ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 179-2 จัดสรร
เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนเดินวนรอบภูเขาทุกลูก ให้เขาดูว่าตนเองปลูกฉั่งฉิกไว้มากเท่าใด
แม้เมิ่งอี้เซวียนจะกังขาในพฤติกรรมของนาง แต่ก็มิได้ถามอะไร เพียงเดินเคียงข้างนางไปอย่างเชื่อฟัง
มาถึงภูเขาลูกสุดท้าย เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนมายืนบนยอดเขา มองดูภูเขาลูกอื่นๆ ถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฉั่งฉิกเหล่านี้จะนำความร่ำรวยมาให้ครอบครัวเรามากเพียงใด?”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดต่อ เพียงแค่ใช้สายตาที่ลุ่มลึก กระจ่างแจ้งมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างลึกซึ้ง กล่าวว่า “สามปี ขอเพียงสามปี…”
ในที่สุดเมิ่งอี้เซวียนก็ทนไม่ไหวถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ เพียงพูดต่อว่า “อี้เซวียน เจ้าจงจำไว้ หลังจากนี้สามปี ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร ครอบครัวเราจะเป็นเบื้องหลังที่แข็งแกร่งให้เจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนไม่เข้าใจ
“ไปเถอะ!” เมิ่งเชี่ยนโยวหมุนตัวแล้วเดินกลับไป
เมิ่งอี้เซวียนตามหลังไปเงียบๆ กลับมีความคิดเป็นร้อยพันขึ้นในใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนไม่ได้กลับไปบอกลาจางจู้อีก มุ่งหน้ากลับมาขึ้นรถม้า แล้วสั่งให้ไปบ้านท่านอาจารย์
เหวินเปียวขานรับคำ บังคับรถม้ามาถึงเรือนหลังใหม่อย่างมั่นคง
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินมาถึงหน้าประตู พูดกับบ่าวเฝ้าประตู “รบกวนเจ้าช่วยไปรายงาน บอกว่าพวกเรามีเรื่องอยากหารือกับท่านอาจารย์”
บ่าวรับใช้วิ่งแนบไปรายงาน ไม่นานก็วิ่งกลับออกมา พูดกับทั้งสองคนอย่างอ่อนน้อม “นายท่านเชิญท่านทั้งสองคนเข้าไปขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบใจ เดินตามบ่าวรับใช้มาถึงเรือนท่านอาจารย์พร้อมเมิ่งอี้เซวียน
บ่าวรับใช้ยังไม่ทันได้รายงาน เสียงท่านอาจารย์ก็ดังลอยออกมา “เข้ามาเถอะ”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้อง แสดงความเคารพท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์เชิญเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอย่างมีมารยาท “แม่นางเมิ่งนั่งเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ เมิ่งอี้เซวียนยืนอยู่ข้างๆ
ไม่รอให้ท่านอาจารย์เอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็คลี่ยิ้มพูดขึ้น “สองวันมานี้ข้าคิดทบทวน จัดสรรงานให้กับคนในครอบครัวท่าน ท่านลองฟังดูก่อน หากท่านรู้สึกว่าไม่เหมาะสม พวกเราค่อยหารือกันใหม่”
ท่านอาจารย์พยักหน้า “พูดเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าอยากเปิดสำนักการศึกษา ให้เด็กที่ถึงวัยเข้ารับการศึกษาในครอบครัวพวกเราได้เข้ามาเรียนหนังสือ คิดอยากเชิญบุตรชายท่านเป็นอาจารย์สอน ไม่ทราบว่าท่านเห็นด้วยหรือไม่”
ท่านอาจารย์ครุ่นคิด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เดิมทีท่านปู่ข้าก็ทำเรื่องนี้ได้ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นซิ่วไฉที่มีชื่อเสียงในรอบหลายรัศมีนี้ ทว่าอายุมากแล้ว ข้าไม่อยากให้เขาต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนั้นอีกแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะให้บุตรชายของท่านมาเป็นอาจารย์สอน หากท่านรู้สึกว่าเป็นการปิดกั้นความสามารถของบุตรชายท่าน เรื่องนี้ให้ถือว่าข้าไม่เคยพูด”
ท่านอาจารย์โบกมือ “เดิมทีหลังจากข้ากลับไปบ้านเกิดแล้ว ก็จะให้พวกเขาไปเป็นอาจารย์ คำแนะนำของแม่นางประจวบเหมาะตรงกับความต้องการของข้าพอดี”
“ทว่า พวกเราจะเชิญอาจารย์ได้เพียงท่านเดียว สำหรับคุณชายอีกท่าน ข้าคิดว่าน่าจะพอมาเรียนทำการค้ากับพวกเราได้?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
