ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 191 สองพี่น้องสมัครสมานกลมเกลียว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไปหาเมิ่งซานถงและภรรยา บอกพวกเขาว่าตัวเองทำบ้านใหญ่ให้เป็นสถานศึกษาแล้ว วันมะรืนให้ฮวาเอ่อร์ เมิ่งหย่ง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงไปเรียนหนังสือด้วยกัน
เมิ่งซานถงและภรรยาย่อมดีใจอย่างสุดซึ้ง กล่าวขอบคุณอย่างชื่นบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านอาสาม ท่านอาสะใภ้สามเกรงใจแล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าต่อไปน้องชายน้องสาวคนไหนมีอนาคตก้าวไกล ก็ล้วนแต่เป็นหน้าเป็นตาของพวกเราสกุลเมิ่ง”
สำหรับป้าหวัง เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งชื่อเป็นคนไปแจ้งข่าวนี้
ป้าหวังได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กของตัวเองจะได้ไปโรงเรียน ก็ดีใจจนพูดไม่ออก เอาแต่ขอบคุณเมิ่งชื่อไม่ขาดปาก
เมิ่งชื่อรีบพูดว่า “ซ้อหวัง เมื่อก่อนพวกเรายากจน โชคดีที่ได้ท่านคอยช่วยเหลือพวกเรา ตอนนี้พวกเราทำเช่นนี้ก็สมควรแล้ว ท่านอย่าได้เกรงใจไปเลย”
วันนี้เมิ่งอี้เซวียนกลับมาไม่ต้องเรียนจำแนกสมุนไพรกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากเรียนภาษาอังกฤษครึ่งชั่วยามเสร็จ กลับไม่ได้กลับเข้าห้องทันที แต่มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างลังเลพูดไม่ออก
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวปรับสภาพจิตใจ อารมณ์ไม่หงุดหงิดง่ายเหมือนก่อนแล้ว เห็นท่าทีของเมิ่งอี้เซวียน จึงพูดตามตรง “มีอะไรก็พูดมาเถอะ ทำอึกๆ อักๆ ไปเรียนแบบพฤติกรรมแย่ๆ นี้มาจากใคร”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก หยั่งเชิงถามอย่างระวัง “ข้าอยากให้หนิวตั้นมาเรียนหนังสือด้วยได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง
เมิ่งอี้เซวียนถูกมองจนร้อนตัว พูดว่า “ข้ารู้ว่าคำขอนี้ของข้าเกินเหตุไปบ้าง หากเจ้าไม่ยินดีก็ช่างเถอะ”
สิ้นเสียงเขา เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวก็เปล่งดังขึ้น “มาเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนเบิกกว้างดวงตากลมโตคู่สวยนั้นอย่างยินดี ถามอย่างไม่เชื่อ “มาได้จริงๆ หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ทว่า เรื่องนี้เจ้าต้องไปพูดกับสองสามีภรรยาหนิวเอง หากพวกเขายอมให้หนิวตั้นมาเรียน หนิวตั้นถึงจะมาได้ หากพวกเราไม่ยินยอม เรื่องนี้ก็จบเท่านี้”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหงึกๆ “ข้ารู้ ข้าจะต้องพูดให้พวกเขายอมให้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขา “ระวังตัวด้วย หากพวกเขาไม่เกรงใจ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติดีกับพวกเขา”
ความเป็นกังวลของเมิ่งเชี่ยนโยวเกินความจำเป็นไปแล้ว ยังไม่พูดว่าตอนนี้เมิ่งอี้เซวียนมีวรยุทธ์ติดตัว เพียงแค่สถานะถงเซิงของเขา สองสามีภรรยาหนิวก็ไม่กล้าทำอะไรเขาแล้ว
วันถัดมาหลังจากเลิกเรียน เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน เดินลำพังมาที่บ้านหนิวโก่วจื่อ
หนิวตั้นกำลังเล่นอยู่คนเดียวในลานบ้าน เห็นเมิ่งอี้เซวียนมาก็ดีใจวิ่งโผเข้าอ้อมอก แหงนหน้าน้อยๆ ถามเขา “ท่านพี่ ท่านมาแล้ว?”
เมิ่งอี้เซวียนลูบศีรษะถามเขา “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าอยู่ในบ้านหรือไม่?”
