ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 195 เคี่ยวกรำไปอีกขั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “เจ้าเป็นเช่นนี้จะร้องขายอย่างไร?”
เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้า มองนางแวบหนึ่ง รวบรวมความกล้าอ้าปากกว้าง กลับไม่มีเสียงร้องออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอาการเขา ให้รู้สึกขบขัน
เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงเรื่อ พูดเสียงเบา “ข้าไม่รู้ว่าต้องร้องขายอย่างไร”
“ดูนะ”
พูดจบเมิ่งเชี่ยนโยวขยับลูกคอ ตะโกนด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “ขายข้าวโพดอ่อนจ้า ข้าวโพดอ่อนสดๆ อ่อนๆ หวานอร่อย ใครเดินผ่านไปผ่านมา อย่าได้พลาดเด็ดขาด”
ได้ยินเสียงร้องตะโกนใสกังวานของนาง คนมากมายล้อมวงเข้ามาฉับพลัน ต่างมองข้าวโพดอ่อนที่วางเรียงด้านหน้าพวกเขาอย่างประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้ปอกข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักออก แล้ววางไว้ด้านบนสุด พูดกับกลุ่มคนเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านลุง ท่านป้าทั้งหลาย นี่ก็คือข้าวโพดอ่อนที่ขายในเหลาจวี้เสียน หอมนุ่มอร่อยลิ้น บิดาข้าต้องออกแรงไม่น้อยถึงได้มาหนึ่งร้อยฝัก ใครต้องการก็รีบเข้ามาเถิด มัวชักช้าจะไม่มีเหลือแล้ว”
เหลาจวี้เสียนมีข้าวโพดอ่อนขาย คนในเมืองต่างทราบดี คนที่ฐานะร่ำรวยหน่อยต่างตรงไปซื้อหาไปให้คนในครอบครัวลิ้มรส ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ จึงมีคนเอ่ยปากถามขึ้น “แม่นางน้อย ข้าวโพดอ่อนของพวกเจ้าขายอย่างไรรึ?”
“หนึ่งฝักสิบเฉียน เชิญเลือกได้ตามสบาย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
“ข้าวโพดหนึ่งฝักขายสิบเฉียน แพงเกินไปแล้ว” มีคนพูดขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตระหนก ยิ้มพูดกับกลุ่มคน “ในฤดูกาลนี้ ข้าวโพดอ่อนเป็นสิ่งของหายาก ขายสิบเฉียนไม่ถือว่าแพงแล้ว ท่านลองไปสอบถามดู เหลาจวี้เสียนขายฝักละยี่สิบเฉียนเทียวนะ”
มีคนพูดว่า “เจ้าจะไปเทียบกับเหลาจวี้เสียนได้อย่างไร เหลาจวี้เสียนเป็นภัตตาคารหรู ของในนั้นย่อมต้องแพงเป็นธรรมดา อีกทั้งเขาก็ต้มให้จนสุก ร้อนกรุ่นพอดีกิน ไฉนเลยจะเหมือนเจ้า ที่ขายข้าวโพดดิบนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดอย่างฉะฉาน “ข้าวโพดของพวกเราเหมือนกับที่เหลาจวี้เสียน แม้จะไม่ได้ต้มสุก พวกเราขายสิบเฉียนก็นับว่าถูกมากแล้ว”
คนที่มาซื้อของรู้ว่าพวกเขาขายถูกแล้ว ข้าวโพดต้มสุกก็เพียงเปลืองฟืนไฟนิดหน่อย หาได้ต้องใช้สิ่งอื่นอีกไม่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรจิตใจของคนก็เป็นเช่นนี้ ถูกแล้วก็ยังอยากให้ถูกอีก ดังนั้นจึงมีคนพูดว่า “ลดให้อีกหน่อยเถอะ ฝักละห้าเฉียน สิบเฉียนได้สองฝัก ข้าซื้อห้าฝัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ตอบด้วยใบหน้าลำบากใจ “ไม่ได้ บิดาข้าบอกว่า ข้าวโพดพวกนี้มีต้นทุนแปดเฉียน หากขายลดราคา พวกเราจะขาดทุน”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้ามองนางอย่างตะลึงค้าง
