ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 193 ซื้อใจคน
เมิ่งเจี๋ยที่ตามมาดูความคึกคักเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว แหงนใบหน้าน้อยๆ พูดว่า “ท่านพี่ ข้าอยากกินข้าวโพดอ่อน”
หลังจากเลิกเรียนกลับมาเมื่อวาน เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองคนเห็นข้าวโพดอ่อนก็ดีใจกระโดดโลดเต้น แต่เมิ่งเชี่ยนโยวหักกลับไปไม่มาก ได้กินคนละฝักก็ไม่มีแล้ว เด็กน้อยสองคนเอาแต่เฝ้าพะวงถึงเรื่องนี้ รีบตื่นแต่เช้าตรู่ตามผู้ใหญ่มายังแปลงดิน ตอนนี้เห็นว่าหมดเรื่องแล้ว จึงเอ่ยปากพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขา รับปากเต็มคำ “ได้ พวกเราหักเพิ่มอีกหน่อย ให้พวกเจ้ากินให้เต็มที่”
เด็กน้อยทั้งสองคนดีใจโห่ร้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาหักข้าวโพดอ่อนเพิ่มอีก แล้วแบ่งส่งไปเรือนใหญ่และบ้านท่านอาจารย์
เหวินเปียวรับคำ นำพวกอู๋ต้าไปหักมาเพิ่ม
แม้เมิ่งชื่อจะปวดใจ กลับไม่ได้พูดอะไร
กลับมาถึงบ้าน เมิ่งชื่อง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้า เมิ่งเชี่ยนโยวเติมน้ำในกระทะอีกใบเพื่อต้มข้าวโพด
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเดินวนรอบเตาไปมาอย่างทนไม่ไหว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการแทบจะทนต่อไปไม่ไหวของพวกเขา ก็ให้ขบขัน
เมิ่งชื่อยังทำอาหารไม่เสร็จ ข้าวโพดก็ต้มสุกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดฝาออก ช้อนขึ้นมาสองฝัก พักให้เย็น ถึงส่งให้เด็กน้อยทั้งสองคน
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงกินข้าวโพดในมือของตัวเองจนหมด รู้สึกยังไม่หายอยาก จ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาเว้าวอน
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ ช้อนให้พวกเขาอีกคนละฝัก
ข้าวโพดสองฝักลงท้อง เด็กน้อยสองคนแม้จะยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม กลับไม่ร้องขออีก
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบพยักหน้าชื่นชม
เหวินเปียวและเหวินหู่นำข้าวโพดไปส่งให้เรือนใหญ่และท่านอาจารย์เสร็จกลับมารายงาน ได้กลิ่นหอมของข้าวโพดสายตาเผลอมองกระทะอย่างไม่รู้ตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาทั้งหมด ยิ้มหวานแล้วชี้ข้าวโพดอ่อนด้านข้างพูดว่า “พวกท่านทั้งสองเอากลับไปเยอะหน่อย ให้คนในครอบครัวได้ลิ้มรสของอร่อย”
เหวินเปียวและหวินหู่ดีอกดีใจ รีบพูดว่า “ขอบคุณแม่นาง พวกเราขอแค่ไม่กี่ฝักก็พอ ให้พวกเด็กๆ กินให้หายอยาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้า “ให้พวกเจ้าเอาไปก็จงเอาไป ข้าเคยพูดแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องเห็นตัวเองเป็นคนนอก อาหารสดใหม่นี้ย่อมต้องมีส่วนของพวกเจ้าด้วย ต่อไปก็เป็นเช่นนี้ หากข้ามีธุระยุ่ง ลืมเลือนไป ให้พวกเจ้ามาเอาได้เอง”
ทั้งสองตื้นตันใจเป็นอย่างมาก หลังจากกล่าวขอบคุณหลายครั้ง ก็นำข้าวโพดอ่อนจำนวนหนึ่งกลับไปเรือนของตัวเอง