หนิวตั้นพยักหน้า จูงมือเขาเดินเข้าไปพลางร้องเรียกอย่างยินดี “ท่านพ่อท่านแม่ ท่านพี่กลับมาแล้ว”
สองสามีภรรยาหนิวได้ยินเสียงร้อง รีบเดินออกมา เห็นเป็นเมิ่งอี้เซวียนก็ให้ตะลึงงัน
สะใภ้หนิวได้สติกลับมาก่อน ร้องพูดเสียงแหลม “โย้ นี่คือถงเซิงแห่งบ้านสกุลเมิ่งมิใช่หรือ? ลมอะไรหอบเจ้ามาบ้านข้าได้เล่า?”
เมิ่งอี้เซวียนชะงักฝีเท้า พูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะมาหารือกับพวกท่าน”
สะใภ้หนิวยังไม่ทันได้ฟังว่าเป็นเรื่องอะไร ร่างกายก็ผงะถอยหลัง เอนตัวพิงขอบประตู ใช้น้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำพูดว่า “อย่านะ ตอนนี้เจ้ากับพวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องอะไรทั้งนั้น เลี่ยงไม่ให้พวกเรารู้เรื่องแล้วต้องมาถูกฆ่าตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก “ที่ข้าจะพูดเป็นเรื่องดี”
สะใภ้หนิวไม่เชื่อ “เจ้าอย่าได้มาหลอกข้า คนที่มีแต่แผนการอย่างนังตัวแสบบ้านเมิ่งนั่น เรื่องดีๆ จะตกมาถึงพวกเราเรอะ?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดตามตรง “โยวเอ๋อร์จะทำสถานศึกษา ข้าพูดกับนางแล้ว อยากให้หนิวตั้นไปเข้าเรียนด้วย”
สะใภ้หนิวได้ฟังก็ยืดตัวตรงฉับพลัน “ให้หนิวตั้นไปสถานศึกษา?”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
สะใภ้หนิวมองประเมินเขาขึ้นลงอย่างไม่เชื่อ ถามด้วยความกังขา “พวกเจ้ามีเจตนาดี อยากให้หนิวตั้นไปสถานศึกษา คงไม่ได้คิดวางแผนอะไรไม่ดีกับหนิวตั้นหรอกนะ?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “แม้ในอดีตพวกท่านจะไม่ดีต่อข้านัก แต่หนิวตั้นข้าเห็นเขามาแต่เด็ก ข้าเห็นเขาเป็นน้องแท้ๆ ของข้ามาตลอด แม้ตอนนี้ข้าจะไปจากบ้านนี้แล้ว แต่ความรู้สึกที่ข้ามีให้เขาไม่เคยเปลี่ยน หากท่านไม่อยากให้เขาเป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ไม่รู้จักหนังสือ ภายหน้าทำได้เพียงปลูกผักปลูกหญ้าในหมู่บ้าน”
หนิวโก่วจื่อฟังเขาพูดจบ ดวงตากลิ้งกลอก พูดว่า “ขอเพียงพวกเจ้าไม่ให้พวกเราต้องเสียค่าเล่าเรียน ข้าก็จะให้หนิวตั้นไปสถานศึกษา”
ไม่รอให้เมิ่งอี้เซวียนพูด สะใภ้หนิวก็ส่งเสียงแวดขึ้น “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเรอะ สถานศึกษานี้จะต้องมีแต่ลูกหลานบ้านเมิ่ง หากพวกเขาเกิดรวมหัวกันกลั่นแกล้งหนิวตั้นจะทำอย่างไร? อีกอย่าง อยู่ๆ เขาก็เข้ามาบอกให้หนิวตั้นไปเรียนหนังสืออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จะต้องไม่ได้มีเจตนาดี ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ห้ามรับปากเขา”
หนิวโก่วจื่อพูดว่า “กลัวอะไร หากพวกเขากล้ารังแกหนิวตั้น ข้าจะไปเอาเรื่องพวกเขาให้ถึงที่สุด”
เมิ่งอี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น “เด็กๆ อยู่ด้วยกันทะเลาะกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครตั้งใจจะรังแกเขาหรอก หากเกิดเรื่องอะไรจริงๆ ก็เป็นการเล่นอย่างไม่ได้คิดอะไรระหว่างเด็กๆ กันเอง”
