ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 203 ระหว่างทางพบชายฉกรรจ์ลึกลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
สะใภ้ใหญ่โจวไม่คิดว่านางจะซื้อกำไลนี้โดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ตะลึงงันเล็กน้อย
หลงจู๊รีบเดินตามพนักงานออกมา ยืนตรงหน้าคนทั้งสอง พูดอย่างมีมิตรไมตรี “ฮูหยิน ท่านพอใจเครื่องประดับแบบไหนหรือ?”
สะใภ้ใหญ่โจววางถ้วยชาในมือลง ดันกล่องที่บรรจุกำไลไปด้านหน้า “ชิ้นนี้เล่า บอกราคามาเถิด”
หลงจู๊เห็นนางถูกใจกำไลข้อมือ ใบหน้าสะท้อนแววยินดี พูดว่า “กำไลนี้เป็นแบบใหม่ที่พวกเราเพิ่งจะวางขายไม่กี่วันก่อน ราคาเต็มคือสองพันตำลึง หากฮูหยินต้องการจริงๆ ข้าให้หนึ่งพันเก้าร้อยตำลึง”
สะใภ้ใหญ่โจวส่ายหน้า “แพงเกินไป อย่างมากข้าให้ท่านได้หนึ่งพันสองร้อยตำลึง”
ความปิติยินดีบนใบหน้าหลงจู๊จางหาย “ฮูหยิน ท่านให้ราคาต่ำเกินไปแล้ว ราคาที่พวกเรานำเข้ามาก็สูงกว่านี้แล้ว”
สะใภ้ใหญ่โจวพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “เนื้องานของกำไลชิ้นนี้ยังไม่ละเอียดประณีต หากเป็นในอดีต ข้าไม่มีทางซื้อเด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้มีคนจะแต่งงาน ข้าไม่มีอะไรเตรียมไว้ล่วงหน้า ทั้งเห็นว่าเป็นของที่มีความหมายดี ถึงได้ยอมหลับหูหลับตาซื้อไว้ หากพวกท่านเรียกราคาสูงเกินไป ข้าจะลองไปซื้อร้านอื่นก็ได้”
หลงจู๊พูดอย่างลำบากใจ “ฮูหยิน มิใช่ข้าไม่ขายให้ท่าน แต่ราคาที่ท่านให้ต่ำเกินไปจริงๆ”
สะใภ้ใหญ่โจวลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าคงต้องไปหาดูร้านอื่นแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นตาม
หลงจู๊ลนลานเข้าไปขวางพวกนางไว้ “ฮูหยิน อย่าเพิ่งใจร้อน พวกเราเจรจากันก่อนเถิด”
สะใภ้ใหญ่โจวนั่งลงอีกครั้ง “ความจริงเครื่องประดับของร้านพวกท่านล้วนพอๆ กัน ที่ข้าเข้ามาซื้อร้านพวกท่าน เพราะสาวน้อยนางนี้บอกว่าเครื่องประดับของพวกท่านเนื้องานดี ราคามิตรภาพ ข้าถึงได้เข้ามา ตอนนี้ท่านให้ราคาเดิมไม่ยอมเปลี่ยน ดูท่าข้าจะมาเสียเที่ยวแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยใส่เชื้อไฟ “นั่นสิ หลงจู๊ ข้าอุตส่าห์โน้มน้าวจนฮูหยินท่านนี้ยอมเข้ามา หากครั้งนี้พวกท่านตกลงกันไม่ได้ ต่อไปข้าจะไม่แนะนำลูกค้ามาให้พวกท่านอีกแล้ว”
หลงจู๊ได้ฟังกัดฟันพูดว่า “ฮูหยิน ข้าให้ท่านขาดตัว หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง หากท่านเห็นว่าเหมาะสม ท่านก็ซื้อ หากไม่เหมาะสม ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว”
สะใภ้ใหญ่โจวเห็นหลงจู๊พูดถึงขั้นนี้ รู้ว่านี่เป็นราคาต่ำสุดของเขา ให้น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว พยักหน้าพูดว่า “ก็ได้ เอาตามที่ท่านว่า หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง พวกท่านห่อให้ดี ให้มีความเป็นสิริมงคล”
หลงจู๊ถอนใจโล่งอก หันไปเรียกพนักงาน “ไป รีบไปทำตามที่ฮูหยินท่านนี้กำชับ”
พนักงานถือกล่องเข้าไปในโต๊ะคิดเงิน
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงตั๋วเงินออกมาจากอก นับได้หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงมอบให้หลงจู๊
