ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 206 ระแวดระวัง
เปาอีฝานก็อดไม่ไหวหัวเราะลั่น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
หลังจากจุดไฟติดแล้ว นำยาที่แช่น้ำแล้ววางบนเตา เปาอีฝานสั่งบ่าวรับใช้ให้พาเซี่ยเจียงเฟิงและจูหลานไปล้างหน้าล้างตา ตนเองนั่งยองคอยต้มยา
สาวรับใช้เดินเข้ามา กล่าวอย่างนบนอบ “คุณชายเจ้าคะ ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจัดการเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตามอง
เปาอีฝานโบกมือ “ไม่ต้อง เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”
สาวใช้ไม่ขยับ พูดเกลี้ยกล่อม “แต่ไหนแต่ไรคุณชายไม่เคยทำงานเช่นนี้มาก่อน หากฮูหยินทราบเข้า จักต้องปวดใจ ให้ข้าเป็นคนทำเถอะเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงพูด “นี่เป็นสูตรยาที่ข้าเขียนและเพิ่งไปจัดมาใหม่ให้ท่านฮูหยิน ข้ากลัวจะมีคนเล่นลูกไม้ ถึงให้คุณชายเปาลงมือต้มยาด้วยตัวเอง”
สาวใช้ชะงักอึ้ง สีหน้าท่าทางเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย พลันพูดขึ้น “ข้าทราบแล้ว เช่นนั้นคุณชายค่อยๆ ต้มไปเถิด หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยเรียกข้าเข้ามา” พูดจบ ทำความเคารพแล้วหุนหันจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองทั้งหมดนี้อย่างไม่แสดงอาการ กระทั่งสาวใช้จากไปไกลแล้ว ถึงแสร้งพูดเรื่อยเปื่อย “สาวรับใช้คนนี้ช่างมีน้ำใจนัก รู้จักเข้ามาช่วยเหลือ”
เปาอีฝานซับเหงื่อบนใบหน้า พูดว่า “เจ้าหมายถึงชิวผิงหรือ ตอนนางอายุได้สิบปีท่านแม่ข้าขึ้นเขาไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เก็บนางมาได้จากข้างทาง ในตอนนั้นนางหิวโซเกือบไม่รอดแล้ว ท่านแม่ข้าจิตใจดี พานางกลับมาบ้าน นับแต่นั้นนางก็อยู่ที่นี่มาตลอด ปีนี้อายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว ท่านแม่ข้าคิดจะหาคู่ครองที่ดี ให้นางได้แต่งงานออกไป นางกลับไม่ยินยอม บอกว่าท่านแม่ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตนาง นางอยากอยู่รับใช้ข้างกายท่านแม่ข้า”
“หมายความว่า พวกท่านไม่รู้ประวัติของนาง และไม่มีสัญญาทาสของนาง?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เปาอีฝานตรวจดูโถยา ถึงตอบว่า “ท่านแม่ข้าบอกว่าอย่างไรนางก็เป็นเพียงลูกคนยากจน จึงไม่ได้ให้คนไปสืบถาม นางไม่ใช่คนที่ครอบครัวเราซื้อมา ย่อมไม่มีสัญญาทาส”
“เช่นนั้นนางเคยพูดหรือไม่ว่าตัวเองเป็นคนที่ไหน บ้านอยู่แห่งใด?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“ตอนนั้นนางอายุยังน้อย จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนที่ไหน พูดแค่ว่าพลัดหลงกับบิดามารดาที่หนีภัยพิบัติมาด้วยกัน ทำให้ตกทุกข์อยู่ณ ที่นั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจแจ่มแจ้ง
