ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 200 เรื่องลึกลับของเหลาจวี้เสียน
พ่อครัวตวาดลั่น “ไสหัวไป อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก”
การหางานไม่ใช่เรื่องง่าย โดยยังได้เป็นที่ถูกใจยอมรับเป็นศิษย์จากพ่อครัว เป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาริษยา เอ้อจื่อและซานจื่อเห็นพ่อครัวคิดจะไล่พวกเขาไปแน่แท้แล้ว ตื่นกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง ร้องไห้ร้องห่ม อ้อนวอนหลงจู๊ขอร้องแทนพวกเขา หลงจู๊เห็นสภาพน่าเอน็จอนาถของพวกเขาสองคน พูดเกลี้ยกล่อมพ่อครัว “เหล่าหลิว การรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์สองคนไม่ใช่เรื่องง่าย จากเรื่องครั้งนี้พวกเขาจะต้องได้บทเรียนแล้ว เห็นแก่ที่ปกติพวกเขามีความตั้งใจมุมานะทุ่มเท ให้อภัยพวกเขาสักครั้งเถอะ”
เพลิงโทสะของพ่อครัวยังแผดเผา “เพราะในยามปกติข้าให้ความสำคัญพวกเขา ข้าถึงได้ยิ่งโมโห ตอนนี้พวกเขากล้าฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ ภายหน้าหากได้เป็นพ่อครัวใหญ่ไม่แน่ว่าจะทำลายชื่อเสียงข้าได้ ข้าไม่อยากต่อไปต้องถูกสาปส่งเพราะพวกเขาสองคน”
“เจ้าพูดเกินไปแล้ว พวกเขาเพียงทนง่วงไม่ไหวถึงได้ทำเช่นนั้น ไม่เกี่ยวกับฉวยโอกาสหาผลประโยชน์สักนิด อีกอย่าง เรื่องนี้ก็เพราะเจ้าไม่รอบคอบเอง เจ้าลองคิดดู มีเพียงพวกเขาสองคนดูกำลังไฟตลอดทั้งคืน จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร?” หลงจู๊ยังคงพูดโน้มน้าว
พ่อครัวยังคงไม่หายโกรธ ถีบพวกเขาไปอีกคนละที “เห็นแก่ที่หลงจู๊พูดขอร้องให้พวกเจ้า วันนี้จะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน หากครั้งหน้ายังทำผิดอีก จงไปหัวไปทันที”
ทั้งสองกล่าวขอบคุณหลงจู๊ไม่ยอมหยุด
“นับแต่วันนี้ไป พวกเจ้าสองคนไปจุดไฟ ไม่ได้รับการอนุญาตจากข้าห้ามเข้าใกล้เตาเด็ดขาด” พ่อครัวยังคงพูดด้วยโทสะคุกรุ่น
แม้จะไม่อาจได้ติดตามเรียนวิชากับพ่อครัว แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ถูกไล่ออกไป เอ้อจื่อและซานจื่อกล่าวขอบคุณหลงจู๊อีกครั้ง ถึงวิ่งแนบเข้าไปในห้องครัว
พ่อครัวหันกลับมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง ขายหน้าเจ้าแล้ว ข้ากลับไม่สังเกตเห็นเลยว่าปัญหาเกิดจากกำลังไฟ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “หากไม่เพราะเคยชิมพระกระโดดกำแพงที่ข้าทำ ที่ท่านทำนี้ก็นับว่าใช้ได้แล้ว ไม่เชื่อท่านลองยกไปให้ลูกค้าในห้องโถงได้ติชมดู พวกเขาจะต้องกล่าวชมเป็นเอกฉันท์”