เมิ่งเจี๋ยเห็นพวกเขาไปไกลแล้ว ถึงพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ “ท่านพี่ ให้เหวินจิ้งและเหวินจงไปเรียนที่สถานศึกษากับพวกเราด้วยได้หรือไม่ ทุกวันตอนที่พวกเรากลับมาจากเรียนหนังสือพวกเขาจะแอบจ้องมองกระเป๋านักเรียนของพวกเราอยู่เป็นนาน”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าผากตัวเองเต็มแรง คิดว่าตัวเองกลับเลินเล่อเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ไปได้ จากนั้นพาเด็กน้อยทั้งสองคนมาหยิบกระเป๋านักเรียนจำนวนหนึ่งแล้วมายังเรือนรองของเหวินเปียว
เหวินเปียวและเหวินหู่นำข้าวโพดอ่อนกลับมา คนในครอบครัวเหวินเปียวต่างดีอกดีใจ ภายใต้แววตาเว้าวอนของเด็กๆ รีบนำข้าวโพดอ่อนใส่กระทะต้มให้สุก
เหวินซงและเหวินเหลียนค่อนข้างโตแล้วจึงไม่แสดงอาการอะไรมาก แม้จะรอคอย กลับรออยู่อีกด้านอย่างมีสติ
เหวินจิ้งและเหวินจงกลับไม่ไหวแล้ว คอยล้อมหน้าล้อมหลังถามภรรยาเหวินเปียว เมื่อไหร่ข้าวโพดอ่อนถึงจะสุก
ภรรยาเหวินเปียวตอบพวกเขาอย่างอดทน รอประเดี๋ยวเดียวก็ได้แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงมาในลานบ้าน คนทั้งครอบครัวผลุนผลันออกมาทำความเคารพ
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยกยิ้มพูด “ช่วงที่ผ่านมาข้ายุ่งมากไปหน่อย ทำให้ลืมเรื่องสำคัญไป” พูดจบกวักมือเรียกเหวินจิ้งและเหวินจงมาข้างกายตัวเอง
เหวินจิ้งและเหวินจงเดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง เมิ่งเชี่ยนโยวให้กระเป๋านักเรียนพวกเขาคนละใบ พูดเสียงละมุน “นี่เป็นกระเป๋านักเรียนของพวกเจ้า นับแต่วันนี้ไปพวกเจ้าจะได้ไปสถานศึกษาพร้อมเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ดีหรือไม่?”
เด็กน้อยทั้งสองคนไม่กล้ารับ หันกลับมามองบิดามารดาของตัวเองอย่างวาดหวัง
เหวินเปียวรีบพูดทันที “นายหญิง ไม่ได้เด็ดขาด พวกเราเป็นบ่าว ไหนเลยจะมีสิทธิ์ไปสถานศึกษาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ข้าเคยบอกแล้วว่า แม้พวกเจ้าจะขายตัวเป็นทาสให้ข้า แต่ข้าไม่เคยเห็นพวกเจ้าเป็นคนนอกมาก่อน นอกจากสถานะที่เปลี่ยนไปของพวกเจ้า ชีวิตของพวกเจ้ามีอะไรที่แตกต่างไปจากแต่ก่อนบ้าง?”
เหวินเปียวเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มจะโมโห น้ำเสียงร้อนรนทันที “แม่นาง แม้ท่านจะปฏิบัติต่อพวกเราไม่แตกต่าง พวกเราก็ไม่ควรลืมสถานะตนเอง ไม่ว่าในอดีตสถานะของพวกเราจะเป็นเช่นไร ตอนนี้พวกเราก็คือบ่าว นายก็คือนาย ทาสก็คือทาส จะก้าวข้ามไม่ได้เด็ดขาด ในบ้านกำลังต้องการแรงงาน แม้จิ้งเอ๋อร์และจงเอ๋อร์จะยังเด็ก แต่ก็สามารถทำงานที่พอจะทำได้ อย่าให้พวกเขาไปเรียนที่สถานศึกษาเลย”
เขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็โมโหเดือดดาล ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายใหญ่เหวิน ท่านบอกข้าหน่อย เด็กสี่ห้าขวบสองคน สามารถทำงานอะไรที่พอจะทำได้บ้าง?”