เซี่ยเจียงเฟิงและจูหลานล้างหน้าล้างตากลับมา เห็นเปาอีฝานเหงื่อไหลไคลย้อยไปทั้งหน้า เซี่ยเจียงเฟิงพูดว่า “ให้ข้าทำบ้าง เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
เปาอีฝานมอบพัดในมือให้เขา ลุกมายืนข้างเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งกำชับบ่าวรับใช้ไปยกเก้าอี้สองตัวเข้ามา แบ่งให้จูหลานนั่งคนละตัว
ทั้งสามเสวนาพาทีกันครู่หนึ่ง จูหลานก็เข้าไปสับเปลี่ยนแทนเซี่ยเจียงเฟิง
หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเช่นนี้หลายครั้ง ในที่สุดก็ต้มยาเสร็จ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เปาอีฝานเทยาออกมาด้วยความระวัง ทั้งกำชับจูหลาน “พวกเราจะไปป้อนยาให้ฮูหยินเปา เจ้าคอยดูกากยาให้ดี อย่าให้ใครเข้าใกล้เด็ดขาด”
จูหลานรู้สึกว่าวันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวมีท่าทีแปลกประหลาด เอ่ยปากถามขึ้น “กากยามีอะไรน่าดูกัน ต้องเอาไปเททิ้งไม่ใช่หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา “เหตุใดถึงมีคำถามมากมายเช่นนี้ ให้เจ้าดูก็ดูไปเถิด”
ถูกนางเอ็ดใส่ จูหลานลูบจมูก ไม่กล้าเปล่งเสียง
เซี่ยเจียงเฟิงมองเขาอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
จูหลานถลึงตาใส่เขา ยกเก้าอี้มานั่งข้างโถยาอย่างเชื่อฟัง คอยมองโถยาตาแทบไม่กะพริบ
เห็นท่าทีว่าว่านอนสอนง่ายของเขา ทั้งสามก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้
ทั้งสามเข้ามาในห้อง ฮูหยินเปายังคงหลับสนิท
เปาอีฝานวางยาลงบนโต๊ะ เดินมาข้างเตียง ร้องเรียกเสียงแผ่ว “ท่านแม่ ตื่นเถอะ ลุกขึ้นมาทานยาได้แล้ว”
ฮูหยินเปาฝืนลืมตาขึ้น เห็นเปาอีฝานและคนอื่นๆ ขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปประคองนาง
แค่การเคลื่อนไหวง่ายๆ นี้ ทำเอาฮูหยินเปาเหนื่อยจนหายใจหอบ
เห็นอาการของนาง สีหน้าเปาอีฝานกลัดกลุ้มกังวล รอบตัวเต็มไปด้วยความเคืองแค้น
ฮูหยินเปาราวกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารของเขา ถามขึ้น “ฝานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรหรือ?”
เปาอีฝานควบคุมความรู้สึกตัวเอง ฝืนยกยิ้มอ่อน เปลี่ยนหัวข้อเรื่องของฮูหยินเปา พูดอย่างละมุน “ท่านแม่ ยาต้มเสร็จแล้ว ท่านพักสักครู่ แล้วค่อยดื่มยา”
ฮูหยินเปาพยักหน้า ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างคาดหวัง “แม่นางเมิ่ง หลังจากข้าดื่มยานี้แล้ว พรุ่งนี้จะเข้าร่วมพิธีแต่งงานของฝานเอ๋อร์ได้ใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ฮูหยินวางใจ ขอเพียงท่านดื่มยาตรงเวลา ไม่เพียงจะเข้าร่วมงานแต่งงานของพวกเขาได้ ภายหน้ายังจะได้อุ้มลูกของพวกเขา วิ่งไล่จับหลานตัวอ้วนกลมของท่านไปทั่วลาน”
ฮูหยินเปาปลาบปลื้มปิติ พูดเร่งเร้า “รีบยกยาเข้ามา!”