สะใภ้หนิวใช้นิ้วมือข้างหนึ่งชี้ไปกลางฝ่ามือของมืออีกข้าง ทำท่าทางว่าตัวเองเดาถูกแล้ว “ได้ยินไหม ข้าว่าแล้วว่าพวกเขาจะต้องไม่ได้มาดี ตอนนี้เป็นอย่างไร หนิวตั้นยังไม่ทันไปเข้าเรียน ก็คิดแล้วว่าจะรังแกเขาอย่างไร ไม่ได้ สถานศึกษานี้ข้าไม่ยอมให้ไปเด็ดขาด”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปากไม่ได้พูดอะไร
หนิวตั้นได้ยินเมิ่งอี้เซวียนบอกจะให้เขาไปเรียนหนังสือก็ดีอกดีใจ ตอนนี้กลับได้ยินสะใภ้หนิวเอาแต่คัดค้าน คิดว่าตัวเองคงไม่ได้ไปเรียนหนังสือแล้ว หลุบตาทั้งสองข้างลง นั่งแผ่ลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ “แง” ขาสองข้างถูไถไปกับพื้น ปากก็ร้องไห้คร่ำครวญ “ข้าจะไปเรียนที่สถานศึกษา ข้าจะไปเรียนที่สถานศึกษา”
สองสามีภรรยาหนิวพะเน้าพะนอตามใจหนิวตั้นมาก พอได้ยินเขาร้องไห้ปานจะขาดใจก็ให้เจ็บปวดหัวใจ สะใภ้หนิวรีบย่อตัวลง พูดปลอบเขา “ได้ๆๆ หนิวตั้นไม่ร้องนะ พวกเราจะไปเรียนที่สถานศึกษา”
หนิวตั้นหยุดร้องไห้
สะใภ้หนิวลุกขึ้นยืน หันไปพูดอย่างชิงชังกับเมิ่งอี้เซวียน “หากพวกเจ้ากล้ารังแกหนิวตั้น ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
เมิ่งอี้เซวียนมุ่นหัวคิ้ว พูดว่า “ข้าพูดไปแล้ว เด็กทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ หากพวกท่านไม่วางใจจริงๆ ไม่ต้องให้หนิวตั้นไปก็ได้”
หนิวโก่วจื่อได้ฟังน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นของเขา ร้องก่นด่า “เจ้าคนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน อย่างไรพวกเราก็เลี้ยงดูเจ้ามาหลายปี เจ้าพูดเช่นนี้กับพวกเราได้อย่างไร?”
น้ำเสียงเมิ่งอี้เซวียนเย็นชาลง “บุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้า ตอนที่รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงจากโยวเอ๋อร์ได้สิ้นสุดไปแล้ว ที่ข้าให้หนิวตั้นไปเรียนที่สถานศึกษา เพราะเห็นแก่ความเป็นพี่น้องของพวกเรา ไม่เกี่ยวกับพวกท่านแม้แต่น้อย ข้ายังพูดคำเดิม หากพวกท่านอยากให้หนิวตั้นไปเรียนที่สถานศึกษา ก็อย่าได้ถามถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสถานศึกษากับเขาอีก หากพวกท่านทำไม่ได้ ก็ให้เขาหมกตัวอยู่แต่ในบ้านเถอะ” พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
หนิวตั้นผุดลุกขึ้นจากพื้น ร้องเรียกท่านพี่แล้ววิ่งไปข้างกายเขา ถามอย่างเดียงสา “ท่านพี่ ท่านไม่อยู่ที่บ้านหรือ?”
เมิ่งอี้เซวียนหยุดฝีเท้า ลูบศีรษะเขา พูดว่า “หนิวตั้น นี่ไม่ใช่บ้านของพี่ บ้านเมิ่งถึงจะเป็นบ้านของพี่”
พูดจบ ก้าวอาดๆ เดินจากไป
หนิวตั้นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ
สะใภ้หนิวยกเท้าขึ้นร้องก่นด่าไล่หลัง “หากไม่เพราะตอนนั้นพวกเรารับเจ้ามาเลี้ยง เจ้าอยู่บ้านเมิ่งได้อดตายไปนานแล้ว ตอนนี้กล้ามาชักสีหน้าใส่พวกเรา คนเนรคุณลืมบุญคุณคน”
เมิ่งอี้เซวียนราวกับไม่ได้ยิน เร่งฝีเท้ากลับมาถึงบ้าน
เมิ่งชื่อเห็นเขากลับมาเย็น ถามอย่างประหลาดใจ “อี้เซวียน เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเย็นเช่นนี้?”