พ่อครัวส่ายหน้า “ข้าทำอาหารมีแต่จะให้ดียิ่งขึ้น เมื่อข้าเคยลิ้มรสอาหารของแม่นาง ก็จะไม่มีทางนำพระกระโดดกำแพงรสชาติเช่นนี้ไปให้ลูกค้าลิ้มรสเด็ดขาด”
พูดจบ สั่งเสี่ยวเอ้อให้มายกไหออกไป
เสี่ยวเอ้อเข้ามารายงานว่าขนถ่ายมันฝรั่งเสร็จแล้ว ทั้งรายงานน้ำหนักที่ได้
หลงจู๊พูดว่า “แม่นางไปรอที่ห้องรับรองก่อนเถอะ ข้าจะไปห้องบัญชีเบิกเงินมาให้ท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา “ช้าก่อนหลงจู๊ รอให้พวกเราตกลงกันเรื่องราคามันฝรั่งได้ก่อน ท่านค่อยไป”
หลงจู๊กังขา “มิใช่หนึ่งจินหนึ่งตำลึงหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “มันฝรั่งเมื่อปีที่แล้วค้นพบบนภูเขา ปริมาณไม่มาก ดังนั้นราคาจึงแพงไปบ้าง มันฝรั่งปีนี้ข้าเพาะพันธุ์ขึ้นเองในปริมาณมาก จะลดราคาพิเศษให้ท่าน เป็นหนึ่งจินครึ่งตำลึงก็พอ”
หลงจู๊ปิติยินดี “ขอบใจแม่นางเหลือเกิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ปีนี้มีมันฝรั่งมาก รบกวนหลงจู๊บอกกับหลงจู๊ของเหลาจวี้เสียนสาขาอื่นด้วย หากพวกเขาต้องการ ให้มารับที่บ้านข้าได้โดยตรง”
หลงจู๊ยิ่งปิติเบิกบาน “เช่นนั้นก็ดีจริงเทียว ปีที่แล้วนายท่านของพวกเราบอกให้ข้าซื้อมันฝรั่งให้ร้านสาขาอื่นบ้าง เสียแต่ว่าที่ร้านข้าเองก็ไม่พอใช้แล้ว จึงไม่ได้รับปากเขา ครานี้ดีแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปเขียนจดหมายบอกข่าวดีนี้แก่นายท่าน”
หลงจู๊ไปเบิกเงินที่ห้องบัญชี เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินหู่บังคับรถม้าออกไปรอด้านนอก แล้วขึ้นไปห้องรับรองชั้นสองภายใต้การนำทางอย่างพินอบพิเทาของเสี่ยวเอ้อ
ไม่นานหลงจู๊ก็เบิกเงินเข้ามา วางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่เป็นตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงสามสิบอีแปะ แม่นางเชิญดูก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับเงินมา เก็บไว้กับตัวลวกๆ “ไม่ต้องดูแล้ว ข้าเชื่อใจหลงจู๊”
ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นนี้ หลงจู๊แย้มยิ้มอย่างยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บตั๋วเงินดีแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากถามหลงจู๊ ไม่ทราบว่าท่านพอจะตอบได้หรือไม่?”
หลงจู๊ยิ้มพูด “แม่นางมีอะไรเชิญถามได้เลย ขอเพียงข้าบอกได้ข้าจะต้องบอกท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ้อมค้อมอีก ถามขึ้นตามตรง “ข้าอยากรู้ว่านายท่านของท่านเป็นคนเช่นไร?”
