ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 180-2 แผ่นหยกปรากฏ ตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปโดยรอบร้านแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นพนักงานคนหนึ่งหุนหันเดินออกมา เรียกชายชราที่โต๊ะแลกเงินเข้าไป รู้ว่าพวกเขากำลังตรวจสอบหลักฐาน ก็ไม่ได้เร่งเร้า กลับหลังจากจิบชาอย่างเรื่อยเฉื่อยแล้ว ก็นั่งรอบนเก้าอี้อย่างสบายอกสบายใจ
ผู้ชำนาญโจวเดินเข้าไปหลังร้าน หลงจู๊นำแผ่นหยกและกระดาษวางตรงหน้าเขา “เหล่าโจว เจ้ารีบดูเถิด!”
ผู้ชำนาญโจวตกตะลึง เปรียบเทียบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เงยหน้าร้องอุทานถาม “ไปได้มาจากที่ไหน?”
“คุณชายที่นั่งอยู่ด้านนอกท่านนั้น บอกจะมาแลกเงินห้าหมื่นตำลึง” หลงจู๊ตอบ
ผู้ชำนาญโจวขบคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้าจะออกไปด้านหน้าพินิจดูให้ละเอียดก่อน แล้ววาดรูปลักษณ์ของเขาส่งไปให้นายท่าน ท่านเตรียมตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงตามที่เขาต้องการ”
หลงจู๊พยักหน้า เก็บกระดาษใส่กลับไปในกล่อง ถือแผ่นหยก เข้าไปหยิบตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงในคลังเงิน เดินกลับเข้าไปในสำนักการเงิน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหลงจู๊กลับมา พูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “หลงจู๊ออกไปนานเช่นนี้ คงไม่เพราะสำนักการเงินไม่มีเงินมากขนาดนี้กระมัง หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่ขอทำท่านลำบากใจ คืนแผ่นหยกมาให้ข้า ข้าจะไปแลกเงินที่อื่น”
หลงจู๊พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณชายพูดหยอกเย้าแล้ว อย่าว่าแต่เงินเพียงห้าหมื่นตำลึง ต่อให้เป็นห้าแสนตำลึง สำนักการเงินของพวกเราก็มีให้เบิก ข้าเพียงต้องเข้าไปหยิบในคลังเงิน เชื่องช้าไปเสียหน่อย ทำให้ท่านรอนานแล้ว”
พูดจบนำแผ่นหยกและตั๋วเงินมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว “คุณชายดูว่าจำนวนตัวเลขถูกต้องหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บแผ่นหยกใส่ในอกเสื้ออย่างระวัง ถึงหยิบเงินมานับ ไม่ขาดไม่เกินได้ห้าหมื่นตำลึงพอดี จากนั้นหยิบออกมาหนึ่งใบ ยิ้มแล้วพูดกับหลงจู๊ “รบกวนท่านนำตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงใบนี้แตกมาเป็นตั๋วเงินย่อยให้ข้าด้วยเถอะ ข้าคงไม่อาจไปกินข้าวแล้วพกตั๋วเงินเป็นหมื่นตำลึงไปได้”
หลงจู๊ขานรับคำอย่างอ่อนน้อม เดินไปที่โต๊ะแลกเงิน
ผู้ชำนาญโจวยังวาดภาพไม่เสร็จ นึกว่าพอเมิ่งเชี่ยนโยวได้ตั๋วเงินไปแล้วก็จะไป ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ตอนนี้พอได้ยินนางบอกจะแตกเป็นตั๋วเงินย่อย จึงส่งสายตาให้หลงจู๊