เหวินเปียวสะอึกกึก อึกอักพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งเสียงแข็งขึ้ง “ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ให้พวกเขาสองคนตามเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ไปสถานศึกษา นี่เป็นคำสั่ง ห้ามฝ่าฝืน”
ในสายตาซาบซึ้งใจของภรรยาเหวินหู่และเหวินเปียวเต็มไปด้วยหยดน้ำตา พูดกล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ข้ามีธุระมาก เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเรื่องให้คิดไม่ทั่วถึง ต่อไปเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ พวกเจ้าเตือนข้าก็ได้ อย่าได้เห็นตัวเองเป็นคนนอกอีก”
คนทั้งหมดกล่าวขอบคุณอย่างตื้นตันใจ
เหวินจิ้งและเหวินจงก็รับกระเป๋านักเรียนมาสะพายหลังของตัวเองอย่างชอบใจ วิ่งไปตรงหน้าบิดามารดาของตัวเองพูดจาฉอเลาะ
เหวินหู่กับภรรยาและเหวินเปียวกับภรรยาเห็นอาการดีอกดีใจของเด็กๆ อดน้ำตาซึมไม่ได้ กล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยเสียงสั่นเครืออีกหลายครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด โบกสะบัดมือแล้วรีบเดินออกไปจากเรือนพวกเขา กำชับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง หลังจากไปถึงสถานศึกษาให้คอยดูแลเหวินจิ้งและเหวินจงให้ดีๆ
เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าอย่างรู้ความ
รถม้าหลายคันจอดลงที่หน้าประตู หลงจู๊จากเหลาจวี้เสียนเดินลงมาจากกรถม้า ร้องตะโกนลั่นอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์อยู่หน้าประตู “แม่นางเมิ่ง รีบออกมา ข้าพาคนมาด้วย”
ได้ยินเสียงเขา เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินออกมา ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หลงจู๊ก็พูดกับนางอย่างครึ้มอกครึ้มใจ “แม่นางเมิ่ง รีบมาดูเร็ว ข้าพาลูกค้าจำนวนหนึ่งมาให้เจ้าด้วย” พูดจบ ก็หันไปร้องเรียกคนที่ลงจากรถม้ามาแล้วว่า “พวกท่านทั้งหลายเข้ามาเถอะ นี่ก็คือแม่นางเมิ่ง”
คนทั้งหมดเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ก็ให้ตกตะลึง จากนั้นเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในลานบ้าน
หลงจู๊แนะนำกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเขาเป็นพ่อค้าในตำบลใกล้เคียงสองสามแห่ง มักจะมารับประทานอาหารที่เหลาจวี้เสียนเป็นประจำ เมื่อวานพอดีเห็นข้าขายข้าวโพดอ่อน ก็ให้ตกใจยกใหญ่ ถามข้าว่าได้ข้าวโพดอ่อนนี้มาจากที่ใด ข้าบอกพวกเขาไปตามตรง พวกเขาก็เลยอ้อนวอนข้าให้พาพวกเขามา ข้าคิดว่าข้าวโพดอ่อนที่บ้านแม่นางมีอยู่ไม่น้อย ไม่ได้บอกกล่าวก่อนก็พาพวกเขาเข้ามา หวังว่าจะไม่ได้สร้างความไม่สะดวกต่อแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “หลงจู๊เกรงใจไปแล้ว หาได้มีความไม่สะดวกอะไรไม่” พูดจบก็เชิญทุกคนอย่างเกรงใจ “ทุกท่านเชิญด้านใน พวกเราเข้าไปนั่งคุยกัน”
คนทั้งหมดไม่ขยับ หนึ่งคนในนั้นเอ่ยปากพูด “แม่นางเมิ่ง พวกเราไม่เข้าไปในบ้านแล้ว ข้าต้องการข้าวโพดอ่อนห้าร้อยฝัก ไม่ทราบว่าพอจะมีปริมาณมากเช่นนี้หรือไม่?”
