ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 214-1 ซุนเหลียงไฉถูกลงโทษ
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกจับไต๋แผนการได้ แลบลิ้นซุกซน เปลี่ยนมากอดแขนข้างหนึ่งของเมิ่งชื่อ แสดงกิริยาเด็กสาวไร้เดียงสา พูดออดอ้อน “ข้ามิใช้เด็กน้อยแล้ว ไม่เกิดเรื่องอันใดหรอก อีกอย่างก็ยังมีพี่ใหญ่ตามไปด้วย”
“ก็เพราะว่าเจ้าเป็นสาวแล้ว แม่ถึงเป็นห่วง หากเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น เสียใจไปทั้งชีวิตก็สายไปแล้ว” เมิ่งชื่อพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นแผล็บๆ ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง
เมิ่งเสียนเห็นนางยอมจำนน แอบหัวเราะอยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง เมิ่งเสียนรีบร้อนอธิบาย “ท่านแม่ ฮูหยินเปาไม่สบาย น้องสาวช่วยรักษาอาการให้นาง พวกเราถึงได้กลับกันมาช้า”
เมิ่งชื่อถูกเปลี่ยนเรื่อง ถามอย่างเป็นกังวล “ฮูหยินเปาป่วยเป็นอะไรหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาชื่นชมให้เมิ่งเสียน แล้วกอดแขนเมิ่งชื่อเดินเข้าไปด้านในพลางตอบนางว่า “ท่านป้าเปา ได้รับเชื้อไข้ลมมาเดือนกว่าแล้ว หมอในอำเภอคงจะไม่กล้าใช้ยาแรงกับนาง อาการป่วยของนางจึงยิ่งรุนแรง แทบจะลุกจากเตียงไม่ได้ หลังจากข้าไปถึง คุณชายเปาขอร้องให้ข้าช่วยดูอาการ ข้าไม่อาจปฏิเสธได้ จึงใช้เวลาช่วงเช้าวันนี้รักษาให้นาง สุขภาพนางไม่มีอะไรหนักหนาแล้ว เพียงแค่ล้มป่วยมานาน ร่างกายจึงยังอ่อนแออยู่บ้าง”
เมิ่งชื่อพยักหน้า “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว เพิ่งจะแต่งสะใภ้เข้าบ้านก็มาล้มหมอนนอนเสื่อ จะไม่ดีกับคุณหนูซุนไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งชื่อบ่นกระปอดกระแปดอีกสองสามคำ เมิ่งเชี่ยนโยวล้วนพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง เมิ่งชื่อถึงยอมให้นางกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวที่เดิมไม่ง่วงงุน ครั้นพอเอนตัวลงบนเตียงเตาครุ่นคิดเรื่องราว ไม่ทันไรก็เคลิ้มหลับไป ยามที่ตื่นขึ้นมานั้น ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ในลานบ้านเต็มไปด้วยเสียงร้องเจี๊ยวจ้าวอย่างสนุกสนานของเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง
เมิ่งเชี่ยนโยวขยี้ตางัวเงีย นอนฟังเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของพวกเขาอย่างสบายอารมณ์ คิดว่าหากเป็นเช่นนี้ไปได้ตลอดจะดีเพียงใด นี่ถึงจะเป็นชีวิตที่ตัวเองต้องการมาตลอด
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ ให้เมิ่งเจี๋ยเข้าไปดูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแล้วหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงขานรับออกมา “ข้าตื่นแล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ลุกขึ้นจัดการเนื้อตัว เดินออกมาจากในห้อง
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนาง ดวงตาลุกวาว
เมิ่งเชี่ยนโยวซักถามเขาและซุนเหลียงไฉถึงการเรียนในช่วงนี้
เรื่องเรียนไม่เป็นปัญหาสำหรับเมิ่งอี้เซวียนอยู่แล้ว มีแต่ซุนเหลียงไฉที่ไม่ไหว อึกๆ อักๆ พูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดว่า “ดูท่าช่วงเวลานี้นายน้อยซุนจะมีชีวิตสุขสำราญเกินไป แม้แต่เรื่องที่สมควรต้องทำก็ไม่รู้แล้ว”
ซุนเหลียงไฉตกใจโบกมืออุตลุด “ไม่ใช่ๆ ข้าตั้งใจเรียนแล้ว เพียงแต่ท่านอาจารย์พูดลึกเกินไป ข้าเลยฟังไม่เข้าใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็ขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นพี่เมิ่งเหรินฟังเข้าใจหรือไม่?”