หลงจู๊นับอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ตรงตามจำนวนพอดี
พนักงานห่อกล่องเรียบร้อย นำมามอบให้ตรงหน้าสะใภ้ใหญ่โจวอย่างพินอบพิเทา
สะใภ้ใหญ่โจวรับมา พูดว่า “พวกท่านนับได้ว่าทำการค้ามีความจริงใจ ภายหน้าหากข้ายังต้องการสิ่งใด จะต้องมาซื้ออีก”
หลงจู๊รีบกล่าวขอบคุณ
สะใภ้ใหญ่โจวลุกขึ้นเดินออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง
หลงจู๊ออกมาส่งพวกเขานอกประตูอย่างยิ้มแย้ม มองพวกเขานั่งรถม้าจากไปไกล ถึงทำหน้ายินดีเจือความทุกข์ตรมกลับเข้าไปในร้าน
ภายในห้องโดยสาร เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วหัวแม่มือชูให้สะใภ้ใหญ่โจว “ฮูหยิน ท่านเยี่ยมยอดไปเลย พริบตาเดียวก็ประหยัดไปได้ถึงห้าร้อยตำลึง”
สะใภ้ใหญ่โจวผ่อนคลายอารมณ์ลง ยิ้มพูด “ตอนอยู่ในเมืองหลวง มีโอกาสได้ติดตามท่านผู้หญิงชั้นสูงไปเดินชมร้านเครื่องประดับ ครูพักลักจำมาบ้าง ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เอามาใช้จริง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพูด “ท่วงท่าเมื่อครู่ของท่านน่าเกรงขามมาก คิดว่าเพราะหลงจู๊เห็นท่านน่าเกรงขามเช่นนี้ ถึงยอมลดราคาให้ หากเป็นพวกท่านแม่ข้าเข้ามา คาดว่าให้ตายหลงจู๊ก็ไม่มีทางขายราคานี้ให้พวกเรา”
สะใภ้ใหญ่โจวยิ้มสรวล “เมื่อก่อนตอนอยู่ในเมืองหลวง ออกจากบ้านทีจะต้องวางมาดผึ่งผาย ไม่เช่นนั้นจะถูกคนวิพากษ์ได้ ตั้งแต่มาอยู่ชนบท รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ถึงจะสุขสบายอย่างแท้จริง ข้าอิจฉาพวกมารดาของเจ้านัก มีชีวิตที่ไม่ต้องถูกตีกรอบ เรียบง่ายไร้กฎเกณฑ์”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “หากท่านเห็นตอนที่พวกเราท้องไม่อิ่ม ท่านคงจะไม่คิดเช่นนี้แล้ว”
ทั้งสองเสวนากันอีกเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวถึงสั่งเหวินเปียวหาที่กินข้าวค่อยกลับไป
สะใภ้ใหญ่โจวยับยั้งนาง “ซื้ออะไรง่ายๆ มากินบนรถม้าก็ได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ยินยอม “ท่านช่วยข้ามากเช่นนี้ จะซื้ออะไรง่ายๆ มานั่งกินบนรถม้าได้อย่างไร หากท่านไม่อยากไปภัตตาคาร พวกเราหาร้านเล็กๆ กินกันก็ได้”
สะใภ้ใหญ่โจวปฏิเสธไม่สำเร็จ จำต้องยอมตกลง
เหวินเปียวบังคับรถม้ามาตามถนนช้าๆ เห็นร้านแผงลอยเล็กๆ ถามขึ้น “แม่นาง ข้างทางมีร้านหนึ่ง ท่านว่าพอได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันพูด สะใภ้ใหญ่โจวก็พูดขึ้น “ได้ๆ ข้าไม่เคยกินอาหารข้างทางมาก่อน อยากลองดูเสียบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านไม่ต้องลองแล้ว คนไปมาพลุกพล่าน เกรงว่าท่านจะกินไม่ลงเสียเปล่า”
สะใภ้ใหญ่โจวโบกมือ “ต่อไปยังต้องพำนักในชนบทระยะยาว อย่างไรก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตเช่นนี้”
เห็นนางยืนกราน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวให้จอดรถม้า
ทั้งสองลงมาจากรถม้า เดินมาหน้าร้านแผงลอย หาโต๊ะว่างนั่งลง
เจ้าของแผงรีบเข้ามาถามไถ่ “ทั้งสองท่านจะรับอะไรดีขอรับ?”
