ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 187-2 เสวนาอย่างลึกซึ้ง
มีหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนบางคนได้ยินเสียงวิพากษ์ของชาวบ้าน แม้จะหวังดีอยากช่วยพูดแทนครอบครัวเมิ่ง แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะปลูกเรือนเยอะเช่นนี้ไปทำสิ่งใด วันนี้ตอนเช้าเข้ามาในบ้านเมิ่งชื่อ หยิบงานที่ตัวเองต้องทำ เย็บกระเป๋านักเรียนไปพลาง หยั่งเชิงถามเมิ่งชื่อว่า “นายท่าน เรือนหลังใหญ่โอ่อ่าเป็นแถบที่ท่านปลูกชายขอบหมู่บ้านนั้นมีไว้ทำสิ่งใดกัน?”
เมิ่งชื่อไม่เข้าใจความหมายแฝงของนาง หัวเราะพูดว่า “เรือนที่พักก็ต้องเอาไว้ให้คนอาศัยอย่างไร หรือยังมีประโยชน์อย่างอื่นได้อีก?”
หญิงสาวโบกมือ รีบร้อนพูด “ไม่ใช่ๆๆ ข้าจะพูดว่าให้ใครอยู่”
เมิ่งชื่อเข้าใจแล้ว ยิ้มพูดว่า “เรือนพ่อแม่สามีข้าที่ปลูกเสร็จให้ท่านอาจารย์เข้าอยู่อาศัยไปแล้ว โยวเอ๋อร์จึงปลูกใหม่อีกแห่ง ให้พวกเขาเข้าอยู่ก่อน หลังจากท่านอาจารย์ไปแล้ว ค่อยให้พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนใหญ่”
หญิงสาวอ้าปากค้าง อึดใจใหญ่ถึงพูดว่า “เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน?”
เมิ่งชื่อตอบ “ก็เพราะมีเรื่องยุ่งทุกวันอย่างไรเล่า อีกอย่างคนในหมู่บ้านต่างก็รู้แล้ว มีอะไรต้องพูดอีก”
หญิงสาวร้อง “ปัดโธ่” “นายหญิง พวกเรายังไม่เคยได้ยินมาก่อน คนในหมู่บ้านจะรู้ได้อย่างไร ต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่าพวกท่านปลูกเรือนใหญ่นั้นไปทำอะไร ยังมีคนไม่ประสงค์ดีพูดว่าพวกท่านคิดถึงแต่ตัวเองไม่คิดถึงคนเฒ่าคนแก่ ตัวเองมีเรือนเยอะเช่นนี้ กลับไม่คิดให้คนเฒ่าคนแก่ไปอยู่สักแห่ง”
เมิ่งชื่อนิ่งอึ้ง ครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “ไม่จริงมั้ง ตอนแรกที่พวกเราปลูกเรือนก็พูดไปแล้ว เรือนทั้งแถบนั้นปลูกให้พวกเขา ทั้งพ่อแม่สามี พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ เหรินเอ๋อร์ อี้เอ๋อร์ต่างก็มี”
ทุกคนทำหน้าฉงน
“ไม่ได้ ข้าต้องไปถามดู” เมิ่งชื่อพูดจบ วางเข็มในมือแล้วสาวเท้าเดินออกไป
คนทั้งหมดที่เหลือหันหน้ามองกัน สะใภ้โจวทั้งสองคนหันสบตากัน ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งชื่อมาหาเมิ่งเอ้ออิ๋น เร่งเร้าถามเขา “พ่อเอ๋ย เจ้าได้บอกท่านพ่อท่านแม่หรือไม่ เรือนใหญ่ทั้งแถบนั้นปลูกไว้ให้พวกเขา”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบกลับ “โยวเอ๋อร์บอกกับพวกเขาแล้ว ข้าจึงไม่ได้พูด”
เมิ่งชื่อเดินร้อนรุ่มกระวนกระวายใจมาหาเมิ่งเชี่ยนโยว ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าได้บอกท่านปู่ท่านย่าหรือไม่ ว่าเรือนใหญ่ทั้งแถบนั้นปลูกไว้ให้พวกเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจที่อยู่ๆ เมิ่งชื่อก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ทว่าก็ตอบไปถามความจริง “ท่านพ่อบอกพวกเขาแล้ว ข้าจึงไม่ได้พูดอีก”
เมิ่งชื่อกระทืบเท้ารัว พูดกระเง้ากระงอด “ดูพวกเจ้าสองพ่อลูกเถิด เรื่องใหญ่เช่นนี้กลับไม่ปรึกษากันให้ดี ครานี้ดีแล้ว พวกเจ้าใครก็ไม่ได้พูด คนในหมู่บ้านต่างก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งคอยพูดทิ่มแทงสาปแช่งพวกเราข้างหลังหาว่าพวกเราไม่สนใจคนเฒ่าคนแก่”
เมิ่งเชี่ยนโยวงงงัน ถามอย่างไม่เชื่อ “ท่านพ่อก็มิได้เข้าไปพูด?”