ท่านอาจารย์ตกตะลึง ขมวดคิ้วมุ่น
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าทราบว่าผู้มีการศึกษาแต่ไหนแต่ไรจะอยู่เหนือผู้อื่น ไม่ข้องเกี่ยวคลุกคลีกับใคร แต่ว่านอกจากทำการค้าแล้ว ที่เหลือก็คือต้องไปทำไร่ไถนา บุตรชายท่านตั้งแต่เล็กเติบโตในเมืองหลวง เกรงจะทนความลำบากนี้ไม่ไหว”
ท่านอาจารย์ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้ รอฟังคำตอบจากเขา
ผ่านไปพักใหญ่ท่านอาจารย์ถึงเอ่ยปากพูด “พวกเราร่ำเรียนตำรับตำรามาแต่เยาว์ ไม่เคยข้องเกี่ยวกับการค้าใดๆ มาก่อน เกรงจะไม่เห็นด้วย ทว่าประเดี๋ยวข้าจะเรียกพวกเขามาถาม พรุ่งนี้ข้าค่อยตอบความเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “สำหรับสมาชิกในครอบครัวพวกท่าน คิดว่าด้านงานฝีมือน่าจะไม่เลว ครอบครัวข้ามีการค้าเย็บกระเป๋านักเรียน ให้พวกนางไปเย็บกระเป๋านักเรียนได้ ค่าแรงอาจจะน้อยไปหน่อย แต่นี่เป็นชนบท ค่าแรงในแต่ละเดือนเพียงพอเอาไว้ใช้สอยในครอบครัว”
ท่านอาจารย์พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ เรื่องนี้ข้าออกปากรับแทนพวกนาง พรุ่งนี้จะให้พวกนางเข้าไปดู”
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ก็คือเงินเดือนของท่าน ท่านแม่ทัพฉู่มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในจดหมาย ข้าจึงอยากถามท่าน ท่านคิดว่าเงินเท่าใดถึงจะเหมาะสม?”
ท่านอาจารย์โบกมือ “ข้าติดค้างหนี้บุญคุณท่านแม่ทัพฉู่ ครั้งนี้มาเพื่อตอบแทนบุญคุณเขา เงินเดือนก็ไม่ต้องแล้ว มีให้พวกเราทั้งครอบครัวกินดื่มก็พอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “ท่านติดค้างหนี้บุญคุณท่านแม่ทัพฉู่ ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ท่านยอมรับปากมาสอนอี้เซวียน พวกเราทั้งครอบครัวก็ซาบซึ้งน้ำใจมากแล้ว เงินเดือนนี้อย่างไรก็ต้องให้”
ท่านอาจารย์เห็นนางยืนหยัด จึงพูดให้พ้นๆ ไป “เมื่อแม่นางยืนหยัด ข้าก็จะไม่ปฏิเสธอีก ให้เดือนละสิบตำลึงก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงัน
ท่านอาจารย์ตกใจในปฏิกิริยาของนาง ถามขึ้น “ข้าเรียกร้องสูงเกินไป?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกลนพูดขึ้น “ท่านเรียกน้อยไปต่างหาก ด้วยสถานะและความรู้ของท่าน หนึ่งพันตำลึงยังถือว่าโอบอ้อมต่อพวกเรา”
ท่านอาจารย์หัวเราะลั่น “แม่นางพูดขบขันแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงอาจารย์ธรรมดา ย่อมต้องทำตัวให้เข้าตามถิ่นธรรมเนียม หากเรียกเงินเดือนสูงเช่นนั้น ภายหน้าออกไปข้างนอกเกรงจะถูกคนในหมู่บ้านไล่ด่าลับหลังไม่เหลือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะ พูดว่า “น้ำใจของท่านข้าจดจำไว้แล้ว ภายหน้าหากต้องการสิ่งใด ขอให้ท่านรีบเอ่ยปาก ข้าจะต้องทำให้ท่านอย่างแน่นอน”
ท่านอาจารย์ลูบแผงเคราพยักหน้า “เมื่อแม่นางพูดเช่นนี้ ข้าก็จะทุ่มเทความสามารถสอนสั่งน้องชายเจ้าให้ดีที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวผุดลุกขึ้นยืน แสดงความขอบคุณท่านอาจารย์อย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณท่านอาจารย์”
ท่านอาจารย์โบกมือ “แม่นางหาได้ต้องเกรงใจเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนตัวตรง ทั้งไม่ได้นั่งลงไป ยืนแล้วพูดว่า “ยังมีอีกหนึ่งเรื่องสุดท้าย ที่ข้าอยากหารือกับท่าน”
ท่านอาจารย์พูด “เชิญแม่นางพูด”
“ก็คือปัญหาช่วงเวลาการเข้าเรียนของอี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านสามารถกำหนดเวลาเรียนในแต่ละวันได้ แต่ข้าอยากให้ทุกเจ็ดวันเขาจะมีวันพักผ่อนสองวัน”