กลุ่มคนไหนเลยจะหลงเชื่อนาง ยังคงต่อราคา “เอาอย่างนี้เถอะ เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อย สองฝักสิบห้าเฉียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงส่ายหน้า “ต้องขออภัยด้วย ข้าขายให้ไม่ได้จริงๆ สิบเฉียนเป็นราคาต่ำสุดแล้ว หากวันนี้ขายไม่ได้ พรุ่งนี้พวกเราจะต้มมาขาย ถึงตอนนั้นจะขายฝักละสิบห้าเฉียน”
กลุ่มคนได้ฟังว่าข้าวโพดสุกจะเพิ่มราคาอีกห้าเฉียน พลันมีคนล้วงเงินออกมาพูดว่า “ให้ข้าสามฝัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้เมิ่งอี้เซวียนเก็บเงินให้ดี เลือกข้าวโพดที่ใหญ่หน่อยออกมาสามฝักมอบให้คนผู้นั้น พูดว่า “ท่านซื้อเป็นคนแรก ข้าจึงเลือกแต่ฝักใหญ่ให้ ท่านถือให้ดี”
คนด้านหลังได้ยินก็ไม่ต่อราคาแล้ว ต่างล้วงเงินออกมาแย่งกันซื้อคนละสองสามฝัก
เมิ่งอี้เซวียนคอยเก็บเงินไม่หยุด ใบหน้าแดงระเรื่อตื่นเต้นยินดี
คนที่ตั้งแผงโดยรอบเห็นพวกเขาขายข้าวโพดอ่อนดีเช่นนี้ ต่างอิจฉาเป็นอย่างมาก
หลังจากสาละวนได้พักหนึ่ง คนที่ซื้อข้าวโพดก็ค่อยๆ ลดลง หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวมีเหงื่อซึมจากการขาย ยกมือขึ้นหมายจะใช้แขนเสื้อเช็ดลวกๆ เมิ่งอี้เซวียนคว้ามือนางเอาไว้ ล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาช่วยเช็ดให้นาง
เพื่อปกปิดความไม่เป็นตัวของตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากพูด “พอแล้ว ข้าสอนเจ้าว่าต้องร้องขายเช่นไรแล้ว ข้าวโพดที่เหลือเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว”
มือที่เช็ดเหงื่อให้นางชะงักกึก จากนั้นใบหน้าน้อยๆ ก็งอคว่ำลง
เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นมองไม่เห็น “หากช่วงเช้าขายข้าวโพดอ่อนพวกนี้ไม่หมด ช่วงบ่ายพวกเราจะไปเร่ขายข้างถนน”
เมิ่งอี้เซวียนตกตะลึงมองท่าทีเป็นจริงเป็นจังของนาง รู้ว่าเรื่องนี้ต่อรองไม่ได้อีก จึงกัดฟัน หลับตาลงแล้วร้องตะโกนเลียนแบบนาง “ขายข้าวโพดจ้า ข้าวโพดอ่อนสดๆ ใหม่ๆ ทุกคนรีบมาซื้อเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะดัง “พรืด”
เมิ่งอี้เซวียนลืมตาขึ้น หน้าแดงเรื่อมองนางอย่างกระดากเขิน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอกหยอกเย้าเขา “คุณชายน้อยเมิ่ง เสียงท่านช่างดังกังวานนัก แม้แต่ข้ายังแค่พอได้ยินบ้าง”
เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวให้กำลังใจเขา “ความจริงการร้องขายไม่ยาก แค่ร้องตะโกนเสียงดังก็ได้แล้ว ขอเพียงเปล่งเสียงตะโกนแรกออกมาได้ ต่อจากนั้นก็ง่ายขึ้นแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวคนจะมอง ยิ่งคนให้ความสนใจเจ้า ข้าวโพดของเราถึงจะยิ่งขายออกได้ไว”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า เบิกกว้างดวงตาคู่งาม เผยอปาก ใช้น้ำเสียงที่ยังเจือความอ่อนใสร้องตะโกน “ขายข้าวโพดอ่อน ข้าวโพดอ่อนสดๆ ใหม่ๆ ฝักละสิบเฉียน ทุกท่านรีบเข้ามาซื้อเถิด”
