ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 188 ใช้กำลังถ่ายทอด
เมิ่งเหริน เมิ่งอี้พยักหน้า ทั้งสามเข้ามาในห้องเมิ่งเสียวเถี่ย
เมิ่งเสียวเถี่ยกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียง จ้องมองหลังคาอย่างเลื่อนลอย ได้ยินเสียงฝีเท้าพวกเขา ก็ไม่ได้ลุกขึ้น กระทั้งพวกเขาเดินพ้นประตูเข้ามา ถึงมองพวกเขาอย่างซึมกระทือแวบหนึ่ง
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้อง ก็ตรงไปนั่งบนเก้าอี้ จ้องมองเมิ่งเสียวเถี่ยเขม็ง
เมิ่งเสียวเถี่ยถูกนางมองจนขนลุกชัน ลุกขึ้นนั่ง ถามขึ้น “พวกเจ้ามีเรื่องอันใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพลันคลี่ยิ้ม พูดอย่างมีนัยแฝง “ท่านอาสี่ว่างมากนักหรือ?”
เมิ่งเสียวเถี่ยไม่รู้ว่านางมีเป้าประสงค์อะไร ไม่กล้าตอบอะไรส่งเดช
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่โมโห ยิ้มตาหยีแล้วถามอีกครั้ง “ท่านอาสี่ว่างมากนักหรือ?”
นับตั้งแต่ที่เมิ่งเสียวเถี่ยถูกนางตัดเส้นเอ็นขาพร้อมรอยยิ้มตาหยี ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ของนางก็ให้ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่กล้าเงียบงันอีก พูดอย่างระแวดระวัง “ข้าเป็นเพียงคนพิการ นอกจากนอนบนเตียงแล้ว อะไรก็ทำไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ดูคล้ายจะเห็นพ้องกับคำพูดของเขา “ก็ถูก ท่านอาสี่เป็นเช่นนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ”
เมิ่งเสียวเถี่ยเพิ่งจะถอนใจโล่งอก
เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เมื่อท่านทำอะไรไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็อย่าอยู่บ้านท่านปู่ท่านย่าอีกเลย เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเห็นท่านแล้วต้องกลัดกลุ้มใจ พอดีว่าพวกเราปลูกเรือนหลังใหม่ ท่านย้ายไปอยู่กับพวกเราเถอะ หนึ่งจะได้อยู่กับเมิ่งชิง สองพวกเราจะได้ดูแลท่านด้วย”
เมิ่งเสียวเถี่ยปฏิเสธทันควัน “ไม่ต้องๆ ข้าอยู่ที่นี่ดีอยู่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รับคำปฏิเสธ “ไม่ได้ อย่างไรข้าก็เป็นคนตัดเส้นเอ็นขาท่าน ข้าดูแลท่านก็สมควรแล้ว อีกอย่างชิงเอ๋อร์ก็คิดถึงท่าน พวกท่านพ่อลูกก็ไม่ควรแยกกันอยู่เช่นนี้” พูดจบไม่ให้โอกาสเมิ่งเสียวเถี่ยได้โต้แย้ง ลุกขึ้นเดินออกไป
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็เดินตามออกไปเงียบๆ
เมิ่งเสียวเถี่ยนั่งบนเตียง ไม่รู้ว่านางต้องการจะทำอะไรกันแน่ สับสนงุนงง
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้อง ยิ้มตาหยีพูดว่า “ท่านปู่ท่านย่า ข้าปรึกษากับท่านอาสี่แล้ว อีกไม่กี่วันเขาจะย้ายไปอยู่บ้านพวกเรา บ้านพวกเราคนมาก ดูแลเขาได้ดีกว่า”
เมิ่งจงจวี่คับข้องใจ “เถี่ยเอ๋อร์รับปากจะไปอาศัยอยู่กับพวกเจ้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดโป้ปดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “ท่านอาสี่ตบปากรับคำเอง ไม่เชื่อท่านถามพี่เมิ่งเหริน พี่เมิ่งอี้ดูเล่า”
เมิ่งจงจวี่มองทั้งสองคน
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้สบตากันแวบหนึ่ง แล้วหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยิ้มตาหยีมองมาที่พวกเขา ตัดสินใจ พยักหน้าหงึกๆ