“เขาย่อมต้องเข้าใจ ข้าจะไปเทียบกับเขาได้อย่างไร” ซุนเหลียงไฉตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าเทียบกับใครได้เล่า เจี๋ยเอ๋อร์หรือว่าชิงเอ๋อร์?”
ซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบๆ ไม่กล้าปริปาก
“ข้าว่าเจ้าไปเรียนที่สถานศึกษาพร้อมเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เถอะ ท่านอาจารย์จะได้มีเวลาเหลือมาสอนสั่งพี่เมิ่งเหริน” เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาพูดขึ้น
ซุนเหลียงไฉร้องพูด “ข้าไม่ไปเรียนสถานศึกษากับเด็กน้อยพวกนั้นแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำสีหน้าขรึม “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่เอา เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
ซุนเหลียงไฉลนลานรับประกัน “ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียน พยายามทำการบ้านให้เสร็จ”
“ก็ดี นับตั้งแต่คืนวันนี้ไป ข้าจะตรวจการบ้านเจ้า หากเจ้าทำไม่เสร็จ พรุ่งนี้เช้าต้องยืนท่านั่งม้าเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม”
ซุนเหลียงไฉร้องโอดครวญ หันไปมองเมิ่งเสียน หวังว่าเขาจะช่วยพูดแทนตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวอ่านความคิดเขาออก พูดให้เขาเสียกำลังใจ “เจ้ามองพี่ใหญ่ไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ช่วยเจ้าหรอก”
ซุนเหลียงไฉบ่นพึมพำไม่พอใจ “มีพี่เขยเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร สู้ไม่มีเสียดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหูไว ได้ยินเขาพูดชัดเจน โมโหจนขำ “เจ้าควรจะยินดีที่พี่สาวเจ้ายังไม่แต่งเข้ามา ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่ลงโทษให้ยืนท่านั่งยองธรรมดาๆ นี้แล้ว คาดว่าอาจจะตีจนเจ้าต้องร้องขอชีวิตด้วย”
ซุนเหลียงไฉร้องโอดครวญอีกครั้ง ไม่มีแม้แต่อารมณ์กินข้าว ฟุบไปบนโต๊ะอาหาร พูดอย่างไม่ยอม “เหตุใดข้าถึงโชคร้าย มีพี่สาวเยี่ยงนี้ได้”
คนทั้งหมดต่างขบขันในปฏิกิริยาของเขา
หลังกินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบท่อนไม้ขนาดเล็กที่ไม่ได้ใช้มานานออกมา ชั่งน้ำหนักด้วยมืออีกข้างเดินเข้ามาในห้องนอนพวกเขา
ซุนเหลียงไฉและเมิ่งอี้เซวียนกำลังเตรียมจะทำการบ้าน เห็นนางถือท่อนไม้เข้ามา พูดตะกุกตะกักขึ้นว่า “เจ้า เจ้าวางท่อนไม้ในมือลงก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ซุนเหลียงไฉถูกมองจนขนลุกชูชัน รีบพูดประนีประนอม “ก็ได้ เจ้าอยากถือก็ถือไป แต่เจ้าห้ามตีข้าอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร นั่งลงบนเก้าอี้อีกด้าน