เมิ่งชื่อร้อนรนพูด “เมื่อครู่แม่ถามเขาแล้ว เขานึกว่าเจ้าพูดแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปพูด”
เห็นท่าทีอยู่ไม่สุขของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโน้มน้าว “ท่านอย่าใจร้อนไป ตอนค่ำข้าจะไปที่บ้านใหญ่พร้อมท่านพ่อ บอกกับท่านปู่ท่านย่าเรื่องก็จบแล้ว”
“คงต้องทำเช่นนั้นแล้ว” เมิ่งชื่อพูดอย่างจนใจ
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งชื่อบอกเรื่องทั้งหมดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอีกครั้ง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ให้ตะลึงงัน ถามอย่างไม่เชื่อ “โยวเอ๋อร์ก็ไม่ได้พูด?”
เมิ่งชื่อเห็นเขาจนถึงตอนนี้ยังคงถามเช่นนี้ โมโหฟาดเขาดังเพี้ยะ “เจ้านี่นะ อายุเท่านี้แล้ว แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังทำไม่รอบคอบ ให้พวกเราต้องถูกคนในหมู่บ้านนินทาสาปส่งเสียเปล่า”
เรื่องนี้เพราะตัวเองทำพลาด ถูกเมิ่งชื่อติเตียน เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่ได้โต้แย้ง กินอาหารค่ำเสร็จ ก็เร่งรุดมาบ้านใหญ่พร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
บ้านใหญ่เองก็เพิ่งจะกินอาหารค่ำเสร็จ สะใภ้เมิ่งต้าจินกำลังล้างถ้วยชามอยู่ในลานบ้าน เห็นทั้งสองคนเข้ามา ส่งยิ้มทักทายพวกเขา
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้าน ไม่รอให้คนในบ้านพูด ก็เปล่งเสียงดังพูดก่อน “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรือนหลังใหญ่ชายขอบหมู่บ้านปลูกให้ท่านพี่ใหญ่และเหรินเอ๋อร์ อี้เอ๋อร์”
เมิ่งจงจวี่และภรรยาไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน ย่อมไม่ได้ยินเสียงลมเพลมพัดด้านนอก เมิ่งต้าจินและลูกๆ ทั้งสามคนกลับไม่เหมือนกัน พวกเขาได้ยินเสียงวิพากษ์ของชาวบ้านทุกวัน ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเช่นนี้ ดวงตาเมิ่งต้าจินสะท้อนแววยินดี “น้องรอง ที่เจ้าพูดเป็นความจริง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “ย่อมต้องเป็นความจริง ท่านอาจารย์อาศัยที่เรือนหลังใหม่ของพวกท่าน โยวเอ๋อร์จึงปรึกษาข้าปลูกเรือนใหม่จำนวนหนึ่งให้พวกท่านได้เข้าไปอาศัยก่อน หลังจากท่านอาจารย์ย้ายไปแล้ว พวกท่านค่อยย้ายเข้าไป ข้านึกว่าโยวเอ๋อร์บอกกับพวกท่านแล้ว จึงไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก แต่วันนี้หลังจากถามแล้วถึงได้รู้ว่านางยังมิได้พูดเลย ดังนั้นพวกเราถึงรีบร้อนเข้ามาบอกพวกท่านเรื่องนี้”
เมิ่งต้าจินขอบตารื้น “ขอบใจ ขอบใจน้องรอง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นลูบคลำศีรษะ พูดอย่างจริงใจ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดพี่ใหญ่ยังต้องพูดคำเกรงใจพวกนั้นอีก”