สาวรับใช้เดินขึ้นหน้า คิดจะเข้าไปยกยาบนโต๊ะ
“ข้าเอง” เปาอีฝานพูด
สาวรับใช้มองฮูหยินเปา
ฮูหยินเปาสูดลมหายใจเข้าลึก พูดอย่างอ่อนแรง “ให้ชิวผิงทำเถอะ เจ้าเป็นชายอกสามศอกจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
ชิวผิงคิดจะยกถ้วยยาขึ้นอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาหนึ่งก้าว ยกถ้วยยาขึ้น “ข้าเอง”
ชิวผิงมองนางอย่างตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองมือซ้ายของนางผ่านๆ แวบหนึ่ง ยกถ้วยยาขึ้น เดินไปนั่งข้างกายฮูหยินเปา
ฮูหยินเปาโบกมือ “แม่นางเมิ่งเป็นแขก จะให้เจ้ามาป้อนยาให้ข้าได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าและพี่ซุนเป็นเพื่อนรักกัน หากไม่เพราะพรุ่งนี้จะแต่งงาน พี่ซุนจะต้องเข้ามาป้อนยาให้ท่านด้วยตัวเอง ถือเสียว่าข้าแสดงความกตัญญูแทนนาง ท่านมิต้องปฏิเสธแล้ว”
ฮูหยินเปามีความสุขกล่าวยกยอไม่ขาดปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวตักยาในถ้วยค่อยๆ ป้อนให้ฮูหยินเปาทีละช้อน
กว่าฮูหยินเปาจะดื่มเสร็จก็ทำเอาเหนื่อยหอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวซับมุมปากให้นางอย่างเอาใจใส่ พูดเสียงแผ่ว “ท่านนอนพักอีกหน่อยเถิด เมื่อท่านฟื้นอีกครั้งจะรู้สึกสบายตัวขึ้น”
ฮูหยินเปาพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวประคองนางนอนลงบนเตียง
ฮูหยินเปาหลับตาลงช้าๆ ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับสาวใช้ในห้อง “ให้ท่านฮูหยินได้พักผ่อนเต็มที่ ต่อให้มีเรื่องหนักหนารุนแรงเพียงใดก็ห้ามพวกเจ้ารบกวนนาง”
สาวรับใช้รับคำ
เดินออกมานอกห้องพร้อมกันทั้งสามคน
เปาอีฝานมองดูท้องฟ้าแล้วสั่งการบ่าวรับใช้ “ไปตั้งสำรับอาหารที่เรือนข้า”
สิ้นเสียงเขา เสียงของอันอี่หยวนก็ดังขึ้น “ไม่ต้องแล้ว ข้าจองห้องรับรองที่ภัตตาคารไว้ พวกเราไปกินด้วยกันเถอะ”
จากนั้นเดินเข้ามาในลานเรือนอย่างมีความสุขพร้อมเมิ่งเสียน
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “อีกประเดี๋ยวข้าต้องไปแสดงความยินดีบ้านท่านพี่ซุน กินที่บ้านคุณชายเปาเถิด เอาไว้วันหลังมีเวลา พวกเราค่อยไปภัตตาคาร กินดื่มกันให้อิ่มหนำ”
สถานการณ์ในวันนี้ค่อนข้างพิเศษ อันอี่หยวนจึงไม่ยืนหยัดอีก “ก็ได้ เอาไว้ครั้งหน้าข้าจะขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงแม่นางให้อิ่มหนำสำราญ”
หลังกินอาหารเสร็จ หลังจากจัดแจงเตรียมการให้เมิ่งเสียน เหวินเปียวและเหวินหู่เรียบร้อย ก็ตรงมาจวนซุนพร้อมกับอันอี่หยวน
คนเฝ้าประตูจวนซุนรู้จักอันอี่หยวน เห็นเขาเข้ามา รีบเข้าไปทักทายอย่างอ่อนน้อม “คุณชายอัน ท่านมาแล้ว”
อันอี่หยวนพยักหน้า “รีบไปเรียนคุณหนูของพวกเจ้า บอกว่าแม่นางเมิ่งมาถึงแล้ว”
คนเฝ้าประตูไม่รู้ว่าแม่นางเมิ่งเป็นใคร ทว่าเห็นนางมาพร้อมอันอี่หยวน เดาว่าคงจะเป็นคนที่คุณหนูรู้จัก หลังจากบอกให้พวกเขารอสักครู่ ก็วิ่งเข้าไปรายงาน
เพียงอึดใจเดียว ภายในจวนก็มีเสียงเร่งฝีเท้าถี่ดังแว่วมา ตามมาด้วยเสียงปลื้มปริ่มของซุนฮุ่ย “น้องโยวเอ๋อร์ ข้ารอตั้งแต่เช้ามาจนถึงตอนนี้ เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งมา?” สิ้นเสียง คนก็มายืนเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้ามาแต่เช้าแล้ว มัวเสียเวลาอยู่บ้านฝ่ายเจ้าบ่าวเล่า”