ช่วงเวลานี้เมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างยุ่ง ไม่มีเวลาตรวจตราเขา ซุนเหลียงไฉเอาแต่เล่นจนเพลิน ไฉนเลยจะมีแก่ใจร่ำเรียนหนังสือ แม้โจวหลี่จะไม่พอใจในตัวเขาค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็เพิ่งเป็นอาจารย์ครั้งแรก ไม่รู้ว่าสมควรจะสอนสั่งเขาอย่างไร บวกกับตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวฝากฝังมิได้พูดกับเขาชัดแจ้ง ว่าจะต้องให้ความรู้ซุนเหลียงไฉถึงขั้นไหน ดังนั้นโจวหลี่จึงยอมหลับตาข้างหนึ่ง ให้ซุนเหลียงไฉมามั่วอยู่ในห้องเรียน ดังนั้นช่วงเวลานี้การเรียนของซุนเหลียงไฉจึงย่ำแย่เป็นอย่างมาก ทั้งโคลงกวี กลยุทธ์ เขียนบทความ ล้วนไม่ได้เรื่อง ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวชั่งน้ำหนักท่อนไม้ลงนั่งข้างตัวเอง จิตใจหวาดผวา ยิ่งทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ถามมาก เพียงถามซุนเหลียงไฉว่าวันนี้ท่านอาจารย์สอนสิ่งใด ให้เขาท่องออกมาก็พอ
ซุนเหลียงไฉสะท้อนแววตาล่อกแล่ก พูดตะกุกตะกัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ว่าอะไร จับท่อนไม้ในมือเคาะไปที่เขา ซุนเหลียงไฉเปล่งเสียงหวีดร้อง เมิ่งชื่อที่อยู่ในเรือนหลักได้ยินเสียงหวีดร้องทำเอาสะดุ้งตัวสั่น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดมากกับซุนเหลียงไฉอีก เรียกร้องให้เขาท่องสิ่งที่อาจารย์สอนในวันนี้ให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะนานแค่ไหน นางก็รอได้
ซุนเหลียงไฉตัวสั่นงันงก ท่องกุกๆ กักๆ พอผิดพลาด ท่อนไม้ในมือเมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟาดลงมา
เมิ่งชื่ออยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า อดใจไม่ไหว คิดว่าสองครอบครัวก็เกี่ยวดองกันแล้ว นางปฏิบัติเช่นนี้ต่อซุนเหลียงไฉดูไม่เป็นการดี คิดจะไปห้ามปราบนาง
เมิ่งเอ้ออิ๋นรั้งนางไว้ พูดว่า “ช่วงเวลาก่อนหน้านี้เหลียงไฉเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้กลับไปมีสภาพเหมือนก่อน เป็นเพราะยังไม่แน่วแน่พอ หากไม่ใช้ยาแรง ให้เขาเปลี่ยนนิสัยไม่ดีนี้ ภายหน้าให้ทำการสิ่งใดก็ไม่มีทางทำให้ดีได้ โยวเอ๋อร์ทำก็เพราะหวังดีกับเขา เจ้าอย่าได้เข้าไปก่อกวนเลย”
เมิ่งชื่อพูดอย่างเป็นกังวล “ตอนนี้พวกเราเกี่ยวดองกับซุนซ่านเหรินแล้ว ซุนเหลียงไฉก็คือน้องชายภรรยาของเมิ่งเสียน ไม่ว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ใครๆ ต่างก็เฝ้ามองครอบครัวเรา เหลียงไฉส่งเสียงร้องลั่นเช่นนี้ หากคนอื่นมาได้ยินเข้า นำไปพูดต่อ บอกว่าพวกเราทารุณเขาจะเป็นเรื่องยุ่งได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่สนใจ “ขอเพียงซุนซ่านเหรินไม่ว่าอะไร ใครอยากพูดสิ่งใดก็ให้เขาพูดไป รอให้โยวเอ๋อร์สอนเหลียงไฉจนได้ดีแล้ว คำซุบซิบนินทาเหล่านั้นก็จะหายไปเอง”