เมิ่งจงจวี่เห็นทั้งสองคนก็พยักหน้า ก็เชื่อสนิทใจ พูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ไปบ้านพวกเจ้าจะได้อยู่กับชิงเอ๋อร์ด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพ้อง “ข้าเองก็อยากให้พวกเขาพ่อลูกได้อยู่ด้วยกัน ถึงขอให้ท่านอาสี่ไปอาศัยอยู่กับพวกเรา”
หญิงชราเมิ่งรู้สึกเป็นกังวล พูดว่า “อาสี่เจ้าขาแข้งไม่สะดวก ทำอะไรก็ไม่ได้ ไปอยู่กับพวกเจ้าจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้พวกเจ้าหรือ ให้เขาอยู่ที่นี่เถอะ ย่าดูแลเขาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านย่า ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอาสี่มีมือมีขา ทั้งไม่ต้องการให้ใครมาปรนนิบัติ ไม่เป็นการเพิ่มภาระอะไร ท่านและท่านปู่อายุมากแล้ว ดูแลเขามาได้ระยะหนึ่ง เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยแล้ว สู้ให้เขาไปอาศัยอยู่กับพวกเรา พวกท่านจะได้พักผ่อนบ้าง”
หญิงชราเมิ่งสัมผัสได้ว่าเรื่องนี้ผิดปกติ คิดจะพูดอะไรอีก เมิ่งจงจวี่ยับยั้งนาง “เชื่อโยวเอ๋อร์เถอะ บ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นมีคนเยอะ สามารถดูแลเขาได้”
เห็นเมิ่งจงจวี่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หญิงชราเมิ่งจึงไม่พูดอีก
หลังจากได้ขอสรุปเรื่องทุกอย่างแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นและและเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับบ้านอย่างเบิกบาน
เมิ่งชื่อยังรอคอยอย่างกระสับกระส่ายอยู่ในบ้าน เห็นพวกเขากลับมา ถามเมิ่งเอ้ออิ๋นด้วยความร้อนใจ “ท่านพ่อท่านแม่มิได้ตำหนิโทษเจ้าหรอกนะ?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นส่ายหน้า “ท่านพ่อยังบอกว่าพวกเราไม่ควรปลูกเรือนเพิ่มอีก ควรจะประหยัดเงินเอาไว้ กลับเป็นพี่ใหญ่ที่ตื้นตันใจจนน้ำตานองหน้า”
เมิ่งชื่อได้ฟังก็วางใจ “ท่านพ่อท่านแม่ไม่ตำหนิโทษก็ดีแล้ว ต่อไปอย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด วันนี้พอพวกเขาพูด ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีหน้าออกไปไหนแล้ว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นปลอบนาง “พวกเราไม่ได้ทำเรื่องให้ต้องละอายใจ เจ้าจะกลัวอะไร?”
“น้ำลายทำให้คนจมน้ำตายได้ ชิวหากดทับคนตายทั้งเป็นได้ ใครจะไปรู้ว่าลือกันไปต่างๆ นานาจะออกมาในรูปแบบใด” เมิ่งชื่อพูด
แม้เมิ่งเอ้ออิ๋นจะไม่เห็นด้วยกับวาจาของนาง แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสองสามีภรรยาเมิ่งพูดคุยกัน จึงชักเท้าเดินไปห้องฝั่งตะวันออก เห็นพวกเมิ่งเสียนกำลังฝึกทำโจทย์เลข จึงพูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “อี้เซวียน เจ้าตามข้าเข้ามาที่ห้องข้าเสียหน่อย”
เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้าด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ ลุกขึ้นเดินตามนางไปที่ห้องนางอย่างเบิกบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบสมุนไพรที่เตรียมไว้แล้วจำนวนหนึ่งออกมาวางตรงหน้าเขา “นับแต่วันนี้ไป ทุกวันตอนค่ำเจ้าต้องมาเรียนกับข้าวิชาสมุนไพรครึ่งชั่วยาม วิชาภาษาอังกฤษครึ่งชั่วยาม”
ใบหน้ากะจิริดของเมิ่งอี้เซวียนหักคว่ำลง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “ทำไม? ไม่ยินดี?”
เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบสมุนไพรชนิดหนึ่งออกมา วางไว้เบื้องหน้าเขา บอกเขาว่ามีชื่อว่าอะไร มีประสิทธิภาพการรักษาอะไร สามารถใช้ควบคู่กับสมุนไพรอะไรได้ และไม่สามารถผสมรวมกับสมุนไพรชนิดไหนบ้าง
เมิ่งอี้เซวียนมีพรสวรรค์ด้านการเรียน แค่เห็นผ่านตาก็ไม่ลืมแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่าเขาจะเรียนสมุนไพรได้อย่างง่ายดาย ไม่คิดว่าเขาจะเป็นพวกมืดบอดสมุนไพร เพิ่งเรียนชนิดหลังไปเสร็จ ก็ลืมชนิดก่อนหน้านั้นไปเสียสนิทใจ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม กลับจำไม่ได้สักชนิด เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหเดือดดาล เสียงระเบิดอารมณ์ดังออกมาจากห้องนางไม่หยุด
คนในบ้านไม่ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวระเบิดอารมณ์รุนแรงเช่นนี้มานานแล้ว ต่างแอบเดินมาข้างหน้าต่างฟังว่าเพราะอะไรกันแน่
เสียงโมโหโทโสของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมา “เจ้าตั้งใจหน่อยได้หรือไม่ ไม่ว่าจะมองยังไง สมุนไพรสองชนิดนี้ก็หน้าตาไม่เหมือนกัน!”
เสียงน้อยใจของเมิ่งอี้เซวียนดังลอยออกมา “แต่ที่ข้าเห็นพวกมันหน้าตาเหมือนกันนี่นา”
สิ้นเสียง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟาดลงไปบนศีรษะเขาเสียงดัง “เพี๊ยะ” “สมองเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยหรืออย่างไร? เจ้าดูให้ดีๆ พวกมันจะหน้าตาเหมือนกันได้อย่างไร”
เมิ่งอี้เซวียนกุมศีรษะนวดคลึงไปมาไม่กล้าพูดอีก เพียงใช้ดวงตากลมโตงดงามคู่นั้นมองนางอย่างน้อยใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวสบถออกมาหนึ่งคำ โมโหขว้างสมุนไพรลงบนโต๊ะ
เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง กำลังจะไปจากข้างหน้าต่าง เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังลอยมา “พี่ใหญ่ เมื่อพวกท่านว่างงานไม่มีอะไรทำ ก็เข้ามาเรียนด้วยกันเถอะ”
พอคิดถึงที่นางเพิ่งจะฟาดเมิ่งอี้เซวียนไปอย่างไม่รักษาน้ำใจแม้แต่น้อยเมื่อครู่ คนทั้งหมดต่างตกใจส่ายหน้า เมิ่งเสียนจึงพูดไปทันควัน “พวกเรามีธุระ พวกเราง่วงแล้ว พวกเราอยากกลับไปนอน” พูดจบ คนทั้งหมดก็แย่งกันวิ่งเฮโลกลับเข้าห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในห้องได้ยินเสียงฝีเท้าลุกลี้ลนลานของพวกเขา ทั้งแปลกใจทั้งขบขัน
เมิ่งอี้เซวียนเห็นใบหน้านางเริ่มปรากฎรอยยิ้ม จึงถามขึ้นอย่างระวัง “ข้าไม่เรียนพวกนี้ได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา “ไม่ได้ เจ้าจักต้องเรียน”
เมิ่งอี้เซวียนร้องโอดครวญ พูดอย่างน่าเวทนา “ข้าก็อยากนอนแล้ว”
น้ำเสียงข่มขู่ของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมา “ไม่ได้ จำสมุนไพรพวกนี้ไม่ได้ คืนวันนี้เจ้าห้ามนอน”
เมิ่งชื่อได้ยินคำพูดนาง คิดจะเข้ามาห้ามปราม เมิ่งเอ้ออิ๋นดึงรั้งนาง “โยวเอ๋อร์ทำเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลของนาง เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งเลย”
เมิ่งชื่อถอนใจ ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปห้ามปราม
วันรุ่งขึ้น เมิ่งอี้ก็เข้ามาจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเหวินหู่ว่าเมิ่งอี้มาวันแรก ให้วิ่งพร้อมกับพวกอู๋ต้าก็พอ วิ่งรอบภูเขาก่อนสักห้ารอบก็ได้แล้ว