เมิ่งอี้เซวียนหยุดฝีเท้า ฝืนส่งยิ้มให้เมิ่งชื่อ “เมื่อวานโยวเอ๋อร์รับปากให้หนิวตั้นไปเรียนที่สถานศึกษาได้ วันนี้ข้าจึงไปบอกแก่พวกเขา”
เมิ่งชื่อเห็นเขาสีหน้าไม่สู้ดี ถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงหน้าเหยเกเช่นนี้ พวกเขาด่าเจ้าหรือ?”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “เปล่า พวกเขานึกว่าต้องจ่ายค่าเล่าเรียน พูดจาเกินเลยไปบ้าง”
เมิ่งชื่อมองเขาอย่างสงสัย
เมิ่งอี้เซวียนถูกมองจนร้อนตัว ร้อนรนพูด “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักที่ห้องก่อน”
พูดจบไม่รอให้เมิ่งชื่อขานรับ ก็เร่งรีบกลับเข้าไปในห้องตัวเอง แล้วปิดประตูห้อง
เมิ่งชื่อมองแผ่นหลังลนลานเดินหนีไปของเขา ขบคิดครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับเมิ่งเชี่ยนโยว เลี่ยงไม่ให้นางอารมณ์ขึ้น ลงมือลงไม้กับสองสามีภรรยาหนิวอีก
วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวให้หยิบกระเป๋านักเรียนมาจำนวนหนึ่ง พาเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองคนมายังบ้านใหญ่ เด็กน้อยทั้งสองคนนี้ยังสะพายกระเป๋านักเรียนมาด้วย ดีอกดีใจยกใหญ่ ป้าหวังพาโก่วตั้นมา เมิ่งซานถงและภรรยาพาฮวาเอ๋อร์และเมิ่งหย่งมารออยู่ในสถานศึกษานานแล้ว ส่วนสองสามีภรรยาหนิวกำลังเดินบิดๆ ม้วนๆ มาอยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มทักทายป้าหวังและเมิ่งซานถงกับภรรยา กวักมือให้เด็กๆ ที่มองกระเป๋านักเรียนใบใหม่ของเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงด้วยแววตาอิจฉา “พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามานี่”
เด็กทั้งสี่คนวิ่งไปข้างนางอย่างเริงร่า
เมิ่งเชี่ยนโยวรับกระเป๋านักเรียนมาจากมือเหวินเปียว แย้มยิ้มพูด “เพื่อฉลองให้กับการมาเรียนที่สถานศึกษาในวันนี้ของพวกเจ้า พี่สาวจะให้กระเป๋านักเรียนใหม่พวกเจ้าคนละใบ”
เด็กทั้งสี่คนไชโยโห่ร้อง รีบเดินขึ้นหน้าไปรับกระเป๋านักเรียนใหม่ ยกขึ้นมาสะพายหลังตามเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง
ป้าหวังและเมิ่งซานถงกับภรรยารู้ว่าปกติกระเป๋านักเรียนจะมีราคาขายอยู่ที่ใบละสิบตำลึง เห็นนางให้เด็กๆ คนละใบ ก็ตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แต่สองสามีภรรยาหนิวกลับเบ้ปากดูแคลนไม่ได้พูดอะไร
โจวหลี่เข้ามาสอนหนังสือ เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ กล่าวทักทายเขาอย่างมีมารยาท แล้วจากไป
ผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวที่บ้านเมิ่งเปิดสถานศึกษาก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน มีคนไม่น้อยเข้ามาซักถามให้ลูกหลานของตัวเองมาเข้าเรียนด้วยได้หรือไม่
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวถามความเห็นโจวหลี่แล้วจึงรับปากพวกเขา นอกจากพวกเขาจะไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว ยังมอบกระเป๋านักเรียนใหม่ให้เด็กๆ คนละใบอีกด้วย
ครอบครัวของเด็กในหมู่บ้านต่างก็ซาบซึ้งใจมาก แอบคิดในใจว่า ภายหน้าเวลาทำงานให้บ้านเมิ่งจะต้องขยันให้มากยิ่งขึ้น
ช่วงเวลาที่ผ่านมาต่อจากนั้น เวลาส่วนใหญ่ของเมิ่งเชี่ยนโยวจะหมกอยู่แต่ในแปลงฉั่งฉิก คอยตรวจดูการเจริญเติบโตของฉั่งฉิก ส่วนแปลงมันฝรั่งกลับไม่ได้ไปมานานแล้ว
ในวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวที่ขลุกอยู่ที่แปลงฉั่งฉิกทั้งวันกลับมาถึงบ้าน เห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อดีอกดีใจยกใหญ่ เกิดความสงสัย ถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ มีเรื่องดีอะไรในบ้านหรือทำให้พวกท่านดีใจถึงขนาดนี้?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นสะกดกลั้นความตื่นเต้นดีใจของตัวเองไม่อยู่ ร้องพูดเสียงดัง “โยวเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ ข้าวโพดบนที่ดินร้างของพวกเราแตกหน่อออกมาเป็นข้าวโพดฝักใหญ่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง “แตกหน่อออกมาเป็นข้าวโพดแล้วจริงๆ หรือ?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “วันนี้พ่อลองปอกออกหัวหนึ่ง พบว่าข้างในมีข้าวโพดออกมาแล้ว อีกไม่นานก็จะโตพร้อมเก็บ ดูท่าปีนี้พวกเราจะเก็บข้าวโพดได้เพิ่มอีกฤดูกาลแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “งอกออกมาทั้งหมดใช่หรือไม่? หรือว่าแค่เพียงส่วนหนึ่ง?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด “ส่วนใหญ่งอกออกมาหมดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ขบคิดแล้วพูด “พรุ่งนี้ข้าจะไปดูที่แปลงดิน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า
วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงแปลงข้าวโพดแต่เช้า หยิบข้าวโพดมั่วๆ ลูกหนึ่งมาปอกออก พบว่าเป็นดั่งที่เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดจริงๆ ด้านในมีข้าวโพดอ่อนงอกออกมาแล้วจริงๆ ใช้มือบีบเบาๆ มีน้ำข้าวโพดไหลออกมาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวยินดีปรีดา หักออกมาจำนวนไม่น้อย แล้วให้เมิ่งชื่อเอาไปต้มกิน
เมิ่งชื่อเห็นนางหักข้าวโพดที่ยังไม่โตเต็มที่ออกมา ก็ให้ปวดใจ พูดบ่นนางไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อธิบาย เร่งเร้าเมิ่งชื่อให้รีบนำไปต้มให้สุก
ข้าวโพดถูกหักออกมาแล้ว บ่นไปก็เท่านั้น เมิ่งชื่อจำต้องทำตามวิธีการของเมิ่งเชี่ยนโยวเติมน้ำลงในหม้อ ปอกเปลือกข้าวโพดออกใส่ลงไป หลังจากจุดไฟแล้วก็เริ่มทำการต้มข้าวโพด
น้ำเพิ่งจะเดือด กลิ่นหอมของข้าวโพดสุกก็ลอยฟุ้งออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งชื่อหยุดไฟ ตัวเองเปิดฝาหม้อออก ใช้กระชอนช้อนออกมาสองฝัก ทิ้งไว้ให้เย็นเล็กน้อย แล้วหยิบขึ้นมากัดอย่างอดใจรอไม่ไหว พยักหน้าเคลิบเคลิ้ม
เมิ่งชื่อเห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย หยิบอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน พลันอุทานพูดว่า “อ๊ายหย่า ข้าวโพดอ่อนนุ่มนี่ อร่อยเหลือเกิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเคี้ยวข้าวโพดในปาก พูดงุบงับฟังไม่ชัดเจน “ข้าวโพดอร่อยที่สุดก็คือช่วยเวลานี้ รอให้โตเต็มที่ก็จะใช้ไม่ได้แล้ว”
อย่างไรเมิ่งชื่อก็เป็นคนบ้านนอกที่ทำไร่ไถนาเพื่อเลี้ยงชีพ แม้จะรู้สึกว่าข้าวโพดอ่อนอร่อยมาก แต่ก็ยังรู้สึกปวดใจ พูดว่า “ข้าวโพดหนึ่งฝักมากินทิ้งขว้างเช่นนี้ ไม่ทำให้หายหิวได้ หากรอให้มันโตเต็มที่ ข้าวโพดฝักใหญ่ๆ นำมาโม่เป็นแป้ง เพียงพอเป็นโจ๊กข้าวโพดหนึ่งมื้อให้พวกเรากินได้ทั้งครอบครัวเชียวนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามนาง “ท่านแม่ แป้งข้าวโพดหนึ่งจินราคาเท่าใด?”
เมิ่งชื่อตอบนาง “ห้าเฉียน”
“ข้าวโพดอ่อนของข้าหนึ่งฝักก็ขายได้ห้าเฉียนแล้ว ท่านเชื่อหรือไม่?”