ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 197 ฆ่าคนปิดปาก
ชายฉกรรจ์เจ็บปวด ขาข้างหนึ่งอ่อนแรง เกือบจะคุกเข่าไปกับพื้น กลับพลิกตัวตีลังกา ลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น
เมิ่งอี้เซวียนยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม พุ่งตัวเข้าหาชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์ไม่กล้าดูแคลนคู่ต่อสู้อีก ตั้งใจมุ่งมั่นรับมือเขา
อย่างไรเมิ่งอี้เซวียนก็อายุยังน้อย ชายฉกรรจ์เองก็มีวรยุทธ์สูงกว่าเขาไม่น้อย หลังจากสู้กันยี่สิบกว่ากระบวนท่า แรงกำลังก็ค่อยๆ ลดถอยลง
ครั้งนี้ชายฉกรรจ์สบจังหวะเหมาะ สับมือตรงใส่ลำคอเขา เมิ่งอี้เซวียนร่างอ่อนยวบล้มแน่นิ่งไป
เหวินเปียวเห็นภาพนั้นพอดี ร้องตะโกนเสียงหลง “นายน้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับกลับพูดน้ำเสียงราบเรียบ “เขาไม่เป็นอะไร เจ้ารีบเผด็จศึกเถอะ”
เหวินเปียวได้ฟังเพิ่มกำลังจู่โจม
ชายฉกรรจ์มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเห่อเหิมใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม ยื่นฝ่ามือออกไปโบกไปมาเบื้องหน้าเขา
ชายฉกรรจ์ไม่เข้าใจ “นังตัวแสบ จะมาเล่นล่อหลอกอะไรลวงตาข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกฝ่ามือไปมาอีกครั้ง “ห้ากระบวนท่า ข้าใช้เพียงห้ากระบวนท่าก็กำราบเจ้าได้”
ชายฉกรรจ์ถูกยั่วยุ เอ่ยปากเสียงลั่น “นังตัวแสบ รนหาที่ตายแล้ว!” แล้วโถมตัวเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่หลบหลีก รอจนเขาเข้ามาใกล้ ถีบใส่หน้าอกเขาอย่างจัง
ชายฉกรรจ์ไม่เคยเห็นวิธีการต่อสู้ที่ไม่นึกถึงชีวิตเช่นนี้ ถอนคืนกระบวนท่าของตัวเองฉับพลัน ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวทำมือเป็นเลขหนึ่ง ชายฉกรรจ์เข้าใจความหมายของนาง โมโหจนเกือบจะกระอักเลือด ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี จู่โจมนางอย่างรุนแรงเฉียบขาด
เมิ่งเชี่ยนโยวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว
ต่อสู้ไปได้สองกระบวนท่า แม้แต่ชายเสื้อนางชายฉกรรจ์ก็ยังแตะไม่โดน เริ่มกระวนกระวาย เกิดช่องโหว่หลังจากจู่โจมอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวสบจังหวะเหมาะ กระโดดถีบตัวลอยจนเขาล้มไปกับพื้น ไม่รอให้เขาพลิกตัวขึ้นมา ใช้วิชาฝ่ามือเดียวกับเขาสับจนชายฉกรรจ์สลบไป
ชายฉกรรจ์อีกคนเห็นสหายล้มกลางอากาศไปกับพื้น จิตใจระส่ำ ถูกเหวินเปียวถีบสลบไปเช่นกัน
เหวินเปียวสาวเท้าเดินมาข้างเมิ่งอี้เซวียน ก้มตัวลงอุ้มเขาขึ้นไปวางบนรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างชายฉกรรจ์ที่สลบไป ลูบคลำตัวพวกเขาอย่างละเอียด คลำเจอสิ่งของแข็งชิ้นหนึ่ง หยิบออกมาดู ถึงเห็นว่าเป็นป้ายคำสั่ง ไม่รอให้เหวินเปียวมาเห็น รีบนำป้ายคำสั่งใส่ในอกเสื้อตัวเอง แล้วเดินไปคลำหาป้ายคำสั่งอีกชิ้นออกมาจากตัวชายฉกรรจ์อีกคน เก็บไว้อกเสื้ออย่างเร็วรี่เช่นกัน
เหวินเปียววางเมิ่งอี้เซวียนไว้บนรถม้าเสร็จแล้ว หันกลับมาถามเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง จะทำอย่างไรกับทั้งสองคนนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดอย่างไม่ลังเล “จัดการเถอะ”
เหวินเปียวตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวช้อนตามองเขา
เหวินเปียวกลืนน้ำลาย ถามอย่างระวัง “ความหมายของแม่นางคือ…?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามอย่างเรียบเฉย “ไม่เคยฆ่าคน?”