ซุนฮุ่ยกล่าวทักทายอันอี่หยวนหน้าแดงเรื่อ คล้องแขนเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสนิทสนมเดินเข้าไปในจวน “วันนี้เจ้ามาแล้ว จะต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าให้ดี พอคิดว่าพรุ่งนี้ก็จะต้องแต่งงาน ข้าก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว”
อันอี่หยวนเดินตามเข้ามาในจวน
ซุนฮุ่ยสั่งให้บ่าวคอยดูแลอันอี่หยวน จากนั้นลากเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในห้องตัวเองอย่างไม่รอช้า
ซุนฮุ่ยโบกมือให้สาวใช้ภายในห้องทั้งหมดออกไป แล้วดึงมือนางมาพูดว่า “วันนี้ท่านแม่มาพร่ำพูดเรื่องการแต่งงานตลอดทั้งเช้ากับข้า ข้าฟังแล้วหวาดกลัวยิ่งนัก แทบไม่อยากแต่งงานแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพูด “ท่านและคุณชายเปาไม่เหมือนคู่อื่นๆ พวกท่านหมั้นหมายกันมาหลายปี เข้าอกเข้าใจกันและกัน เป็นคู่ครองที่สมัครสมานรักใครกันโดยแท้”
“ข้าก็คิดเช่นนี้มาตลอด กระทั่งเมื่อวานข้าก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้พอท่านแม่พูดเรื่องดำรงเผ่าพันธุ์ สืบทอดทายาท คอยดูแลสามีเลี้ยงลูกให้ดี ข้าก็ตื่นกลัวขึ้นมาทันที” ซุนฮุ่ยพูดระบายพร้อมตบหน้าอกไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวขบขันนาง “ท่านตื่นกลัวที่จะต้องดูแลสามีเลี้ยงลูก หรือเรื่องที่ต้องสืบทอดทายาทกันเล่า?”
ได้ยินวาจาแฝงความหยอกเย้าของนาง ซุนฮุ่ยก็ให้หน้าแดงก่ำ ทุบนางเบาๆ กลบเกลื่อน “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไรกัน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน
ซุนฮุ่ยก็หัวเราะตาม ความรู้สึกตื่นกลัวผ่อนคลายลงไม่น้อย
“จริงสิ เจ้าไปทำอะไรที่บ้านเปาอีฝานตลอดทั้งเช้าหรือ? เหตุใดถึงเพิ่งจะมาหาข้าตอนนี้?” หลังจากหัวเราะเสร็จ ซุนฮุ่ยก็ถามขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักค้างสีหน้าเล็กน้อย แล้วพูดว่า “คุณชายเปารู้ว่าข้าพอจะรู้วิชาการแพทย์ ให้ข้าช่วยตรวจอาการให้ฮูหยินเปา กว่าจะเสร็จธุระ ก็ยามเที่ยงแล้ว พอข้ากินข้าวเที่ยงเสร็จถึงได้เพิ่งเข้ามา”
“โอ้โห เจ้ายังรู้วิชาการแพทย์ด้วย?” ซุนฮุ่ยถามอย่างประหลาดใจระคนดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รู้นิดหน่อย แต่มิได้เชี่ยวชาญ พอจะรักษาอาการเล็กๆ น้อยๆ ได้”
“เช่นนั้นอาการป่วยของท่านป้าเปาเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อเตรียมงานแต่งงาน ข้าไม่ได้เข้าไปสี่ห้าวันแล้ว” ซุนฮุ่ยถามอย่างเป็นห่วง
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบแหย่เย้า “อาการป่วยของท่านป้าเปาไม่มีอะไรหนักหนา รอเพียงจะได้อุ้มหลานตัวขาวอ้วนกลมของนางเท่านั้น”
ซุนฮุ่ยให้หน้าแดงก่ำอีกครั้ง ยื่นสองมือออกมา พูดข่มขู่นาง “หากเจ้ากล้าหยอกเย้าข้าอีก ข้าจะจั๊กจี้เจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับลูกวิงวอนนาง “ท่านพี่สาวแสนดี ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปไม่กล้าอีกแล้ว”
ทั้งสองหัวเราะครื้นเครง
สาวใช้นอกห้องได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานของพวกนาง ต่างก็กังขา ทั้งสองคุยเรื่องอะไรกัน ถึงหัวเราะอย่างมีความสุขได้เช่นนี้
หลังจากแหย่เย้ากันเสร็จ ทั้งสองก็คุยกันอย่างสนิทสนมต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกำไลมังกรหงส์ที่เตรียมไว้ออกมา วางใส่มือซุนฮุ่ย “ท่านพี่ซุน นี่เป็นของขวัญที่ข้ามอบให้ท่าน ท่านดูก่อนว่าชอบหรือไม่?”