โรงเรียนปกติจะมีวันหยุด วันพักย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทุกเจ็ดวันให้หยุดพักสองวัน ระเบียบเวลาเรียนเช่นนี้ท่านอาจารย์ก็เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก อดพูดขึ้นไม่ได้ “คล้ายว่าจะไม่เหมาะสม การที่ทุกเจ็ดวันให้หยุดพักสองวัน หนึ่งเดือนจะมีวันพักถึงเจ็ดแปดวัน เช่นนี้จะไม่เป็นผลดีต่อการเรียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้ามอบการค้ากระเป๋านักเรียนของครอบครัวให้เขาและลูกของเพื่อนอีกคน ข้าต้องการให้เขาทั้งเรียนและทำการค้าไปควบคู่กัน ภายหน้าแม้จะสอบขุนนางไม่ได้ เขาก็ยังจะมีความเชี่ยวชาญอีกด้านไว้ติดตัว ดังนั้นข้าจึงอยากให้ในทุกเจ็ดให้มีวันหยุดสองวัน เวลาสองวันนี้เพื่อฝึกฝนเขาทำการค้า สำหรับการเรียนของเขา ท่านพยายามจัดแจงให้อยู่ภายในเจ็ดวัน ข้ารับประกันว่าเขาจะต้องทำเสร็จสิ้นได้”
ท่านอาจารย์ครุ่นคิดใคร่ครวญ พยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ว่าตามที่แม่นางบอก แต่หากเขาเรียนไม่ได้ตามความต้องการของข้า ระเบียบที่ว่านี้จะต้องเป็นโมฆะ เปลี่ยนมาเป็นทุกครึ่งเดือนมีวันพักหนึ่งวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “หากเพราะการค้าถ่วงการเรียนของเขา ไม่ต้องให้ท่านพูด ข้าก็จะให้ระเบียบนี้เป็นโมฆะ”
ท่านอาจารย์พยักหน้า กำหนดเวลาการเรียนให้เมิ่งอี้เซวียน ทุกวันในตอนเช้าและตอนบ่ายจะมีการเรียนช่วงเวลาละสองชั่วยาม ส่วนเวลาที่เหลือให้ทำการบ้านที่ท่านอาจารย์มอบหมายให้เสร็จก็พอ
เมิ่งอี้เซวียนขานรับคำอย่างอ่อนน้อมแสดงว่าจดจำไว้แล้ว
เมื่อหารือเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนจึงกล่าวลากลับบ้าน
กลับมาถึงบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งอี้เซวียนไปเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้เข้าเรียนในวันพรุ่งนี้ ส่วนตนเองกลับเข้าไปในห้อง หยิบกระดาษพู่กันวาดแปลนบ้านสองสามใบ มองดูแปลนบ้านครุ่นคิดเป็นนาน ถึงทำการตัดสินใจขั้นสุดท้าย จากนั้นเปิดกล่องของตัวเองออก หยิบเงินออกมานับคำนวณ พบว่าเงินเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว ขมวดคิ้วถอนหายใจยาว หยิบป้ายหยกที่วางไว้ก้นกล่องมาโดยตลอดขึ้น เกิดความคิดขึ้นในใจ
ตอนกลางคืนทุกคนมาร่วมวงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ไม่มีอะไรทำ ข้าอยากขยายต่อเติมเรือนอาศัยของพวกเราออกไป”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อได้ยินนางอยู่ๆ ก็พูดว่าจะสร้างเรือนอาศัย ต่างก็ตะลึงค้าง
เมิ่งชื่อถามขึ้น “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงอยากสร้างเรือนอีกแล้วเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านแม่ ปีนี้พี่ใหญ่ก็อายุสิบหกปีแล้ว ไม่แน่ว่าวันไหนจะมีแม่นางมาหมายปอง ไม่นานก็จะได้แต่งงาน ตอนนี้พวกเราไม่มีเรือนเหลือพอ จะรอให้พี่ใหญ่แต่งงานแล้วพวกเราค่อยสร้างเรือนก็คงไม่ได้กระมัง เช่นนั้นก็ไม่ทันการแล้ว อีกอย่างพี่รองก็อายุไม่น้อยแล้ว ใกล้จะถึงวัยแต่งงานแล้วเช่นกัน ดังนั้นข้าคิดจะใช้โอกาสตอนนี้ สร้างเรือนขึ้นอีก เลี่ยงไม่ให้ท่านและท่านพ่อต้องร้อนใจภายหลัง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดขึ้น “เจ้าคิดเช่นนี้ก็ถูกต้อง แต่บ้านพวกเรายังมีเงินอีกหรือ? หลังจากปิดโรงงานไป พวกเราก็มีแต่จ่ายไม่มีเข้า คาดว่าเงินในบ้านจะใช้จ่ายไปประมาณหนึ่งแล้วกระมัง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านพ่อ ท่านดูแคลนบุตรสาวคนนี้เกินไปแล้ว ครอบครัวเราจะไม่มีเงินได้อย่างไร ในมือข้ายังมีอีกหลายหมื่นตำลึงเล่า”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อตกใจสะดุ้ง ถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงยังมีเงินมากเช่นนั้น?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ย่อมต้องหามาได้อยู่แล้ว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด “ไม่มีทาง ข้าคำนวณรายรับของครอบครัวเราหมดแล้ว ไม่มีทางจะเหลือเงินมากเช่นนั้นได้อีก”