ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 186-2 วิชาการวางแผน
คนทั้งหมดเข้ามานั่งในบ้านเป็นที่เรียบร้อย แม่สื่อหลิวดันเมิ่งเสียนไปตรงหน้าหญิงชราและซุนซ่านเหริน พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “นี่ก็คือบุตรเขยที่ข้ามาพูดทาบทามให้คุณหนูซุน ประพฤติตัวดี รูปลักษณ์ก็ดี อีกทั้งยังมีความสามารถด้านการค้า ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นแล้วพึงพอใจหรือไม่?”
หญิงชราเพิ่งเคยเห็นเมิ่งเสียนครั้งแรก เห็นเขาสง่างามมีราศี กิริยามารยาทเรียบร้อย ก็ให้ยินดีในใจ พยักหน้าพูดด้วยอารามดีใจ “พอใจๆ”
แม่สื่อหลิวหันไปถามซุนวั่งและภรรยาอีกครั้ง “ท่านทั้งสองพึงพอใจหรือไม่?”
ซุนวั่งมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง ลนลานพูด “พอใจๆ”
ภรรยาซุนวั่งก็พูดว่าพอใจ
แม่สื่อหลิวตบมือ “เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็พอใจ เช่นนั้นให้แม่นางซุนออกมาพบหน้าเสียหน่อยเถอะ”
หญิงชราสั่งการสาวใช้ “รีบไปเรียกคุณหนูซุนออกมา”
สาวใช้รับคำแล้วจากไป ไม่นาน ซุนเชี่ยนที่แต่งกายสะอาดหมดจดก็ตามสาวใช้เข้ามา เริ่มจากทำความเคารพพวกเมิ่งชื่อก่อน ถึงมายืนด้านหลังหญิงชราอย่างขวยเขิน
เมิ่งเสียนมองนางตาไม่กะพริบ
แม่สื่อหลิวมองดูทั้งหมดนี้ พูดหยอกเย้า “พวกท่านดูว่าที่บุตรเขยนี้ว่าพึงพอใจเพียงใด พอเห็นคุณหนูซุนก็ละสายตาไม่ได้อีกเลย”
เมิ่งเสียนเขินหน้าแดงเปล่ง
ซุนเชี่ยนก็เขินก้มหน้าก้มตา
เดิมทั้งสองฝ่ายก็พึงพอใจกันอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องต่อจากนั้นจึงราบรื่นมาก หลังจากที่ทุกคนกล่าวถ้อยคำพอเป็นพิธีแล้ว คนบ้านเมิ่งก็ลุกขึ้นกล่าวลา
ซุนซ่านเหรินและหญิงชราพาพวกเขาออกมาส่งนอกประตู เห็นรถม้าไปไกลแล้วถึงหันหลังกลับเข้าเรือน
หญิงชราเห็นบ้านเมิ่งประกาศศักดาในวันนี้ ก็พูดกับซุนซ่านเหรินอย่างปลื้มปริ่ม “บ้านเมิ่งดีต่อเชี่ยนเอ๋อร์เช่นนี้ ท่านและข้าถือว่าวางใจได้แล้ว”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า พูดว่า “บ้านเมิ่งรู้ว่าเชี่ยนเอ๋อร์ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ยังเข้ามาสู่ขอหมั้นหมายอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้ ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก”
พูดจบ พูดกับซุนวั่งเสียงเขียว “หากเจ้ายังกล้าก่อเรื่องวุ่นวาย กล้าไปอาละวาดบ้านเมิ่ง ไม่ต้องให้แม่นางเมิ่งลงมือ ข้าจะจับเจ้าแขวนใต้ต้นไม้ให้ทนหิวเสียสองวันเอง”
ซุนวั่งตกใจคอหัวหด ไม่กล้าพูดอะไร
หญิงชราก็ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ได้ดั่งใจ หันหลังกลับเข้าห้อง
หลังงานหมั้นของเมิ่งเสียน เมิ่งชื่อขจัดโรคใจไปได้หนึ่งเปราะ จิตใจกระชุ่มกระชวยเป็นอย่างมาก แม้แต่ตอนทำอาหารให้คนงานก็เอาแต่ยิ้มแย้ม
พริบตาเดียวก็ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่า เรือนของครอบครัวปลูกเกือบเสร็จแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อมองดูนอกจากตัวเรือนสี่ประสานหลักแล้ว ด้านข้างยังมีเรือนหลังเล็กๆ ขนาบข้างอีกหนึ่งแถบ ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกังขาว่ามีไว้ทำสิ่งใด