“ร้านพวกท่านมีอะไรบ้าง?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เจ้าของแผงตอบกลับ “หลักๆ เลยก็มีบะหมี่และอาหารทานเล่นสองสามอย่าง ข้าวสวยก็มีขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามสะใภ้ใหญ่โจว “ฮูหยิน ท่านอยากกินอะไร?”
สะใภ้ใหญ่โจวพูดว่า “บะหมี่สักชามก็แล้วกัน”
“ขอบะหมี่สองชาม และอาหารทานเล่นอีกนิดหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“ได้ขอรับ” เจ้าของแผงรับคำ หันหลังไปทำบะหมี่
เมิ่งเชี่ยนโยวเอียงศีรษะหันไปพูดกับเหวินเปียวและเหวินหู่ “เจ้าสองคนอยากกินอะไร สั่งตามสบาย สลับกันคอยเฝ้ารถม้าก็พอ”
ทั้งสองรับคำ
ไม่นานเจ้าของแผงก็ยกบะหมี่เข้ามา
สะใภ้ใหญ่โจวหยิบตะเกียบคีบเข้าปาก ร้องอุทาน “อืม อร่อย!”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็กินตามหนึ่งคำ รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว
ทั้งสองไม่พูดคุยกันอีก คีบอาหารทานเล่นกินกับบะหมี่อย่างสบายอารมณ์
มีชายฉกรรจ์สองคนเข้ามานั่งข้างๆ โต๊ะถัดไป หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ทั้งสองก็คุยไปรอไป
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดว่า “พวกเรามาที่ตำบลชิงซีนานขนาดนี้แล้ว กลับยังไม่เจอเบาะแสใดเลย หรือข่าวกรองที่เราได้รับจะผิดพลาด”
ชายฉกรรจ์อีกคนก็พูดว่า “ไม่น่าจะใช่ นายท่านบอกว่านี่เป็นภาพวาดจากสายที่เขาแฝงตัวไว้ในสถาบันการเงิน ไม่มีทางผิดพลาดได้”
“แต่เราแทบจะพลิกแผ่นดินฝั่งตะวันตกของเมืองชิงซีค้นหาแล้ว ก็ยังหาไม่พบ เราจะกลับไปตอบนายท่านอย่างไร?”
ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักมือเล็กน้อย แล้วแสร้งกินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกคนหนึ่งพูดขึ้นต่อ “นายท่านให้เวลาพวกเราเพียงสองเดือน บอกว่าไม่ว่าจะหาเจอหรือไม่ ก็จะต้องกลับเมืองหลวงไปรายงาน ตอนนี้เวลาก็งวดเข้ามาทุกทีแล้ว”
อีกคนหนึ่งพูดว่า “มิได้มีเพียงพวกเราที่หาไม่เจอเสียเมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้ข้าพบชายสองคนจากจวนท่านอ๋องฉีถือภาพวาดถามไถ่ไปทั่ว โชคดีที่ข้าสังเกตเห็นก่อน หลบเลี่ยงพวกเขา ไม่เช่นนั้นคงถูกพวกเขาพบเข้า ทว่า นับตั้งแต่นั้นก็ไม่เห็นพวกเขาอีกเลย ไม่รู้ว่ากลับเมืองหลวงไปแล้วหรือไม่”
ทั้งสองพูดถึงตรงนี้ เจ้าของแผงก็ยกอาหารที่พวกเขาต้องการเข้ามา ทั้งสองหยุดปาก เริ่มลงมือกินบะหมี่
ไม่นานสะใภ้ใหญ่โจวก็กินบะหมี่ในชามหมด ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากแล้วพูดว่า “ไม่คิดเลยว่าบะหมี่ของร้านแผงลอยจะอร่อยเช่นนี้”
ชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินนางพูดด้วยสำเนียงเมืองหลวง มองนางอย่างประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางตะเกียบในมือลง พูดว่า “ข้าก็ไม่คิดว่าจะอร่อยถึงเพียงนี้ เอาไว้คราวหน้าเข้ามาในเมืองอีก จะไม่ไปภัตตาคารแล้ว มากินที่ร้านนี้ดีกว่า”
เหวินเปียวและเหวินหู่กินอิ่มนานแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวชำระเงินเสร็จก็พากันขึ้นไปนั่งบนรถม้า เหวินเปียวบังคับรถม้าจากไปอย่างเชื่องช้า
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งย่นหัวคิ้วมองรถม้าจากไป
ชายฉกรรจ์อีกคนถามขึ้น “เป็นอะไร? พวกนางมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ?”