หลงจู๊เข้าใจทันที หยิบตั๋วเงินย่อยทั้งหมดในโต๊ะแลกเงินออกมาอย่างเชื่องช้า แสร้งทำเป็นตั้งใจนับเงิน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้าเขา
ประมาณครึ่งก้านธูปได้ ผู้ชำนาญโจวถึงวาดเสร็จ ส่งสัญญาณมือให้หลงจู๊
หลงจู๊พยักหน้า หยิบตั๋วเงินย่อยปึกหนึ่งเดินออกมาจากโต๊ะแลกเงิน วางไว้เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างอ่อนน้อม “ท่านนับก่อนเถิด ดูว่าพอหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตั๋วเงินใส่อกเสื้อทันควัน “ไม่ต้องแล้ว เชื่อว่าหลงจู๊จะต้องนับไม่ผิด”
พูดจบลุกขึ้นเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งพวกเขาออกมาถึงนอกสำนักการเงินด้วยตัวเอง มองนางนั่งรถม้าจากไปไกล ถึงกวักมือเรียกพยักหน้าคนหนึ่ง พูดกระซิบกระซาบกับเขา
พนักงานพยักหน้า จูงม้าตัวหนึ่งออกมา ควบตามรถม้าไป
เหวินเปียวทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง หลังจากออกมาจากสำนักการเงินก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เหวินหู่คอยระมัดระวังความเคลื่อนไหวด้านหลัง กระทั่งใกล้จะออกจากประตูเมือง เหวินหู่ถึงพูดว่า “แม่นาง ด้านหลังมีคนตามพวกเรามาจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่ง “แล่นตรงไป หาที่ลับตาคนจัดการเขาให้สลบ”
ทั้งสองพยักหน้า
ออกจากประตูเมือง เหวินเปียวเพิ่มความเร็วรถม้า วิ่งมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกของเมือง
พนักงานที่ตามติดมาก็ควบม้าทะยาน ตามไปตลอดทาง
ออกมาประมาณหกถึงเจ็ดลี้ได้ ระหว่างทางไม่มีผู้คนสัญจรแล้ว เหวินเปียวและเหวินหู่หันหน้าสบตากัน แล้วพยักหน้าให้กันและกัน
เหวินเปียวหยุดรถม้ากะทันหัน
พนักงานที่สะกดรอยตามมาเห็นรถม้าหยุดกะทันหัน กระชากบังเ**ยนแน่นพลัน แต่ม้าควบมาเร็วเกินไป บวกกับที่เขาไม่ทันได้เตรียมตัว จึงไม่ได้หยุดทันที แต่วิ่งไปข้างหน้าอีกระยะหนึ่ง ห่างจากรถม้าของพวกเขาเพียงสิบกว่าเมตรถึงหยุดได้
รถม้าหยุดจอด ในห้องโดยสารกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
พนักงานให้คลางแคลงใจ พลิกตัวลงจากหลังม้า จูงม้าหมายจะเดินหน้าเข้าไปดูให้รู้ชัด
อยู่ๆ ม่านบังรถก็เปิดออก เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ในห้องโดยสาร ยิ้มตาหยีถาม “เจ้าตามพวกเรามาตั้งแต่ออกมาจากสำนักการเงินแล้ว ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?”
พนักงานหยุดชะงักฝีเท้าอย่างร้อนตัว มองซ้ายมองขวา อึกอักพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีกครั้ง “หรือเงินที่พวกเราแลกมามีปัญหา?”
พนักงานตอบตะกุกตะกัก “ไม่ ไม่มี”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ” “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงสะกดรอยตามพวกเรา?”
พนักงานพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มตาหยีพูด “เมื่อเจ้าไม่พูด พวกเรากลับไปถามหลงจู๊ของพวกเจ้าก็แล้วกัน” พูดจบ สั่งเหวินหู่ “จับเขามัดไว้ พวกเรากลับไปถามหลงจู๊ให้รู้ชัด”
พนักงานตกใจ ถอยหลังอย่างไม่รู้ตัวหลายก้าว แล้วพลิกตัวขึ้นบนม้า
เหวินหู่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ได้ฟังก็มาอยู่ตรงหน้าพนักงานฉับพลัน จับขาหลังที่เหยียบโกลนข้างหนึ่งของพนักงานดึงลากลงมา
พนักงานหัวหมุน ร่างไถลงมาอย่างอ่อนยวบ
เหวินหู่รับตัวเขาไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการ “ลากตัวเขาไปทิ้งไว้ข้างทางให้ไกลตาหน่อย ส่วนพวกเรากลับได้”
เหวินหู่พยักหน้า ลากตัวพนักงานไปวางให้ไกลจากถนนใหญ่ยี่สิบถึงสามสิบเมตร แล้วจูงม้าไปไว้ข้างเขา ถึงกลับขึ้นมาบนรถม้า
“หันหัวกลับ หาบริเวณที่มีน้ำระหว่างทาง ชำระล้างให้สะอาดค่อยกลับบ้าน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินเปียวขานรับคำ หันหัวม้ามุ่งหน้าเดินทางกลับเข้ามาในเมือง เลี้ยวกลับไปตามเส้นทางบ้านตัวเอง พอเจอลำธารข้างทาง หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวล้างจนสะอาดก่อน ตนเองและเหวินหู่ถึงผลัดกันมาล้างออกจนหมดจด
เมิ่งเชี่ยนโยวล้างหน้าล้างตาสะอาดแล้ว ก็โยนแป้งทาหน้าที่ซื้อมาลงไปในลำธารด้วย เข้าไปในห้องโดยสารเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเอง
เหวินเปียวและเหวินหู่ก็ล้างสะอาดแล้ว กลับมาใส่เสื้อผ้าชุดเดิม
ทั้งสามคนจัดการเรียบร้อยแล้ว ถึงกลับไปบ้านด้วยหัวใจอิ่มเอมอย่างประหลาด
เหวินหู่ลงมือไม่หนัก ประมาณสองเค่อได้ พนักงานก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้น ตกใจลุกพรวดขึ้นนั่ง มองไปโดยรอบ ไม่เหลือเงาของรถม้าแล้ว
มองข้างกายตัวเอง เห็นม้ายังอยู่ ถอนใจโล่งอก รีบลุกขึ้นยืน จูงม้า เดินกลับไปบนถนนใหญ่ พลิกตัวขึ้นหลังม้า กลับสำนักการเงินโดยไว
หลงจู๊กำลังเดินกระวนกระวายไปมาอยู่หน้าประตู เห็นพนักงานกลับมา ร้อนใจถามขึ้น “เป็นอย่างไร สืบได้หรือไม่?”
พนักงานลงจากหลังม้า ส่ายหน้า พูดอย่างระวัง “มิได้ ผู้น้อยถูกพวกเขาตีสลบ หลังจากฟื้นขึ้นมา รถม้าก็หายสาบสูญไร้ร่องรอยไปแล้ว”
หลงจู๊โมโหเตะเขาไปหนึ่งครั้ง “ไม่ได้เรื่อง”
พนักงานถูกเตะ ไม่กล้าขยับ และไม่กล้าส่งเสียงร้อง ยืนรับคำตำหนิของหลงจู๊อยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง
หลงจู๊โมโหกลับเข้าไปหลังร้าน ผู้ชำนาญโจวหยิบภาพวาดในมือเดินตามไป ถามเสียงเบา “เป็นอย่างไร?”
หลงจู๊ส่ายหน้า “ตามไม่ทัน”
ผู้ชำนาญโจวปลอบใจเขา “เห็นก็รู้ว่าคุณชายน้อยท่านนั้นไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดา ผู้ชายข้างกายเขาก็มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย พนักงานไม่มีวรยุทธ์ ตามไม่ทันก็เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดเดา ยังดีที่พวกเราวาดภาพไว้ จะให้คนนำส่งให้นายท่านเดี๋ยวนี้”
หลงจู๊ถอนหายใจ “คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว หวังว่านายท่านจะไม่โทษว่าพวกเราทำงานไม่ได้ความ”