ตะโกนเสร็จก็มองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดีมาก เสียงดังกว่านี้อีกนิดก็จะดีมาก”
เมิ่งอี้เซวียนได้รับคำชมเชย ดีใจยกใหญ่ ลืมความหวาดกลัว ออกแรงตะโกนสุดเสียงอีกหลายครั้งติดต่อกัน
ได้ยินเสียงตะโกนร้องของเขา คนอีกกลุ่มหนึ่งรุมล้อมเข้ามา หลังจากซักถามราคาแล้ว ต่างก็ล้วงเงินออกมาซื้อ
เมิ่งเชี่ยนโยวรับเงินมา มุมปากยกยิ้มหวานไม่หยุด
เห็นคนมากมายมารุมซื้อ เมิ่งอี้เซวียนได้รับขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม คอยร้องตะโกนไม่ขาดเสียง ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ข้าวโพดหนึ่งร้อยฝักแทบจะขายออกไปได้ทั้งหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บเหรียญกษาปณ์ไว้อย่างหน้าชื่นตาบาน ตบบ่าเมิ่งอี้เซวียนแล้วพูดว่า “ใช้ได้เลย ไม่คิดว่าจะมีพรสวรรค์ด้านการค้าเช่นนี้ พี่สาวตัดสินใจแล้ว ต่อไปจะหากินด้วยกันกับเจ้า”
สิ้นเสียงนาง เมิ่งอี้เซวียนตกตะลึงจังงัง จากนั้นเผยรอยยิ้มแจ่มจำรัสเจิดจ้าหาใดเทียม
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาเกรี้ยวกราดใส่เขา
เมิ่งอี้เซวียนไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน เก็บคืนรอยยิ้ม มองนางด้วยใบหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่
เมิ่งเชี่ยนโยวทนปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขาไม่ได้ที่สุด สบถเสียงต่ำแล้วหยิบข้าวโพดที่เหลือสามฝักวางตรงหน้าหญิงชราที่เมื่อครู่มีเจตนาดีจะช่วยพวกนาง “ท่านยาย ข้าวโพดที่เหลือสามฝักนี้ มอบให้ท่านก็แล้วกัน หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”
หญิงชราโบกมือเป็นพัลวัน “ข้าจะรับขอราคาแพงเช่นนี้ของพวกเจ้าได้อย่างไร พวกเจ้าเก็บไว้ขายต่อเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราเหลือเพียงสามฝัก ขายไม่ได้แล้ว มอบให้ท่านก็แล้วกัน ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ”
หญิงชรายังคงปฏิเสธ “หากไม่อยากขาย พวกเจ้าก็นำกลับไปต้มกิน นี่เป็นสิ่งของหายาก เชื่อว่าคนในครอบครัวก็จะต้องชอบกิน”
“ท่านรับข้าวโพดไม่กี่ฝักนี้ไว้เถอะ ที่บ้านพวกเรายังมีอีกเยอะ จะต้มกินเมื่อใดก็ได้”
เห็นนางดึงรั้นจะมอบให้ หญิงชราเริ่มรู้สึกเกรงใจ นำผักสดจำนวนหนึ่งบนแผงตัวเองไปวางไว้บนแผงของพวกนาง “นี่เป็นผักสดที่ข้าปลูกเอง แบ่งให้พวกเจ้าบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่บอกปัด กล่าวขอบคุณแล้วเดินไปอีกฝั่งของตลาดสดพร้อมเมิ่งอี้เซวียน
ข้าวโพดเบื้องหน้าเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีดูเหมือนจะขายไปได้บางส่วน ข้าวโพดของเมิ่งเหรินและเมิ่งอี้น่าจะขายไม่ออกเลยสักฝักเดียว สองพี่น้องกำลังจ้องตากันไม่มาอย่างอับจนหนทาง เห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมามือเปล่า มองพวกเขาอย่างตกตะลึงพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวโอ้อวดกับพวกเขาอย่างลำพองใจ “พี่เมิ่งเหริน พี่เมิ่งอี้ พวกเราขายข้าวโพดหมดแล้ว”