หลงจู๊ตะลึงงัน รอยยิ้มบนใบหน้าหดหาย มองนางอย่างตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวรอคำตอบจากเขาเงียบๆ
หลงจู๊หน้าเปลี่ยนสีกระอักกระอ่วน ครู่ใหญ่ถึงถามขึ้น “แม่นาง จู่ๆ ก็ถามถึงนายท่านของพวกเราไม่ทราบว่าเพื่อเหตุอันใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บปฏิกิริยาสีหน้าของเขาไว้ในดวงตา มีความคิดแน่ชัดบางอย่างขึ้นในใจ ทว่ายังคงยิ้มตอบ “หลังจากที่ครั้งก่อนข้าได้ประลองกับคุณชายเปาที่หลังร้าน ข้าก็อยากรู้เป็นอย่างมากว่านายท่านของเหลาจวี้เสียนเป็นคนเช่นไรกันแน่ ถึงกับสร้างสนามฝึกยุทธ์ขนาดใหญ่เช่นนั้นไว้หลังเรือนได้โดยไม่มีใครรู้ใครเห็น”
หลงจู๊กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว “ข้านึกว่าแม่นางจะถามแต่แรก รอมาจนถึงตอนนี้ได้ แม่นางช่างแน่วแน่ยิ่งนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “เดิมเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้ามิได้สนใจใคร่รู้ เพียงแต่ว่าช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าถึงอยากลองถามดู”
หลงจู๊ใคร่ครวญครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้าบอกได้เพียงว่านายท่านของพวกเราเป็นผู้มียศถาในเมืองหลวง สำหรับเรื่องอื่น เพราะนายท่านของพวกเรามีสถานะพิเศษ อภัยที่ข้าไม่อาจบอกท่านได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวคาดไว้แต่แรกแล้วว่าจะต้องได้คำตอบเช่นนี้ จึงไม่ซักถามต่อ แต่เปลี่ยนเป็นคำถามอื่น “หากข้าเดาไม่ผิด สนามฝึกยุทธ์หลังเรือนนี้แม้แต่เสี่ยวเอ้อในเหลาจวี้เสียนก็คงจะไม่รู้ ข้าขอถามว่าคุณชายเปาและนายท่านของพวกท่านมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน ถึงขั้นเข้าออกสนามฝึกยุทธ์หลังเรือนนี้ได้อย่างเสรี”
เห็นนางไม่ซักไซ้ถามต่อ หลงจู๊ก็ให้โล่งอก ผ่อนคลายสีหน้าอาการไปมาก พอได้ยินนางถามถึงเปาอีฝาน จึงตอบว่า “นายท่านของพวกเราและพ่อลูกเปาชิงเหอมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เกรงว่าเขาอยู่ไกลถึงเมืองหลวง เรื่องบางอย่างเกินอำนาจของตนเองจะไปข้องเกี่ยว จึงฝากฝังคุณชายเปาให้คอยมาดูแล”
ได้ยินเขาขานเรียกชื่อแซ่เปาชิงเหอโดยตรง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่ทันสังเกตเห็น ลองหยั่งเชิงพูดขึ้น “ครั้งก่อนที่เหลาจวี้เสียนในจังหวัดข้าได้ยินคุณชายเปาพูดว่า ต่อให้ใต้เท้าเปาทำคุณความชอบใหญ่หลวงเพียงใดในตอนนี้ก็ไม่อาจได้รับเลื่อนขั้น คงไม่เกี่ยวข้องกับการฝากฝังของนายท่านของพวกท่านหรอกนะ”
หลงจู๊ลอบสะดุ้งตกใจ ไม่คิดว่าเพียงคำพูดเดียวของเปาอีฝาน ทำให้นางคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกเขากับนายท่านได้ ทว่า ใบหน้ามิได้แสดงออกมา พูดว่า “ข้าเพียงรับผิดชอบการค้าของเหลาจวี้เสียน เรื่องอื่นข้าไม่รู้จริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน “ข้าก็เพียงถามไปเรื่อยเปื่อย เมื่อหลงจู๊ลำบากใจ ข้าก็จะไม่ถามมากแล้ว ตอนนี้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวมันฝรั่งของข้าแล้ว รบกวนหลงจู๊บอกนายท่านของพวกท่านแต่เนิ่นๆ ดูว่าเหลาจวี้เสียนสาขาอื่นยังต้องการมันฝรั่งหรือไม่ ข้าจะได้รีบวางแผนให้ก่อน”
หลงจู๊รับคำอย่างเบิกบาน “ได้ ข้าจะเขียนจดหมายหานายท่านเดี๋ยวนี้ แม่นางรอไม่กี่วัน ข้าจะรีบแจ้งความกลับไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอฟังข่าวดีจากหลงจู๊ที่บ้าน”
หลงจู๊ออกมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง มองรถม้าจากไปไกล ถึงหุนหันกลับในห้องเขียนจดหมายส่งถึงนายท่าน
รอจนรถม้าห่างจากเหลาจวี้เสียนมาได้ระยะหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียว “ไปร้านยาเต๋อเหริน”
เหวินเปียวรับคำ หันกลับรถม้าอย่างระวัง มุ่งหน้าไปร้านยาเต๋อเหริน
เหวินหู่บังคับรถม้าตามหลังมา
พอมาถึงร้านยาเต๋อเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า แล้วเดินตรงเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน
ด้วยเป็นเวลาช่วงสาย คนที่มาเข้ารับการตรวจในร้านยาเต๋อเหรินจึงมีปริมาณมาก หมอชราและหมอท่านอื่นอีกสองสามท่านต่างยุ่งจนไม่ได้เงยหน้า
พนักงานเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา รีบเดินเข้าหา ทักทายอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “นายท่านของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?”
