หวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจร่ำเรียนให้มากยิ่งขึ้น จะได้สอบขุนนางได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ใครบอกว่าท่านเป็นคนบ้านป่ากัน คำพูดของท่านพูดได้ดีกว่าคนมีความรู้เสียอีกเล่า”
จางจู้หน้าแดง “เจ้าอย่าหยอกเย้าลุงใหญ่เลย”
ผู้ใหญ่บ้านชราเห็นพวกเขา ก็เข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น เห็นเด็กชายข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว ถามขึ้นอย่างยินดี “หรือนี่ก็คือน้องชายเจ้าที่สอบถงเซิงได้คนนั้น?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้ใหญ่บ้านชรามองประเมินเมิ่งอี้เซวียนอย่างยินดีปรีดา พูดว่า “โดดเด่นเหนือคนทั่วไป ท่วงท่าไม่ธรรมดาโดยแท้ ภายหน้าจะต้องประสบความสำเร็จเป็นใหญ่เป็นโต”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอย่างยินดี