เหวินเปียวเป็นผู้คุ้มกันมาหลายปี มีเหตุการณ์ไหนที่ไม่เคยเจอมาบ้าง ในสถานการณ์อันตราย ก็ฆ่าคนมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าหลังจากติดตามเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นนางยิ้มแย้มแจ่มใสทุกวัน ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่านางจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างเบาสบายไม่สะทกสะท้าน จึงเกิดอาการตะลึงงันฉับพลัน ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ ก็รีบตอบว่า “เคยฆ่า”
“เช่นนั้นก็มอบให้เจ้าแล้ว ทางที่ดีอย่าให้ใครมาพบศพของพวกเขาได้” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
ได้ยินนางยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยกล่าวเรื่องน่าสยดสยอง ราวกับว่าการฆ่าคนเป็นเพียงเรื่องสามัญธรรมดา เหวินเปียวเกิดอาการสะท้านตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาฉับพลัน
คล้ายว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าใจความคิดของเขา ยกยิ้มมองไปที่เขาแวบหนึ่ง
เหวินเปียวสั่นสะท้านไปทั้งตัว รีบก้มตัวลากชายฉกรรจ์คนหนึ่งลงไปข้างหน้าผา แล้วกลับมาลากชายฉกรรจ์อีกคนตามลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ เห็นเมิ่งอี้เซวียนยังไม่ฟื้น คลำป้ายคำสั่งในอกเสื้อ
เหวินเปียวจัดการคนเรียบร้อยแล้วเดินกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ถามว่าเขาจัดการอย่างไร สั่งการเขา “เจ้าเฝ้าดูรถม้าให้ดี ข้าจะรีบไปรีบมา” พูดจบหันหลังเดินเข้าไปในป่าทึบ
เหวินเปียวมองแผ่นหลังนาง สัมผัสได้ถึงพลังอาฆาตทั่วร่างนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในป่า มองหาสถานที่เหมาะสม แล้วนำป้ายคำสั่งสองชิ้นลงฝัง หลังจากทำเสร็จเรียบร้อย ก็เดินกลับมาข้างรถม้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหวินเปียวจับบังเ**ยนยืนข้างรถม้าอย่างอ่อนน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้เขาแวบหนึ่ง แล้วออกคำสั่ง “ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น รวมถึงเหวินหู่และเหวินเป้า”
เหวินเปียวรับคำอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ขึ้นรถม้า ยืนมองเขาอยู่ข้างรถม้า
เหวินเปียวถูกมองจนร้อนตัว กระทั่งตอนที่เหงื่อกำลังจะผุดซึมออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเปล่งเสียงดังขึ้นว่า “กิริยาอาการเจ้าตึงเครียดเกินไป จะทำให้พวกเขาจับสังเกตว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้”
เหวินเปียวเงยหน้าตะลึงงัน เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปบนรถม้าแล้ว กำชับเขา “ไปเถอะ พวกพี่ใหญ่คงรอจนร้อนใจแย่แล้ว”
เหวินเปียวรีบหันกลับรถม้า บังคับกลับเข้าเมือง
เมิ่งเชี่ยนโยวเขย่าตัวเมิ่งอี้เซวียนให้ตื่น
เมิ่งอี้เซวียนเพิ่งจะลืมตาขึ้น ก็ถลึงตัวลุกขึ้นนั่ง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอมยิ้มอยู่เบื้องหน้าตัวเอง ก็ถอนใจโล่งอก ลูบคลำลำคอที่ยังเจ็บปวดของตัวเอง ถามอย่างละอาย “ข้าไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชูนิ้วโป้งให้เขา “เจ้าปะทะกับเขาถึงยี่สิบกว่ากระบวนท่า ยอดเยี่ยมมาก”