“นายท่านอยู่ข้างบน ข้าจะช่วยไปรายงานให้ท่านเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง พวกเจ้าทำงานต่อไปเถอะ ข้าขึ้นไปเองก็ได้แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พนักงานยืนหลบไปอีกด้าน แสดงท่วงท่าเชื้อเชิญ “แม่นาง เชิญ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าขึ้นไปชั้นบน
เหวินซื่อกำลังดูสมุดบัญชี ได้ยินเสียงฝีเท้า ถามขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “มีเรื่องอันใด?”
ไม่มีเสียงตอบ
เหวินซื่อเงยหน้ากังขา เห็นเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว วางสมุดบัญชีในมือลงอย่างดีใจระคนประหลาดใจ ลุกขึ้นยืน “ยายตัวแสบ เจ้ามาได้อย่างไร?” สิ้นเสียง ถ้วยชาก็ลอยลิ่วเข้าหาเขา
เหวินซื่อตกใจตัวลอย เบี่ยงตัวเอี้ยวหลบ ถ้วยชาตกลงพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ
หมอชราที่กำลังตรวจรักษาให้คนป่วยได้ยินเสียงโครมคราม สะดุ้งตกใจ ไม่สนใจเขียนใบสั่งยาแล้ว ออกคำสั่งพนักงานเสียงรน “ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายท่าน?”
พนักงานไม่ขยับ พูดเสียงแผ่ว “ท่านหมอชรา แม่นางเมิ่งมาแล้ว เพิ่งจะขึ้นไปชั้นบนขอรับ”
หมอชราชะงักอึ้ง แล้วแย้มยิ้มอย่างเข้าใจทุกอย่าง คาดว่านายท่านจะยังไม่เปลี่ยนความเคยชิน ร้องเรียกแม่นางเมิ่งว่ายายตัวแสบ แม่นางเมิ่งฉุนขาด ขว้างถ้วยชาใส่เขา คิดถึงตรงนี้ ก็วางใจลง ไม่สนใจเรื่องนี้อีก ก้มหน้าตั้งใจเขียนใบสั่งยาให้ผู้ป่วย
เรียกได้ว่าหมอชราเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แต่ตัวเหวินซื่อเองกลับยังไม่รู้สำนึก ร้องคำรามใส่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเพิ่งมาถึงก็เป็นบ้าอะไรอีก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเขา ตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบถ้วยชาใบหนึ่งมากลิ้งเล่นในมืออย่างไม่ยี่หระ มองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
เหวินซื่อจ้องมองถ้วยชาในมือนางเขม็ง หวาดผวาว่านางจะโยนใส่ตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่กลิ้งถ้วยชาในมืออย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้พูดอะไร
เหวินซื่อทนไม่ไหวถามขึ้น “ข้าไปล่วงเกินอะไรเจ้าไม่ทราบ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้มเ**้ยมเกรียม “เจ้ามิได้มีส่วนไหนล่วงเกินข้า ข้าเพียงแค่เห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าเจ้าใกล้หายดี เริ่มไม่คุ้นชิน คิดจะช่วยเจ้าอีกสักรอยก็เท่านั้น”