เหวินหู่พยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวยังแจ้งเตือนเหวินหู่อีกว่า “ไม่ว่าใคร ขอเพียงมาเรียนวรยุทธ์ เจ้าต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันทุกคน หากฝึกซ้อมไม่ได้ตามที่เจ้าสั่งการ ให้เจ้าลงโทษพวกเขาอย่างเต็มที่”
เหวินหู่เรียกขานเมิ่งอี้เป็นนายน้อยมาตลอด เห็นเขาก็มาเรียนวรยุทธ์ด้วย ยังรู้สึกลังเลไม่แน่ใจ ว่าควรยุ่งหรือไม่ควรยุ่งดี ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ก็ให้เชื่อมั่น ทำการนำคนทั้งหมดนำหน้าวิ่งออกไป
ท่อนไม้ในบ้านถูกรื้อออกไปแล้ว ในตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวยังหาสถานที่ฝึกวรยุทธ์ใหม่ไม่ได้ จึงให้พวกเมิ่งเสียนฝึกวรยุทธ์ในลานบ้านใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ เห็นเหวินหู่นำคนทั้งหมดออกไปไกล เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้ามาในลานบ้าน เห็นเหวินเปียวกำลังชี้แนะวรยุทธ์ให้ทุกคน
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูครู่หนึ่ง กระทั่งถึงเวลาพักจึงพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “มา พวกเรามาประลองกันหน่อย”
เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ ต่างมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างเห็นใจ ไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินอะไรเมิ่งเชี่ยนโยวอีกแล้ว
เมิ่งอี้เซวียนเม้มปาก ไม่เคลื่อนไหว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดยั่วเย้า “ข้าเคยพูดว่า ขอเพียงเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะให้เจ้าเรียกข้ามาโยวเอ๋อร์ คำสัญญานี้ยังเป็นผล”
เมิ่งอี้เซวียนดวงตาเป็นประกาย แยกขาตั้งท่าออกอาวุธ บุกเข้าโจมตีเมิ่งเชี่ยนโยว
พูดได้ว่าเหวินเปียวฝึกสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เมื่อก่อนเมิ่งอี้เซวียนประลองกับนางได้ไม่เกินห้ากระบวนท่า วันนี้ถึงกับทำลายสถิติออกอาวุธกับนางได้ถึงสิบกระบวนท่า แม้ในท้ายที่สุดจะถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเหวี่ยงไปกับพื้นเต็มแรง พวกเมิ่งเสียนเห็นแล้วต่างก็ร้องซี้ดเจ็บปวดแทนเขา
เหวินเปียวอยู่ด้านข้างเห็นอย่างชัดเจน ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออมมือ ยังให้คลางแคลงใจ “แม่นางจะทะนุถนอมนายน้อยอี้เซวียนที่สุดมาตลอด วันนี้เกิดอะไรขึ้น ถึงลงมือโหดกับเขาเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพึงพอใจกับฝีมือที่รุดหน้าของเมิ่งอี้เซวียนเป็นอย่างมาก ทว่ามิได้แสดงออกมา กลับแสร้งพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เหวินเปียวยังชมว่าเจ้ามีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ ผ่านมานานเช่นนี้แล้ว กลับก้าวหน้าได้เพียงเท่านี้”
เมิ่งอี้เซวียนถูกเหวี่ยงคว่ำจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ครู่ใหญ่ถึงลุกขึ้นมาได้ เดิมคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะดึงเขาขึ้นมาเหมือนเมื่อก่อน ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เพียงไม่ทำเช่นนั้น กลับไม่เห็นค่าต่อความก้าวหน้าของเขาด้วย เกิดความรู้สึกน้อยใจ จึงนอนแผ่เช่นนั้นไม่ยอมลุกขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวมองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาจงใจหาเรื่อง ย่อตัวลง พูดดูหมิ่น “ด้วยความเร็วเช่นนี้ของเจ้า เกรงว่าผ่านไปอีกห้าปีเจ้าก็ยังเอาชนะข้าไม่ได้”