“แต่พวกเราก็ยังปกป้องเจ้าไม่ได้ ยังถูกเขาตีจนสลบ” เมิ่งอี้เซวียนยังคงไม่พอใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยนวดคอที่ถูกสับให้เขาครู่หนึ่ง พูดปลอบใจ “เจ้าอายุยังน้อย ฝึกอีกไม่กี่ปี จะต้องเอาชนะข้าได้”
ดวงตาเมิ่งอี้เซวียนสะท้อนแววยินดี “จริงหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“แล้วพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” เมิ่งอี้เซวียนถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบไปเล็กน้อย ถึงพูดว่า “ถูกข้าและเหวินเปียวตีหนีไปแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าเจอพวกพี่ใหญ่อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ให้พูดว่าหลังจากพวกเราขายข้าวโพดแล้ว เจ้ารู้สึกไม่สบายตัว พวกเราจึงไปหาหมอมา เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้สงสัยอะไร พยักหน้าตกลง
พวกเมิ่งเสียนขายข้าวโพดหมดนานแล้ว มายืนรอยังที่ที่นัดกันไว้ กลับไม่เห็นรถม้าเข้ามาสักที เริ่มกังวลใจ คิดจะออกไปตามหา ก็กลัวจะคลาดกับเมิ่งเชี่ยนโยว พอนางมาถึงจะหาพวกเขาไม่เจอ จำต้องยืนรออยู่ที่นั้นอย่างกระสับกระส่าย พอเห็นรถม้าเข้ามา เมิ่งเสียนก็ตำหนิถามเสียงลั่น “เหตุใดพวกเจ้าถึงเพิ่งเข้ามา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ หลังจากให้ทั้งสองขึ้นมาบนรถม้า ถึงแย้มยิ้มพูดว่า “หลังจากขายข้าวโพดเสร็จ อี้เซวียนมีอาการไม่สบายตัว พวกเราก็เลยไปหาหมอถึงเพิ่งมาถึง”
เหวินเปียวได้ฟังมองไปที่เมิ่งอี้เซวียน เห็นสีหน้าเขาไม่น่าดูจริงๆ ถามอย่างเป็นห่วง “ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “ท่านหมอบอกว่าคงเพราะสองวันนี้เหนื่อยล้าเกินไป พักผ่อนสักหน่อยก็จะดีขึ้น พรุ่งนี้พวกเราไม่ต้องมาแล้ว”
เมิ่งเสียนพยักหน้า “ให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่สักวันเถอะ”
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็รออย่างกระสับกระส่าย ทว่าหลังจากได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนไม่สบาย ก็ซักไซ้ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสนี้บอกพวกเขาว่าพรุ่งนี้ไม่เข้ามาขายข้าวโพดแล้ว ให้หยุดพักที่บ้านหนึ่งวัน
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ขายจนติดใจแล้ว ถึงกับรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ตอนที่คนทั้งหมดมาถึงบ้านล่วงเลยเวลายามเที่ยงไปแล้ว เมิ่งชื่อได้ยินว่าพวกเขายังไม่ได้กินข้าว ผลุนผลันออกไปทำกับข้าวให้พวกเขา
คนทั้งหมดสวาปามกินจนเกลี้ยง
เมิ่งชื่อเห็นกิริยาการกินของพวกเขาก็ให้ปวดใจ พูดตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าอยากจะไปขายข้าวโพดให้ได้ เจ้าดูพวกเจ้าทั้งหมดหิวจนไม่เหลือสภาพแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นสองข้าง พูดอย่างซุกซน “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว ข้ารับประกันกับท่าน นับจากนี้ไปข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องไปขายข้าวโพดอีก หากข้าทำเช่นนั้นอีก ท่านไล่ข้าออกจากบ้านได้เลย”