แม้เหวินซื่อจะเป็นคนไม่อินังขังขอบ ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เคยนำมาใส่ใจ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เขาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เก็บคืนกิริยาระแวดระวังภัย พูดอย่างไม่แยแส “ก็แค่เรียกเจ้าว่า “ยายตัวแสบ” เอง? เจ้าถึงกับต้องบันดาลโทสะถึงเพียงนี้…”
ยังพูดไม่ทันจบ ถ้วยชาในมือเมิ่งเชี่ยนโยวก็ลอยตรงมาอีกครั้ง
ครั้งนี้เหวินซื่อไม่ได้ระวังภัย ถ้วยชาลอยปะทะกับตัวเขาอย่างจัง
เหวินซื่อเจ็บจนร้องดัง “โอ๊ย” โพล่งปากพูดว่า “นังตัวแสบ เจ้าเอาจริงเรอะ”
ครั้งนี้เป็นถ้วยชาสองใบลอยเข้ามา
เหวินซื่อลนลานเบี่ยงซ้ายหลบขวา ถึงหลบมาได้อย่างหวุดหวิด อ้าปากกำลังจะพูด พอคิดขึ้นได้ก็รีบปิดปากตัวเองแน่น
ผู้ป่วยชั้นล่างได้ยินเสียงดังเป็นระลอก ต่างแหงนหน้ามองชั้นบนอย่างประหลาดใจ
หมอชราไม่แยแสแม้แต่น้อย ยังคงตรวจอาการให้ผู้ป่วยอย่างสงบนิ่ง
ถ้วยชาบนโต๊ะใช้หมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหยิบกาน้ำชามาไว้ในมือ
เหวินซื่อตกใจลนลานพูด “เจ้า เจ้า เจ้ารีบวางลง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วมองไปที่เขา
เหวินซื่อถูกมองจนขนลุกชูชัน ลุกลนรับประกัน “ต่อไปข้าจะไม่เรียกเจ้าแบบนั้นอีกแล้ว เจ้าวางกาน้ำชาลงก่อนเถิด”
“เจ้าแน่ใจ?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อคอยจ้องมองถ้วยน้ำชาในมือนางเตรียมการรับมือ ปากก็เอาแต่ตอบว่า “ข้ายืนยัน ข้ายืนยัน”
เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ วางมือพักไว้บนฝากาน้ำชา
เหวินซื่อกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ชี้กาน้ำชา พูดตะกุกตะกัก “เจ้า เจ้า เจ้าเอามันไปวางไกลๆ หน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ผลักถ้วยน้ำชาไกลออกไป
เหวินซื่อเดินขึ้นหน้าอย่างระแวดระวัง คว้าถ้วยน้ำชามาไว้ในมือ ในที่สุดก็วางใจโล่งอก กอดถ้วยน้ำชาพูดว่า “ยาย…” พูดได้เพียงคำเดียว ก็ได้สติ รีบร้อนเปลี่ยนคำพูด “เป็นเจ้าหรอกนะ หากเป็นคนอื่นกล้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าจะอัดจนนางจำไม่ได้แม้แต่แม่ของตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองเขาแวบหนึ่ง
เหวินซื่อลูบคลำจมูกตัวเอง หันหลังกลับไปที่โต๊ะ นำกาน้ำชาในมือวางไว้บนโต๊ะ ถึงนั่งลงบนเก้าอี้ได้อย่างสบายใจ
“ท่านอ๋องฉีคือใคร?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เหวินซื่อไม่ได้ตอบ กลับถามกลับนางอย่างตกตะลึง “เจ้ามิได้รู้จักท่านอ๋องฉี เจ้าจะถามถึงเขาอย่างไร้มูลเหตุไปทำไม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวพึงไปด้านหลัง นั่งบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ แสร้งพูดขึ้นอย่างไม่สนใจไยดี “วันก่อนได้ยินตี้ซือเอ่ยถึง ใคร่รู้ จึงลองถามดู”
เหวินซื่อยิ่งทวีความประหลาดใจ “ตี้ซือเอ่ยถึงท่านอ๋องฉี ด้วยเหตุอันใด?”