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบาย “ที่เห็นทั้งแถบนั้นเป็นเรือนย่อย ภายหน้าการค้าของครอบครัวเราใหญ่โตขึ้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องซื้อคน ตอนนี้ปลูกเตรียมไว้ก่อน พอมีคนมากขึ้นจะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มอีก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อต่างก็เป็นคนบ้านนอกซื่อๆ แม้ครอบครัวจะมีเงินแล้ว แต่พอได้ยินว่าจะซื้อคน ก็รีบออกปากคัดค้าน “ไม่ได้ พ่อแม่ยังไม่แก่ไม่ต้องการใครมาปรนนิบัติ ไม่ว่าอย่างไรบ้านเราก็ห้ามซื้อคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ต่อให้ไม่ซื้อคน ครอบครัวของพวกเหวินเปียวยังมีพวกอู๋ต้าก็ควรจะย้ายเข้ามาอยู่ จะให้ไปอยู่บ้านอาสี่และบ้านยายหลี่ตลอดก็คงไม่ได้”
พอคิดถึงพวกเหวินเปียวเหวินหู่ เมิ่งชื่อก็ไม่ได้คัดค้าน เพียงแค่บอกนางว่า “มีคนพวกนี้ก็พอแล้ว ต่อไปห้ามซื้อคนอีกเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาไม่ได้คัดค้านรุนแรง ก็แอบถอนใจโล่งอก พยักหน้ารับคำ “หากไม่มีสถานการณ์พิเศษ ข้าจะไม่ซื้อคนอีก”
ทางด้านโรงงานเพียงแค่สร้างเป็นโครงโรงอาคาร ดังนั้นงานจึงค่อนข้างเร็ว สร้างเสร็จแต่เนิ่นๆ แล้ว สำหรับเรือนส่วนที่เหลืออีกหลายหลังกลับล่าช้าลง
เมิ่งต้าจินไม่รู้จักภาพแปลน เพียงแค่คอยเฝ้าตรวจตราคนงานทำงานในแต่ละวัน กระทั่งสร้างมาได้ครึ่งทางถึงพบว่ามีเรือนหลังใหญ่ประกบหน้าหลังอีกหลายหลัง ให้รู้สึกกังขา เมิ่งเชี่ยนโยวจะปลูกเรือนมากเช่นนี้ไปทำอะไร แต่ก็ไม่ได้ถามมาก ยังคงตรวจตราคนงานทำงานอย่างขยันขันแข็ง
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่าเมิ่งเอ้ออิ๋นบอกเมิ่งต้าจินแล้วว่าเรือนหลังนี้ปลูกให้พวกเขา เมิ่งเอ้ออิ๋นก็นึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบอกแล้ว ดังนั้นทั้งสองคนต่างก็ไม่มีใครเอ่ยกับเมิ่งต้าจิน
หลังจากที่อาจารย์โจวเข้ามาอาศัยในเรือนหลังใหม่ เมิ่งเหรินก็เอาแต่หงุดหงิดงุ่นง่าน เมิ่งอี้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขา ซักถามเขาว่ามีเรื่องอะไรในใจหรือไม่
เมิ่งเหรินส่ายหน้า ไม่พูดอะไร
ใบมันฝรั่งในแปลงดินเลื้อยคลุมไปทั่วทั้งคันดินแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวแอบขุดขึ้นมาต้นหนึ่ง เห็นมันฝรั่งใหม่งอกออกมาแล้ว ก็ให้ดีใจยกใหญ่
ฉั่งฉิกบนภูเขาก็เจริญเติบโตดีเกือบทั้งหมด นอกจากจะรับสมัครคนมารดน้ำเพิ่ม เมิ่งเชี่ยนโยวยังจ่ายเงินค่าแรงให้คนหมู่บ้านหลี่ตรงตามเวลา เห็นคนงานใช้แรงงานไม่ต้องไปไกลบ้าน หนึ่งเดือนยังหาได้ถึงหนึ่งตำลึงห้าเฉียน คนในหมู่บ้านอิจฉาตาร้อนผ่าว ต่างทยอยกันมาออหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน ให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยพูดแทนพวกเขาด้วย
คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่รอดพ้นจากปัญหาปากท้อง มีชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องอดยากอีก ผู้ใหญ่บ้านปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก ยิ้มแย้มบอกชาวบ้านว่า คนที่ถูกเลือกไปทำงานบนภูเขาล้วนเป็นคนขยันตั้งใจ ทนกับความลำบากได้ หากพวกเขาก็อยากทำงาน จักต้องปรับเปลี่ยนนิสัยเกียจคร้านของตัวเองก่อน
หลังจากผู้ใหญ่บ้านกล่าวเช่นนี้ ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในหมู่บ้านหลี่ ในหมู่บ้านไม่เหลือคนเกียจคร้านให้เห็นอีก ชาวบ้านนอกจากไปทำงานในแปลงดินของตัวเอง ก็เข้าไปรับจ้างทำงานในเมือง
ผู้ใหญ่บ้านมองทั้งหมดไว้ในสายตา ยิ่งให้ซาบซึ้งใจต่อเมิ่งเชี่ยนโยวอีกหลายเท่าตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีนี้เลย
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังวางแผนเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
นางต้องการร้องหาทักษะความสามารถมาให้เมิ่งอี้เซวียนไว้ติดตัวตั้งหลัก
หลังจากขบคิดอย่างถี่ถ้วน ฉวยโอกาสวันหยุดพักของเมิ่งอี้เซวียน มายังหน้าประตูบ้านท่านอาจารย์ พูดกับบ่าวเฝ้าประตูอย่างมีมารยาท “รบกวนท่านไปรายงานหน่อยเถิด บอกว่าข้ามีเรื่องอยากหารือกับท่านอาจารย์”
บ่าวรับใช้จำนางได้แล้ว รีบวิ่งเข้าไปรายงาน
ท่านอาจารย์กำลังฝึกเขียนอักษร ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงาน วางพู่กันในมือลง ล้างมือจนสะอาด ถึงพูดกับบ่าวรับใช้ว่า “เชิญแม่นางไปที่ห้องรับแขกเถอะ”
บ่าวรับใช้รับคำ ย้อนกลับออกมา พูดกับนาง “นายท่านของพวกเราเชิญแม่นางเข้าไปขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามบ่าวรับใช้มาถึงเรือนท่านอาจารย์ หลังจากร้องบอกอีกครั้ง ถึงเดินเข้าไปในห้องรับแขก
ท่านอาจารย์กล่าวทักทายนางอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ “แม่นางมาแล้ว รีบนั่งก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกสุด
ท่านอาจารย์เอ่ยปากถาม “ไม่ทราบว่าวันนี้แม่นางมาหาข้า ด้วยเรื่องอันใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ้อมค้อมอีก พูดว่า “ข้ามาหาท่านอาจารย์วันนี้เพราะมีเรื่องจะขอให้ช่วย”
ท่านอาจารย์มองประเมินนางเล็กน้อย “แม่นาง พูดมาตามตรงเถอะ ขอเพียงข้าทำได้ จักต้องรับปากเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนอาการ พูดอย่างขึงขัง “ข้าต้องการขอร้องท่านอาจารย์สอนวิชาการวางแผนให้อี้เซวียน”
สิ้นเสียง ความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
ครู่ใหญ่ ท่านอาจารย์ถึงเอ่ยปากถามขึ้น “แม่นาง เหตุใดถึงอยากให้อี้เซวียนเรียนวิชาการวางแผน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านเป็นตี้ซือมาหลายปีย่อมต้องรู้ว่า แผนอยู่ที่ใจ ผลอยู่ที่คน อี้เซวียนเป็นคนฉลาดเฉลียว เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก แต่อย่างไรเขาก็เติบโตในชนบท ยังคาดเดาอ่านใจคนไม่แตก เพื่อเลี่ยงไม่ให้ภายหน้าเขาต้องเสียเปรียบ ข้าอยากให้ท่านสอนวิชาการวางแผนให้เขา ภายหน้าเมื่อเขาต้องเข้าไปอยู่ในราชสำนักจะได้ไม่เสียเปรียบ”