ชายฉกรรจ์ยังคงมุ่นหัวคิ้วพูด “วันนั้นข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นชายสองคนนั้นจากจวนท่านอ๋องฉีทำลับๆ ล่อๆ ตามหลังรถม้าคันนั้น มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันตก”
ชายฉกรรจ์อีกคนถามขึ้น “พวกเขาตามรถม้าไปทำไม หรือพบเบาะแสบางอย่างเข้า?”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “หารู้ไม่”
ชายฉกรรจ์อีกคนถามขึ้นอีก “เช่นนั้นพวกเราก็ควรจะตามพวกเขาไปด้วยหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์มองตามรถม้าที่เคลื่อนไกลออกไปพูดว่า “ช่างเถอะ พวกนางมิใช่คนที่พวกเราจะตามหา พวกเราอย่าเปลืองแรงดีกว่า รีบทำเวลาหาคนที่นายท่านต้องการเถอะ”
ชายฉกรรจ์อีกคนพยักหน้า
หลังจากกินอาหารชำระเงินเรียบร้อย ทั้งสองก็ถือภาพวาดมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เลยว่าครั้งนี้ตัวเองเกือบจะถูกสะกดรอยตามอีกครั้ง ยังคงพูดคุยสรวลเสเฮฮากับสะใภ้ใหญ่โจวในรถโดยสาร
รถม้าวิ่งช้า กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายคล้อยแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ให้สะใภ้ใหญ่โจวไปโรงเย็บกระเป๋านักเรียนอีก แต่ให้นางกลับไปพักผ่อนแทน
นั่งรถม้าไปกลับเป็นเวลาสามชั่วยามกว่า สะใภ้ใหญ่โจวก็รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย จึงไม่ปฏิเสธ กลับไปพักผ่อนที่บ้าน
ตอนกลางคืนเมิ่งชื่อกลับมาบ้าน เห็นสิ่งของที่ซื้อมาบนโต๊ะก็ร้องอุทาน “คนในเมืองหลวงสายตาแหลมคมยิ่งนัก แค่เห็นก็ดูล้ำค่ามีราคา”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบพูด หากรู้ว่านางใช้จ่ายเงินไปเท่าใด เกรงว่าท่านจะดีใจไม่ออกแล้ว
เป็นดังคาด นางเพิ่งจะพูดไม่ทันขาดคำ เมิ่งชื่อก็ถามขึ้น “กำไลงดงามเช่นนี้ จักต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยสินะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกำกวม “ไม่แพง”
เมิ่งชื่อยิ้มถาม “ไม่แพงคือเท่าใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าพูดความจริง ยื่นมือออกไปชูห้านิ้ว “ห้าร้อยตำลึง”
เมิ่งชื่อร้องอุทาน “ห้าร้อยตำลึง!”