“เจ้า เจ้าขายออกไปได้อย่างไร?” เมิ่งเหรินถามอย่างไม่อยากเชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ร้องตะโกนอย่างไรเล่า ขอเพียงท่านร้องตะโกนให้สุดเสียง ก็จะมีคนเข้ามาซื้อ พวกท่านเอาแต่นั่งเช่นนี้ ไม่มีใครเข้ามาถามพวกท่านหรอก”
เมิ่งเหรินเริ่มทำหน้าไม่ถูก “ข้างถนนคนเดินไปมาขวักไขว่เช่นนี้ พวกเราจะกล้าร้องตะโกนได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึงขัง “พวกเราไม่ได้ขโมยไม่ได้แย่งใคร ขายข้าวโพดอย่างบริสุทธิ์ใจ มีอะไรต้องไม่กล้ากัน”
เมิ่งอี้ขยี้ศีรษะ “จะพูดแบบนั้นก็ถูก แต่พวกเราร้องตะโกนไม่ออกจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาสองคนกลัวหัวหด หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน เจ้าไปช่วยพวกพี่ๆ หน่อยเถิด”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า เดินไปนั่งหน้าแผงของพวกเขา เปล่งเสียงร้องตะโกนออกมา “ขายข้าวโพดจ้า ข้าวโพดสดๆ ใหม่ๆ หนึ่งฝักสิบเฉียน รีบเข้ามาซื้อหากันเถิด”
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ต่างตกใจในเสียงร้องตะโกนของเขา มองไปที่เขาอย่างตะลึงพรึงเพริด
เมิ่งอี้เซวียนร้องตะโกนสองครั้ง หันไปพูดกับพวกเขา “มาเถอะ พวกเรามาร้องตะโกนด้วยกัน”
เมิ่งเหริน เมิ่งอี้เห็นเขาร้องตะโกนอย่างถึงใจ เริ่มถูกซึมซับ รวมรวมความกล้า อ้าปากร้องตะโกนตามเขา เริ่มแรกยังเก้อเขิน มีเพียงตัวเองที่ได้ยินเสียงร้องตะโกน หลังจากร้องตะโกนหลายครั้ง พบว่าไม่ได้ยากเหมือนที่คิด น้ำเสียงจึงค่อยๆ ดังขึ้น
ผู้คนในตลาดสดได้ยินเสียงร้องตะโกนรุมล้อมเข้ามา หลังจากสอบถามราคา ก็เริ่มควักกระเป๋าซื้อกลับไป
เมิ่งเหรินรับเงินไปพลางบอกจำนวน เมิ่งอี้มีหน้าที่ส่งข้าวโพดให้คนที่มาซื้อ
เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบระยับมองไปที่นาง ทำท่าทีรอรับคำชมเชยจากนาง
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือลูบไล้ศีรษะเขา พูดอย่างขอไปที “อือ ทำได้ไม่เลว”
พูดจบ ก็สาวเท้าเดินไปหน้าแผงของเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี
เมิ่งอี้เซวียนลูบหัวตัวเองยืนตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น ครู่ใหญ่ถึงแย้มยิ้มดีใจไร้สติ
ข้าวโพดของเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีขายออกไปได้บางส่วน
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงข้างพวกเขา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านรีบหน่อย ข้าวเช้ายังไม่ได้กิน ข้าหิวจะแย่แล้ว”
เมิ่งเสียนและน้องชายรักใคร่นาง พูดว่า “เจ้าไปกินข้าวก่อน อีกประเดี๋ยวพวกเราก็ขายหมดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ล่ะ รอให้ขายเสร็จแล้วพวกเราไปกินด้วยกันดีกว่า”