เมิ่งอี้เซวียนจ้องนางเขม็ง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่หลบเลี่ยง มุมปากเจือรอยยิ้มเยาะ จ้องมองเขา
ราวกับว่าเมิ่งอี้เซวียนได้รับแรงกระตุ้น ทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากพื้น ออกท่าตั้งรับ “พวกเราลองอีกครั้ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า สั่งกำชับเหวินเปียว “ต่อไปต้องฝึกสอนเขาตัวต่อตัวให้มากกว่านี้”
เหวินเปียวรับคำสั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังจากไป
เมิ่งอี้เซวียนมองแผ่นหลังนาง ขบคิดบางสิ่ง
เมิ่งอี้ที่ยืนหยันวิ่งจนครบห้ารอบแล้ว เดินเข้ามาในลานบ้านที่ฝึกวรยุทธ์อยู่ เห็นพวกอู๋ต้ากำลังทำท่านั่งม้า จึงเดินไปข้างพวกเขา คิดจะฝึกพร้อมพวกเขาด้วย
เหวินหู่ยับยั้งเขา “นายน้อยเมิ่งอี้ ท่านเพิ่งมาวันแรก วิ่งห้ารอบก็พอแล้ว ไม่ต้องมาฝึกท่านั่งม้าอีก ไม่เช่นนั้นวันพรุ่งท่านจะลุกไม่ขึ้น”
เมิ่งอี้ไปยืนอีกด้านอย่างเชื่อฟัง
เหวินหู่สอนพวกเขาออกท่ายืดเส้นยืดสาย ให้เขาฝึกทำด้านข้างด้วยตัวเอง
เมิ่งอี้ยืดเส้นยืดสายไปพลางมองพวกเมิ่งเสียนที่ลานบ้านอีกด้าน เห็นพวกเขาที่สามารถต่อสู้กับเหวินเปียวได้แล้ว ก็ให้ริษยาในใจ บอกตัวเองในใจจะต้องตั้งใจฝึกวรยุทธ์ให้ดี ภายหน้าจะได้เหมือนพวกเขา สามารถประลองฝีมือกับเหวินเปียวและเหวินหู่ได้
ต่อจากนั้นมาอีกสองสามวัน เมิ่งอี้ก็เข้ามาวิ่งด้วยทุกวัน เวลาที่ใช้ก็สั้นลงเรื่อยๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงใช้เวลาช่วงค่ำของทุกวันสอนเมิ่งอี้เซวียนให้รู้จักสมุนไพร จนใจที่เขาก็ยังจำไม่ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวอารมณ์ร้ายขึ้นเรื่อยๆ มีน้ำเสียงตวาดดังลอดออกไปไกลทุกค่ำคืน
พวกเมิ่งเสียนกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะให้พวกเขามาเรียนสมุนไพรด้วย ตกใจกลัวทุกค่ำหลังจากกินข้าวเสร็จ ก็รีบกลับเข้าห้องตัวเอง ไม่ออกมาอีก
มีคืนวันหนึ่งเมิ่งชื่ออดรนทนไม่ได้แล้ว เคาะประตูห้องเมิ่งเชี่ยนโยวพูดตักเตือน “โยวเอ๋อร์ อี้เซวียนยังเด็ก ค่อยๆ สอน ไม่ต้องรีบ เจ้าอย่าได้ใช้อารมณ์เช่นนั้นเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่โมโหเดือดดาลกระทืบเท้าปัง ทั้งพูดกับนางอย่างแหนงหน่าย “ท่านแม่ ใครกันแน่ที่เป็นลูกแท้ๆ ของท่าน เขาเด็ก แล้วข้าไม่เด็กหรือ? ข้ายังเรียนรู้ได้ ทำไมเขาถึงได้โง่เช่นนี้”
เมิ่งชื่อถูกถามจนใบ้กินพูดไม่ออก มองเมิ่งอี้เซวียนอย่างเห็นใจตาปริบๆ แล้วหันหลังกลับเข้าห้องตัวเอง นับแต่นั้นก็ไม่กล้าพูดตักเตือนอีก
ทว่าเมิ่งอี้เซวียนก็ยังมีช่วงเวลาให้ได้กระหยิ่มยิ้มย่องใจ นั่นก็คือเวลาเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสอนยากแค่ไหน เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เขาก็จะจำได้ทันที บดขยี้ความภาคภูมิใจเล็กๆ ที่เหลือจากชาติที่แล้วของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เหลือชิ้นดี