เห็นปฏิกิริยาของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวแอบลอบดีใจที่ตัวเองไม่ได้พูดความจริง หากเมิ่งชื่อรู้ว่ากำไลนี้ต้องจ่ายเงินไปหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง คาดว่าตกค่ำจักต้องเจ็บปวดใจจนหลับไม่ลงเป็นแน่แท้
แค่นี้เมิ่งชื่อก็ปวดใจมากแล้ว ตำหนิที่นางใช้จ่ายเงินมากเกินไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านแม่ ตอนที่เจี๋ยเอ๋อร์หายตัวไป โชคดีที่ได้คุณชายเปา ข้าถึงช่วยเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย บุญคุณนี้ข้าระลึกถึงอยู่เสมอ อีกอย่าง คุณหนูซุนก็ดีต่อข้ามาก ข้ามองขอบขวัญที่มีมูลค่าให้ก็สมควรแล้ว”
ได้ฟังนางเอ่ยถึงตอนที่เจี๋ยเอ๋อร์หายตัวไป เมิ่งชื่อก็ไม่บ่นกระปอดกระแปดอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจโล่งอก
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ร่างกายเมิ่งเชี่ยนโยวกระฉับกระเฉงขึ้นมาก จึงบอกกับเมิ่งชื่อว่าตนเองจะล่วงหน้าเข้าอำเภอไปก่อนหนึ่งวัน
เมิ่งชื่อเริ่มเป็นห่วง จะให้เมิ่งเสียนตามไปด้วยให้ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดจะส่งสินค้าบางส่วนไปให้อันอี่หยวน จึงยินยอมตกลง บอกเมิ่งชื่อว่าเมื่อเสร็จงานแต่งงานของพวกเขา นางและเมิ่งเสียนจะรีบกลับมาทันที
เมิ่งชื่อทำราวกับว่าทั้งสองคนจะเดินทางไกลเป็นแรมปี กำชับย้ำแล้วย้ำอีก
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนรับปากทุกข้อแล้ว ก็ให้เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้าไปบรรทุกมันฝรั่งแผ่นหนึ่งพันห่อที่โรงงาน แล้วนั่งรถม้าเข้ามาถึงตัวอำเภอพร้อมเมิ่งเสียน
ถึงอำเภอแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าร้านของอันอี่หยวนอยู่ที่ไหน จึงสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้ามาหน้าร้านเซี่ยเจียงเฟิง
เหวินเปียวจอดรถม้าสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนลงจากรถม้า แล้วเดินเข้าไปในร้าน
พนักงานในร้านเห็นนางเข้ามา รีบเข้ามาทักทายต้อนรับ “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “นายท่านของพวกเจ้าเล่า?”
พนักงานตอบอย่างอ่อนน้อม “คุณชายเปาจะแต่งงานแล้ว นายท่านของพวกเราเข้าไปช่วยงาน หากแม่นางมีธุระ ผู้น้อยจะรีบไปรายงานนายท่านให้เดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว ข้าตรงไปเองดีกว่า”
พนักงานเดินพินอบพิเทาออกมาส่งนางนอกร้าน
เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้ามาถึงหน้าศาลาว่าการ
ประตูใหญ่หน้าศาลาว่าการถูกประดับประดาไปด้วยโคมแดงมงคล เจ้าหน้าที่และบ่าวไพร่กำลังขัดเช็ดสิงโตหินหน้าประตูศาลาว่าการอย่างขะมักขะเม้น
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งจำเมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งจะลงมาจากรถม้าได้ เดินมาเบื้องหน้านางอย่างเร็วรี่ พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว นายท่านของพวกเราสั่งการพวกเราแต่เช้า บอกว่าพอท่านมาถึงไม่ต้องรายงาน ให้พาเข้าไปที่เรือนด้านหลังได้ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ให้เฝ้ารถม้าให้ดี ถึงเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไปเรือนด้านหลัง ภายในลานเรือนมีแต่เงาของบ่าวไพร่เดินขวักไขว่ไปมา
เรือนด้านหลังของศาลาว่าการมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีเพียงเรือนหลักหนึ่งแห่งและเรือนรองสองแห่ง ในตอนนี้ถูกประดับด้วยโคมแดงจนทั่ว เป็นภาพมงคลที่เต็มไปด้วยความปิติยินดี เจ้าหน้าที่ยืนในลานบ้าน เปล่งเสียงดังกล่าวรายงานเข้าไปด้านใน “คุณชายขอรับ แม่นางเมิ่งมาแล้วขอรับ!”