เมิ่งชื่อยิ้มเอ็ด “เจ้ากำลังรับประกันกับแม่ หรือกำลังข่มขู่แม่กันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวลนลานพูด “รับประกัน รับประกัน ข้ารับประกัน”
คนทั้งหมดขบขันในปฏิกิริยาของนาง
แปลงดินยังเหลือข้าวโพดอีกจำนวนหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกอู๋ต้าเด็ดออกมาทั้งหมด นอกจากนำไปมอบให้เหวินซื่อ ซุนซ่านเหรินและบ้านฝั่งแม่ของเมิ่งชื่อรวมถึงหัวหน้าสกุลต่างๆ ข้าวโพดที่เหลือทั้งหมดถูกแกะเม็ดออก แล้วสั่งสะใภ้ทั้งสามคนของครอบครัวเหวินเปียวให้ใช้วิธีโบราณของตัวเองเก็บรักษาข้าวโพดอ่อนไว้ รอถึงฤดูหนาวจะได้นำไปขายให้ร้านยาเต๋อเหริน
สำหรับก้านข้าวโพดที่มีจำนวนมากเกินไป สุดท้ายต้องทำตามวิธีของเมิ่งเชี่ยนโยวให้คนในหมู่บ้านเข้ามาถอนไปตามใจชอบ
คนในหมู่บ้านดีใจแทบคลุ้มคลั่ง แต่ละครอบครัวยอมไม่กินข้าวเพื่อจะถอนให้ได้มากขึ้น ไม่ถึงสามวัน บนแปลงดินไม่เหลือก้านข้าวโพดแม้สักต้นเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวไปหาคนชราที่ทำโครงมันฝรั่งแผ่น ให้พวกเขาเริ่มทำแต่ตอนนี้ ยิ่งทำมากยิ่งดี คนชราย่อมรับคำด้วยความยินดี ทั้งครอบครัวทำงานกันอย่างขะมักเขม้นหามรุ่งหามค่ำ
ตอนที่เหวินเปียวนำข้าวโพดมาส่งให้ซุนเหลียงไฉก็ตามกลับมาด้วยอย่างเบิกบานใจ กระทั่งพอรู้ว่าต้องไปสถานศึกษา เกิดความเสียใจฉับพลัน เว้าวอนให้เหวินเปียวพาเขาส่งกลับไปอย่างน่าเวทนา
เมิ่งเชี่ยนโยวข่มขู่เขา “หากกลับบ้านไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนาง จะจับเขาแขวนใต้ต้นไม้หน้าประตูเหมือนซุนวั่ง”
ซุนเหลียงไฉคิดถึงสภาพน่าอนาถของบิดาตัวเอง ตามเมิ่งเหรินไปเรียนกับโจวเสี้ยวอย่างว่านอนสอนง่าย
ซุนเชี่ยนมักจะใช้ข้ออ้างมาเยี่ยมน้องชายเข้ามาบ่อยครั้ง เมิ่งชื่อยิ่งเห็นนางก็ยิ่งชอบ แทบอยากจะแต่งนางเข้าบ้านเสียแต่ตอนนี้
ช่วงเวลาที่สุขสงบและเต็มไปด้วยความชื่นบานนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงฤดูกาลที่มันฝรั่งสุกเต็มที่
ในวันนี้ ภายใต้สภาพจิตใจที่เฝ้ารอและกระสับกระส่ายของกลุ่มคน เมิ่งเชี่ยนโยวตัดใบมันฝรั่งเป็นสาย ใช้อุปกรณ์ขุดเบาๆ เป็นร่องหลุม มันฝรั่งลูกโตเป็นลูกๆ ก็ถูกถอนขึ้นมา
“โยวเอ๋อร์ เอาอุปกรณ์มาให้พ่อ พ่อจะขุดบ้าง” เมิ่งเอ้ออิ๋นที่สะกดกลั้นความตื่นเต้นยินดีไว้ไม่อยู่เอ่ยปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งอุปกรณ์ในมือให้เขา
เมิ่งเอ้ออิ๋นรับมา ถอนใบมันฝรั่งออก ขุดพรวดเดียวได้มันฝรั่งออกมาสิบกว่าลูก ถึงผ่อนคลายอาการฮึกเหิมใจลงได้
เมิ่งต้าจินกับภรรยาและเมิ่งซานถงกับภรรยาก็ตื่นเต้นดีใจ ใช้วิธีการต่างๆ ขุดออกมาบ้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีของแต่ละคนก็ให้หลุดขำ