ทั้งสองเห็นนางยืนหยัด จึงแผดเสียงร้องตะโกนดังลั่น
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ข้าวโพดของทุกคนก็ขายหมดเกลี้ยง
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เกิดอารมณ์ฮึกเหิมแล้ว ถึงกับรู้สึกยังไม่หายอยาก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาสองคนอย่างขบขัน พูดว่า “ข้าขอท่านอาจารย์ลาเรียนให้พวกท่านสามวัน พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาอีก”
ทั้งสองรับคำอย่างยินดี เมิ่งเหรินนำเหรียญเงินในมือส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับมา แต่ยิ้มพูดว่า “เงินพวกนี้พวกท่านเก็บไว้เถอะ อยากซื้ออะไรก็นำไปซื้อ ถือเป็นรางวัลให้พวกท่านในวันนี้”
ทั้งสองให้ปลาบปลื้มปิติอีกครั้ง เก็บเงินใส่อกเสื้อตัวเองอย่างไม่รั้งรอ
ทั้งหกคนกลับมายังที่จอดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวหาที่กินข้าว
เมิ่งเหรินห้ามนาง “พวกเราซื้ออะไรง่ายๆ กินก็พอ ตอนเที่ยงจะได้กลับไปทันกินข้าวเที่ยงที่บ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับฟังคำแนะนำของเขา ครั้นแล้วจึงมุ่งหน้ากลับบ้าน
รถม้าแล่นมาถึงหน้าประตูเมือง เมิ่งเสียนลงไปซื้อซาลาเปาจำนวนหนึ่ง แต่ละคนได้กินคนละสองลูก แล้วมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านอย่างมีความสุข
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลังจากนัดหมายเวลาของวันพรุ่งนี้ เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็กลับไปบ้านตัวเอง
ตอนบ่ายเมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวไปหักข้าวโพดสามร้อยฝัก ครั้งนี้แยกใส่ตะกร้าสะพายหลังไว้
เมิ่งชื่อเห็นก็ให้ประหลาดใจ ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “วันนี้พวกเราไปเปิดแผงขายในตลาดสด พรุ่งนี้ข้าคิดจะลองไปเดินร้องเร่ขายตามตรอกซอกซอย”
เมิ่งชื่อตกใจร้อง “ไม่ได้เด็ดขาด เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงจะไปทำเรื่องกลางที่สาธารณะเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ก็ข้าอยากรู้อยากเห็น อยากจะลองดู”
เมิ่งชื่อร้องห้ามเสียงแข็ง “ไม่ได้ เจ้าจะไปไม่ได้ ตอนนี้ครอบครัวเราไม่ขัดสนกับเงินพวกนี้ ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็ไม่อนุญาต”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกลี้ยกล่อมนาง “ท่านแม่ ที่ข้าทำมิได้เพื่อหากำไร ข้าเพียงอยากรู้อยากเห็น อีกอย่าง ข้าก็ไปกับพวกพี่ใหญ่พี่รอง ท่านอย่าห้ามข้าเลยนะ”
เมิ่งชื่อรู้ว่าด้วยนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวตอนนี้ หากตัดสินใจเรื่องอะไรไปแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนใจอีก จึงถอนหายใจยาว “ก็ได้ แม่รู้ว่าห้ามเจ้าไม่ได้ แต่พวกเจ้าจักต้องระวัง ในเมืองผู้คนวุ่นวายสับสน คนแบบไหนก็มีทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ท่านแม่ ไม่มีเรื่องอันใดหรอก ท่านวางใจเถอะ”