แม้เมิ่งจงจวี่จะปลาบปลื้มยินดี แต่พอคิดว่าหลังจากท่านอาจารย์ย้ายออกไป ตนเองจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่นั้น เรือนเหล่านี้ก็ต้องทิ้งร้าง เริ่มปวดใจที่ต้องใช้สอยเงินไปมากมาย จึงลูบเคราแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์มาอาศัยอยู่อย่างมากที่สุดก็สามปี เหตุใดถึงต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปปลูกเรือนอีก พวกเรารอหน่อยก็ได้แล้ว เรือนซ้ายขวาก็ยังพออาศัยได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งเข้ามาในบ้าน ได้ยินคำพูดเขาก็ยกยิ้มพูด “ท่านปู่ ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ท่านรอได้ พี่เมิ่งเหรินก็รอไม่ได้ พ้นปีใหม่เขาก็ต้องแต่งอิงจื่อเข้ามาแล้ว ไม่ปลูกเรือน คงไม่ได้จะให้พวกเรารออีกสามปีค่อยแต่อิงจื่อเข้ามาหรอกนะ”
เมิ่งจงจวี่มิได้คำนึงถึงปัญหาข้อนี้เลยจริงๆ ได้ฟังก็พูดว่า “ยังเป็นพวกเจ้าที่คิดได้อย่างรอบคอบ”
เมิ่งเหรินได้ยินว่าปลูกเรือนให้ตนเอง ก็ให้ปลาบปลื้มยินดี ใบหน้าขวยเขิน เดินไปตรงหน้าเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยว พูดด้วยใจจริง “ท่านอารอง น้องสาวโยวเอ๋อร์ พูดตามตรง หลายวันก่อนข้ายังนึกตำหนิพวกท่านอยู่ในใจ พูดกันชัดเจนแล้วว่าจะปลูกเรือนใหญ่ให้พวกเรา กลับยกให้ท่านอาจารย์เข้าไปอาศัย ข้าช่างเป็นคนที่ใช้จิตใจเยี่ยงคนถ้อยมาประเมินผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง ตอนนี้ข้าขอขมาพวกท่านด้วยใจจริง มิใช่เพราะพวกท่านปลูกเรือนให้ข้า แต่เพราะพวกท่านคิดแทนพวกเราทั้งครอบครัวด้วยใจจริง ท่านวางใจ บัดนี้ข้าได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่แล้ว ข้าในอดีตต่ำช้าอย่างไม่น่าให้อภัย นับแต่วันนี้ไป ข้าจะเป็นเหมือนพวกท่าน คิดแทนคนในครอบครัวให้มากๆ”
เมิ่งเหรินกล่าวจบ เมิ่งจงจวี่ก็ให้ปลาบปลื้มใจ ลูบเคราพูดชมไม่หยุด “ดีๆๆ รู้จักสำนึกผิด ปรับปรุงตัวเป็นคนดี”
เมิ่งต้าจินเห็นบุตรชายที่คิดได้อย่างถ่องแท้แล้ว ก็ร่ำไห้ด้วยความตื้นตันใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ตอนนี้พี่เมิ่งเหรินรู้ความผิดของตัวเองแล้ว นับว่ายังไม่สาย ทว่า ยังคงไปโรงเรียนในอำเภอไม่ได้”
ได้ฟังนางพูดเช่นนี้ กิริยาอาการของเมิ่งเหรินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ พูดอย่างนิ่งสงบ “ข้ารู้ ข้ายังต้องเคี่ยวกรำอยู่ที่บ้านอีกหลายปี เจ้าวางใจ ต่อไปไม่ว่าทำอะไร ข้าจะพยายามให้มากยิ่งขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพอใจ แล้วพูดว่า “ทว่า ความรู้ของโจวเสี้ยวและโจวหลี่ก็ไม่เลว ข้าคิดจะเชิญพวกเขาหนึ่งท่านในนั้นมาสอนสั่งพี่เมิ่งเหริน ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีหรือไม่?”