กระทั่งอารมณ์ของทุกคนนิ่งสงบลง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงหัวเราะพูดว่า “นี่เป็นเพียงฤดูกาลแรกของมันฝรั่ง พวกท่านก็ตื่นเต้นลิงโลดถึงเช่นนี้ หากเกี่ยวเก็บอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วง พวกท่านจะตื่นเต้นจนเป็นลมไปเลยหรือไม่”
สะใภ้เมิ่งต้าจินถลึงตาโต ถามอย่างไม่เชื่อ “ฤดูใบไม้ร่วงยังเก็บเกี่ยวได้อีกครั้ง เจ้าหมายความว่ามันฝรั่งปลูกได้ปีละสองฤดูกาล?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น ทว่าข้ายังไม่เคยทดลอง ไม่รู้ว่าการเก็บเกี่ยวของครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร”
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหนึ่งปีสามารถทำการเกษตรได้สองฤดูกาล หากเป็นเช่นนั้น บ้านพวกเจ้าก็ร่ำรวยแล้ว” สะใภ้เมิ่งต้าจินกล่าวอย่างยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวแก้ใขคำพูดนาง “ท่านป้าใหญ่พูดผิดแล้ว ครอบครัวพวกเราต่างหากที่จะร่ำรวยแล้ว”
สะใภ้เมิ่งต้าจินพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ๆๆ ครอบครัวพวกเราจะร่ำรวยแล้ว”
คนทั้งหมดหัวเราะร่วนยินดี
“ท่านลุงใหญ่ ท่านเข้าไปในหมู่บ้านรับสมัครคนมาขุดมันฝรั่งเถอะ บอกพวกเขาว่า ค่าแรงในครั้งนี้จะคำนวณตามการชั่งวัด ไม่ว่าจะชายหญิงเด็กคนแก่ มันฝรั่งสิบจินให้หนึ่งอีแปะ หลังจากขุดมันฝรั่งเสร็จแล้ว จะจ่ายค่าแรงให้ทันที” หลังจากหัวเราะเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน
เมิ่งต้าจินพยักหน้าอย่างเบิกบาน หันหลังกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ครั้งนี้ยังไม่ทันได้ร้องตะโกน คนที่คอยเฝ้าสังเกตเมิ่งต้าจินก็รีบรุดเดินหน้าเข้ามา ถามเขาอย่างพินอบพิเทา “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ครอบครัวพวกท่านกำลังหาคนทำงานอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เมิ่งต้าจินชะงักฝีเท้า พยักหน้า “พวกเราเตรียมจะหาคนไปขุดมันฝรั่ง ครั้งนี้ไม่ได้จ่ายเป็นรายวัน แต่จ่ายตามน้ำหนัก ทุกสิบจินจะได้หนึ่งอีแปะ”
คนในหมู่บ้านไม่เคยเห็นมันฝรั่ง ไม่รู้ว่ามันฝรั่งหนึ่งลูกหนักเท่าใด แต่พอคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยเอาเปรียบคนในหมู่บ้าน ก็ถามอย่างระวัง “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านว่าข้าพอไหวหรือไม่? ข้ามีแรงมากโขอยู่นะ”
เมิ่งต้าจินมองแววตากระหายอยากของคนเหล่านี้ ยิ้มพูด “ขุดมันฝรั่งต้องใช้แรงกำลังบ้าง แต่ไม่ใช่ว่ากำลังน้อยก็จะทำไม่ได้ พวกเจ้าช่วยไปบอกต่อๆ กัน ขอเพียงต้องการไปขุดมันฝรั่ง ไม่ว่าเป็นใคร ก็สามารถมาได้ ค่าแรงเหมือนกันทุกคน”
“ท่านหมายความว่า บิดามารดาและลูกๆ ของข้าก็ไปได้ เหมือนกับตอนที่ไปเก็บกวาดที่ดินร้าง?” ชาวบ้านคนหนึ่งถามอย่างยินดี
เมิ่งต้าจินพยักหน้า โบกมือ “รีบกลับบ้านไปเรียกคนในครอบครัว หยิบฉวยอุปกรณ์ ไปตอนนี้ได้เลย”
คนทั้งหมดหันหลังวิ่งแน่บกลับบ้าน
เมิ่งต้าจินร้องตะโกนในหมู่บ้านอีกรอบ คนในหมู่บ้านได้ยินข่าวดีนี้ ต่างเคลื่อนไหวออกมาทั้งครอบครัว หยิบฉวยอุปกรณ์และตะกร้าสะพายหลังวิ่งไปที่แปลงดินอย่างเบิกบานใจ