เห็นเขาเอ่ยปาก อีกคนหนึ่งก็พูดพรวดขึ้น “ข้าก็ต้องการห้าร้อยฝัก”
คนที่เหลือก็เอ่ยปากว่าต้องการกี่ร้อยฝัก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้ามีปริมาณมากเช่นนั้น ทว่าต้องให้ทุกท่านรอสักครู่ ข้าจะให้คนไปเด็ดมาเดี๋ยวนี้”
อีกคนหนึ่งพูด “เช่นนี้จะรออะไร พวกเราไปตอนนี้เลย เด็ดเสร็จเร็วพวกเราจะได้กลับเร็วขึ้น”
คนที่เหลือก็เห็นดีเห็นงามด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีร้อนใจแทบทนไม่ไหวของพวกเขา ให้เมิ่งเสียนไปเรียกเหวินเปียวและพวกอู๋ต้ามาหักข้าวโพด ให้เมิ่งฉีไปเรียกครอบครัวเมิ่งต้าจินและเมิ่งซานถงกับภรรยาเข้ามาช่วยด้วย
หลงจู๊และคนทั้งหมดไม่แม้แต่จะเข้าไปในบ้าน เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงแปลงข้าวโพด เห็นแปลงข้าวโพดสุดลูกหูลูกตา ก็ให้ตกใจขวัญหาย ทนไม่ได้ต้องเดินเข้าไปเยี่ยมชม
เมิ่งเชี่ยนโยวและหลงจู๊เดินตามหลัง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระซิบกระซาบกับหลงจู๊ “ท่านขายให้พวกเขาเป็นเงินกี่เฉียน?”
หลงจู๊หัวเราะแหะๆ อย่างเก้อเขิน “ข้าขายที่เหลาจวี้เสียนในราคายี่สิบเฉียนต่อหนึ่งฝัก ราคาที่ข้าบอกพวกเขาคือแปดเฉียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ประเดี๋ยวพอพวกเขาไปแล้ว ท่านอยู่รอก่อน ข้าจะมอบเงินที่เกินมาให้ท่าน”
หลงจู๊ไม่ได้ปฏิเสธ พูดว่า “แม่นางไม่ต้องมอบเงินให้ข้าแล้ว หักเป็นข้าวโพดแทนเถอะ เมื่อวานขายข้าวโพดเป็นเทน้ำเทท่า วันนี้ข้าคิดจะซื้อเพิ่มอีกพอดี”
“ไม่มีปัญหา”
แม้จะมีคนมากเพียงใด ข้าวโพดพวกนี้ก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยถึงจะเด็ดเสร็จทั้งหมด เหล่าพ่อค้าจ่ายเงินอย่างหน้าชื่นตาบาน แล้วลากรถที่บรรทุกจนเต็มคันกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวหักเงินส่วนต่างที่ต้องให้หลงจู๊เป็นข้าวโพด และนำไปบรรทุกใส่รถม้าให้เขา
หลงจู๊ก็จากไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
ทุกคนทำงานมาครึ่งวัน ในที่สุดก็ได้พักเสียที
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูก้านข้าวโพดว่างเปล่า ถามเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อ ก้านข้าวโพดพวกนี้จะทำอย่างไร?”
ในอดีตก้านข้าวโพดจะถูกถอนออกมาพร้อมราก วางตากแดดจนแห้ง จากนั้นนำไปทำเป็นเชื้อฟืน แต่ปีนี้มีมากเกินไป เกรงจะวางในบ้านได้ไม่หมด
เมิ่งเอ้ออิ๋นพลันไม่รู้จะทำอย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้ เราให้ก้านข้าวโพดพวกนี้กับคนในหมู่บ้าน บ้านไหนต้องการก็ให้มาถอนไป อย่างไรครอบครัวเราก็ใช้ไม่หมด สู้ให้คนในหมู่บ้านถือเป็นน้ำใจต่อกัน”
เมิ่งชื่อรู้สึกเสียดาย พูดว่า “ครอบครัวเรามีคนตั้งเยอะ จะใช้ไม่หมดได้อย่างไร อีกอย่างยังมีครอบครัวท่านยาย เชื้อฟืนที่มีในแต่ละปีไม่เคยมีพอใช้ แม่จะให้คนไปแจ้งข่าวกับลุงใหญ่เจ้า ให้พวกเขาก็มาถอนไปจำนวนหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งชื่อปวดใจ จึงไม่ได้ยืนกรานต่อ