เมิ่งเหรินเงยหน้าด้วยอารามตกใจ มองนางอย่างไม่เชื่อ ตื่นตกใจถาม “เจ้าพูดว่า เจ้าพูดว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เดิมพี่เมิ่งเหรินก็มีความรู้ใช้ได้ดีอยู่แล้ว ขอเพียงขยันตั้งใจ ภายหน้าจะต้องได้สลักชื่อบนป้ายทอง สร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์สกุลเมิ่งของพวกเรา ที่ข้าไม่ให้ท่านกลับไปเรียนในอำเภออีก เพราะข้าไม่อยากให้ท่านกลับไปเป็นเช่นแต่ก่อน ไม่เอาการเอางาน ดีแต่เกาะคนอื่นกิน ดังนั้นแม้ว่าข้าจะเชิญหนึ่งท่านในนั้นมาเป็นอาจารย์ให้ท่าน ท่านก็จักต้องทำเหมือนอี้เซวียน เรียนห้าวัน พักสองวัน ช่วงเวลาสองวันนี้ให้นำมาทำงานและเรียนรู้การทำการค้า”
เมิ่งเหรินพยักหน้า กล่าวขอบคุณอย่างปิติ “ข้ารู้แล้ว ขอบใจน้องสาวโยวเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พี่เมิ่งเหรินไม่จำเป็นต้องขอบใจข้า คนในสกุลเมิ่งของเราไม่ว่าเป็นใคร ขอเพียงขยันขันแข็ง ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่ว่าจะทำสิ่งใดข้าก็จะออกแรงช่วยอย่างเต็มที่”
เมิ่งเหรินยิ่งทวีความเลื่อมใสต่อนาง สาบานว่าภายหน้าขอเพียงเป็นเรื่องที่นางสั่งการตนเองจะไม่ฝ่าฝืนเด็ดขาด
เมิ่งอี้ยืนอยู่ข้างๆ ริมฝีปากสั่นมาได้ครู่ใหญ่ ถึงลองหยั่งเชิงเอ่ยปากถามเสียงแผ่ว “น้องสาวโยวเอ๋อร์ ข้าอยากจะเรียนวรยุทธ์กับพวกเมิ่งเสียนด้วยได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มมองเขา “ย่อมได้อยู่แล้ว แต่ว่าท่านต้องจำไว้หนึ่งเรื่อง เมื่อท่านเริ่มต้นเรียนแล้ว ก็ห้ามถอนตัวกลางคัน ไม่เช่นนั้น ข้ามีวิธีจัดการคนเป็นร้อยพัน ไม่ว่าวิธีไหนก็ทำให้ท่านมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายได้”
เมิ่งอี้ไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย กลับยืดอกแอ่นรับ “วางใจเถอะ น้องสาวโยวเอ๋อร์ ข้าจักต้องยืนหยัดไปให้ได้”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ นับแต่พรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไป ท่านก็ไปเริ่มวิ่งกับพวกเขาก่อนเถอะ วันแรก ให้วิ่งรอบภูเขาห้ารอบก่อน”
เมิ่งอี้พยักหน้ารับปากทันควัน “พรุ่งนี้ข้าจะไปตรงตามเวลา”
ตั้งแต่เมิ่งเอ้ออิ๋นเข้ามาก็ไม่เห็นเมิ่งเสียวเถี่ย ถามด้วยความประหลาดใจ “น้องสี่เล่า?”
ทุกคนแสดงอาการสลดลง หญิงชราถอนหายใจยาว “กินข้าวเสร็จก็กลับเข้าห้องตัวเองไปอย่างเศร้าสร้อย ไม่แม้แต่จะพูดจากับพวกเรา”
บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึมครึม
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “พี่เมิ่งเหริน พี่เมิ่งอี้ พวกเราไปดูอาสี่กันเถอะ”