เมิ่งชื่อทอดถอนใจ “จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่การพูดปากต่อปากอย่างไรก็ไม่ดีต่อชื่อเสียงของครอบครัวเรา ทั้งไม่ดีต่อชื่อเสียงของโยวเอ๋อร์ด้วย”
เมิ่งเอ้ออิ๋นหว่านล้อมนาง “โยวเอ๋อร์ทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของนาง ข้าว่าช่วงนี้เจ้าลูกคนนี้มักมีอารมณ์ฉุนเฉียว จักต้องมีเรื่องอัดอั้นในใจที่บอกพวกเราไม่ได้ พวกเราอย่างไปเพิ่มความลำบากให้นางอีก ให้นางจัดการไปเถิด อย่างไรนางก็ไม่คิดร้ายต่อเหลียงไฉ”
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาว ไม่พูดอะไรอีก
ล่วงมาถึงกลางดึก ในลานเรือนยังคงมีเสียงร้องโหยหวนของซุนเหลียงไฉดังเป็นระลอก แม้แต่สองผู้เฒ่าหลี่ต้าฉุยและภรรยาที่อาศัยในเรือนอีกด้านก็ได้ยินเสียงร้องนี้ เกิดความกังขา ใครกันที่หาเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยว ถูกนางตีจนน่าสังเวชเช่นนี้
เมิ่งเสียวเถี่ยที่อยู่อีกเรือนได้ยินเสียงร้องโหยหวน ก็นอนไม่หลับ เฝ้าคิดอย่างละเอียดว่าช่วงเวลานี้ตนเองมีสิ่งใดที่ทำไม่ถูกต้องหรือไม่
กระทั่งเช้าวันต่อมาขณะที่ทุกคนตื่นขึ้นมาฝึกวรยุทธ์แต่เช้า ซุนเหลียงไฉกลับเดินสะโหลสะเหลเข้ามา พวกอู๋ต้าเห็นสภาพน่าสังเวชของเขา หัวใจสั่นวูบ ต่างพยายามยืดตัวให้ตรงแน่ว เลี่ยงไม่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจหาเรื่องกับพวกเขา
เหวินเปียวและเหวินหู่มองดูพวกเขาที่เช้าวันนี้ดูคึกคักฮึกเหิมผิดปกติ ให้รู้สึกฉงนสงสัย
หลังจากฝึกฝน ล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวไปส่งซุนเหลียงไฉเข้าเรียนด้วยตัวเอง
เมิ่งเหรินมารออยู่แล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมาด้วย เข้าไปทักทายอย่างสนิทสนม
เมิ่งเชี่ยนโยวซักถามว่าเขาเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?
เมิ่งเหรินตอบอย่างดีใจว่าท่านอาจารย์สอนได้ดีกว่าอาจารย์ในอำเภอ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองซุนเหลียงไฉแวบหนึ่ง ซุนเหลียงไฉก้มหน้าก้มตาไม่กล้าปริปาก
โจวหลี่เข้ามาสอนหนังสือ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ด้วย ชะงักเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งเหรินและซุนเหลียงไฉเข้าไปรอในห้อง แล้วพูดกับโจวหลี่ว่า “ท่านอาจารย์ รบกวนท่านเพิ่มความเข้มงวดในการสั่งสอนซุนเหลียงไฉด้วยเถอะ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนขลาดเขลา เพียงแค่ถูกคนในครอบครัวตามใจจนเสีย ติดนิสัยชอบเล่นไปบ้าง”
โจวหลี่ศึกษาโคลงกลอนมาอย่างลึกซึ้ง อยู่ในเมืองหลวงก็เคยคบหาคนหลายประเภท ย่อมเข้าใจความหมายแฝงของนาง พยักหน้ารับคำ “ข้าทราบแล้ว แม่นางวางใจเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ไม่พูดมากความอีก หลังจากเชิญท่านอาจารย์เข้าไปสอนหนังสืออย่างอ่อนน้อม ก็หันหลังกลับบ้าน