หลังจากเซี่ยเจียงเฟิงขนส่งข้าวโพดอ่อนไปถึงเมืองหลวง ทำตามวิธีที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก ตั้งกระทะใบใหญ่ไว้หน้าประตูร้าน นำข้าวโพดที่สดอ่อนมาปลอกเปลือกออกใส่ลงไปต้มให้สุก ทั่วทั้งถนนที่แสนคึกคักคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวโพดฉับพลัน ผู้คนในเมืองหลวงไม่รู้ว่าของสิ่งใดถึงได้ส่งกลิ่นหอมลอยฟุ้งได้ถึงเพียงนี้ ต่างเดินเข้ามาที่หน้าร้าน
พนักงานของร้านฉวยโอกาสนี้บอกพวกเขา สิ่งที่ร้านของตัวเองขายก็คือข้าวโพดอ่อน
ฤดูกาลเช่นนี้มีข้าวโพดก็นับว่าแปลกประหลาดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าวโพดต้มสุก พลันมีคนอยากดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันควัน
พนักงานช้อนออกมาสองสามอัน วางแบไว้ตรงหน้ากลุ่มคน
กลุ่มคนเห็นเป็นข้าวโพดอ่อนนุ่มจริงๆ ซักถามราคาขายพลัน
พนักงานร้องบอกพวกเขาเสียงดังลั่นว่าฝักละสามสิบเฉียนด้วย
สำหรับคนในเมืองหลวงแล้ว สามสิบเฉียนเป็นราคาที่ถูกมาก มีคนล้วงเงินออกมาซื้อหนึ่งฝักทันที
พนักงานดีใจช้อนออกมาหนึ่งฝัก วางพักไว้ให้เย็นครู่หนึ่ง ใช้สิ่งของห่อไว้ครึ่งฝัก แล้วมอบให้กับคนที่จ่ายเงิน
คนผู้นั้นรับไป หลังจากกัดไปหนึ่งคำอย่างอดใจไม่ไหว ก็ร้องชมเสียงลั่น “อร่อย หอมหวานยิ่งนัก” พูดจบก็รีบกินอีกหลายคำ
กลุ่มคนเห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย บวกกับความหอมของข้าวโพดที่ลอยเข้าจมูกไม่ขาดสาย อดทนต่อไปไม่ไหว ทยอยล้วงเงินออกมาซื้อ
หลงจู๊ของร้านเห็นการค้านี้ได้รับความนิยมมาก ก็ให้ดีใจจนปากหุบไม่ลง
พนักงานบอกพวกเขา ในร้านยังมีข้าวโพดดิบที่สดใหม่ขาย แต่ละฝักจะขายถูกกว่าข้าวโพดที่สุกแล้วห้าเฉียน ทุกคนสามารถซื้อกลับไปทำกินเองที่บ้านได้
คนที่หลังจากได้กินข้าวโพดกำลังคิดจะซื้อกลับไปให้คนที่บ้านเพิ่ม ได้ยินว่ายังมีข้าวโพดดิบขาย ต่างเฮโลเข้าไปในร้าน เจ้าซื้อห้าฝัก ข้าซื้อเจ็ดฝัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ขายไปได้หลายร้อยฝัก
หลงจู๊ยิ้มหน้าบาน รีบส่งข่าวถึงเซี่ยเจียงเฟิง บอกสถานการณ์การจำหน่ายทางนี้ของตนเอง ให้เขาส่งของมาเพิ่มอีก
เซี่ยเจียงเฟิงก็กำลังยุ่งมาก นอกจากส่งข้าวโพดจำนวนหนึ่งไปเมืองหลวง เขายังใช้ช่องทางค้าส่งของตัวเองขายไปได้อีกไม่น้อย
เห็นหลงจู๊ร้านในเมืองหลวงส่งข่าวมา เซี่ยเจียงเฟิงก็สั่งการคนให้บังคับรถม้าคันใหญ่อีกสองสามคันตามเข้ามาด้วย
ข้าวโพดในแปลงดินร่อยหรอลงทุกวัน คนในหมู่บ้านต่างอิจฉาเป็นอย่างมาก ในแต่ละวันได้แต่เบิกตาโตจับจ้องดูว่าข้าวโพดขายออกไปได้เท่าไหร่แล้ว เริ่มขบคิดในใจว่าปีหน้าครอบครัวตัวเองก็ควรจะปลูกข้าวโพดอ่อนสักจำนวนหนึ่งหรือไม่
อยู่ๆ เซี่ยเจียงเฟิงก็บังคับรถม้าคันใหญ่สองสามคันเข้ามา คนในหมู่บ้านยิ่งให้อิจฉา คนที่มีไหวพริบหน่อยเดินตามหลังรถม้ามาถึงบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว บอกว่าอย่างไรตัวเองก็ว่างงานไม่มีอะไรทำ ช่วยพวกเขาหักข้าวโพดได้