ซุนฮุ่ยรับมา คลี่ออกอย่างระวัง แล้วร้องอุทาน “สวรรค์ เป็นกำไลที่งดงามยิ่งนัก!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหยิบกำไลออกมา ใส่ที่ข้อมือนาง พยักหน้าพึงพอใจ “ผิวขาวเนียนของท่านพี่ซุนประดับด้วยกำไลนี้ช่างงดงามยิ่งนัก”
ซุนฮุ่ยก็ชมชอบเช่นกัน หมุนข้อมือที่ใส่กำไลไปซ้ายทีขวาที แล้วถามว่า “กำไลราคามูลค่าสูงเช่นนี้ จักต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยสินะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เงินทองไม่สำคัญ ท่านพี่ซุนชอบก็พอแล้ว”
ทั้งสองคุยเล่นกันอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงลุกขึ้นกล่าวขออภัย “ท่านพี่ซุน เดิมวันนี้ข้าควรอยู่เป็นเพื่อนท่านที่จวนซุนหนึ่งคืน ทว่าอาการป่วยของฮูหยินเปายังวางใจไม่ได้ ข้าจักต้องกลับไปที่เรือนคุณชายเปา”
ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวส่งข่าวกลับมาว่าจะเข้ามาก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน ซุนฮุ่ยก็เอาแต่เฝ้ารอ วันนี้ในที่สุดนางก็มาถึงแล้ว กลับไม่ทันไรก็จะไปอีก ซุนฮุ่ยอาลัยอาวรณ์ แต่ก็รู้ว่าอาการป่วยของฮูหยินเปาไม่ใช่เรื่องเล็ก จะรอช้าไม่ได้ จำต้องพยักหน้าอย่างอาวรณ์
เห็นนางทำท่าทางเศร้าสร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบประโลม “พรุ่งนี้พวกเราก็จะได้เจอกันอีก ข้ารับประกัน พรุ่งนี้หลังจากคุณชายเปารับตัวท่านมา ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่กับท่านในห้องหอ ต่อให้คุณชายเปาเข้ามา ข้าก็จะไล่เขาออกไป”
ซุนฮุ่ยหัวเราะร่วน
ทั้งสองเดินออกมาจากห้องซุนฮุ่ย ซุนฮุ่ยสั่งบ่าวรับใช้ไปเรียกอันอี่หยวน หลังจากส่งทั้งสองออกไปจากจวน มองดูคนทั้งคู่จนลับตาถึงหันหลังกลับเข้าจวน
อันอี่หยวนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่ศาลาว่าการ
ด้านหน้าศาลาว่าการประดับประดาด้วยโคมไฟแดง ผูกริบบิ้นหลากสีสดใส ทว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารรุนแรง ขมวดคิ้วมุ่น มองไปโดยรอบ ถนนหน้าศาลาว่าการมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ไม่มีอะไรให้รู้สึกผิดแปลกแตกต่างจากเมื่อก่อน
แต่สัมผัสที่หกของเมิ่งเชี่ยนโยวแม่นยำมาตลอด ไม่มีทางที่ตัวเองจะคิดมากไปเอง จึงหันไปพูดกับอันอี่หยวน “ข้าเคยมาศาลาว่าการหลายครั้ง แต่ละครั้งได้แต่รีบมารีบกลับ ไม่เคยเดินวนรอบศาลาว่ากลางโดยทั่วสักครั้ง อย่างไรวันนี้ก็ไม่มีธุระอันใด รบกวนท่านช่วยพาข้าเดินโดยรอบหน่อยเถอะ”