ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 216-3 รุมสกรัมหัวโจกหมู่บ้าน
เมิ่งเชียนโยวและหมอลุกขึ้นพร้อมกัน เดินออกมาด้านนอก
แม่เฒ่าหลี่ตุนก็กระเสือกกระสนลุกขึ้นนั่ง มองดูเหตุการณ์ผ่านทางหน้าต่าง
หมอเห็นสภาพทุเรศทุรังของเอ้อซุ่นก็ให้ตกใจสะดุ้ง พูดติดอ่าง “นี่ นี่ นี่…”
เมิ่งเชียนโยวทำราวกับมองไม่เห็นเลือดแดงสดบนใบหน้าเอ้อซุ่น ถามขึ้น “เอ้อซุ่น ได้ยินว่าเจ้าเป็นสหายรักของหลี่ตุน เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นโสมคนช่วยชีวิตของแม่เฒ่าหลี่ตุน? เจ้าไม่สนใจมิตรภาพของเพื่อน ขโมยโสมคนไป หนำซ้ำยังทำร้ายมารดาชราของเขา เจ้าบอกมาสิว่าข้าควรลงโทษเจ้าอย่างไร?”
เมื่อครู่เอ้อซุ่นถูกหลี่ลิ่วชกอัดเข้าใบหน้า ในตอนนี้ทั้งปากและใบหน้าล้วนปูดบวม เริ่มพูดจาอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน แต่ก็ยังพอพยายามฟังเขาพูดให้เข้าใจได้บ้าง “ไม่ต้องมาพูดเรื่องมิตรภาพของเพื่อน ตั้งแต่ที่เขาขายตัวไปทำงานถาวรให้เจ้า ก็ค่อยๆ เหินห่างกับข้า ทุกครั้งที่ได้เงินกลับมาบ้าน กลับไม่เคยยอมเอามาให้พวกเราพี่น้องกินดื่ม และด้วยเหตุนี้ พอข้าได้ยินว่าแม่เขาป่วย ข้ายังจับไก่ตัวหนึ่งมาให้เขา ข้าไม่มีมิตรภาพของเพื่อนตรงไหน?”
“เมื่อเจ้ามีมิตรภาพต่อเพื่อนเช่นนี้ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องมาขโมยโสมคนที่เอาไว้ช่วยชีวิตแม่เฒ่าหลี่ตุน ทั้งทำร้ายพวกเขาด้วยเล่า?” เมิ่งเชียนโยวถาม
เอ้อซุ่นลืมตัวว่าใบหน้าตัวเองบาดเจ็บ ดึงมุมปากยกสูง เจ็บจนร้อง “ซี้ด” แล้วถึงพูดอู้ๆ อี้ๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือไร คนในหมู่บ้านพูดกับให้ทั่ว แม่เฒ่าหลี่ตุนใช้แค่รากของโสมคนก็เพียงพอแล้ว หาได้ต้องใช้โสมคนทั้งต้นไม่ พวกเขาเก็บไว้ก็ล่อตาล่อใจคนอื่น สู้ให้ข้าเอาไปแลกเป็นเงินมาใช้ ข้าคิดไว้หมดแล้ว พอขายได้เงินมาจะแบ่งให้พวกเขา ส่วนพวกเขาสองแม่ลูก ข้ามิได้ตั้งใจจะทำร้ายพวกเขา เป็นพวกเขาเองที่รนหาที่เอง”
เมิ่งเชียนโยวตบมือสองสามแปะ “ยังรู้จักว่าขายได้เงินจะเอามาแบ่งพวกเขาแม่ลูก ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ เจ้าตีหัวหลี่ตุนจนแตก ก็เป็นหลี่ตุนที่ยื่นหัวมาให้เจ้าตีเองสินะ อีกอย่าง โสมคนต้นนี้ข้ามอบให้หลี่ตุน แต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าขโมยไป เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”
แม้เอ้อซุ่นจะถูกควบคุมตัว แต่ความโอหังกลับไม่ลดน้อยลง พูดข่มขู่เมิ่งเชียนโยว “เจ้ากล้า? นี่เป็นหมู่บ้านซุน เป็นถิ่นของข้า หากเจ้ากล้าลงโทษข้า เจ้าอย่าหวังจะได้ออกไปจากหมู่บ้านนี้”
เมิ่งเชียนโยวแสยะยิ้ม “เช่นนั้นข้าก็อยากเห็นว่า ใครกันที่กล้าขวางทางข้า?”
พูดจบ สั่งเหวินหู่ “เอาเขาไปแขวนใต้ต้นไม้หน้าประตู ให้เขาได้รู้ว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า?”
เหวินหู่รับคำ หันหลังไปหยิบเชือกบนรถม้า
สะใภ้เอ้อซุ่นได้ยินว่าจะเอาเอ้อซุ่นไปแขวน ดิ้นรนกระเสือกกระสนจนหลุดจากการควบคุมของทั้งสอง เอาหัวโหม่งเข้ามาเมิ่งเชียนโยว แล้วร้องก่นด่า “นังตัวดีนังเศษสวะ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแขวนเอ้อซุ่น?”
เห็นสะใภ้เอ้อซุ่นใกล้จะถึงตัวเมิ่งเชียนโยวแล้ว กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกต่างส่งเสียงร้องอื้ออึง
เมิ่งเชียนโยวเบี่ยงตัวหลบอย่างเบาสบาย สะใภ้เอ้อซุ่นเก็บคืนไม่ทัน ปล่อยร่างโงนเงนล้มคว่ำ ริมฝีปากกระแทกพื้น
อู๋ต้าและซุนเอ้อไม่ทันได้ระวัง ปล่อยให้สะใภ้เอ้อซุ่นดิ้นหลุดไปได้ เสียใจสำนึกผิด ในตอนนี้กำลังจ้องเขม็งสะใภ้เอ้อซุ่นที่ล้มฟุบไปกับพื้น คิดว่าหากนางยังกล้าลงมือกับเมิ่งเชียนโยวอีก พวกเขาสองคนก็จะไม่เกรงใจแล้ว จะซ้อมนางให้กลัวจนอึฉี่ราด
สะใภ้เอ้อซุ่นล้มไม่ใช่เบา จึงตัดสินใจไม่ลุกขึ้นแล้ว นอนกลิ้งไปมาบนพื้น ร้องโอดครวญเสียงลั่น “ชาวบ้านมาดูเถิด พวกเขาถือว่าเป็นคนหมู่มาก คิดจะฆ่าพวกเขาสองผัวเมียให้ตาย”
พี่น้องเอ้อซุ่นเที่ยวเดินกร่างอยู่ในหมู่บ้าน เหล่าสะใภ้ทุกคนก็โอหังไม่เคยเห็นหัวใคร มักจะทะเลาะกับคนในหมู่บ้านเพราะเรื่องจุกจิกเล็กน้อย นานวันเข้า คนในหมู่บ้านทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ต่างก็เกลียดพวกเขาเข้ากระดูก แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องพวกเขา ตอนนี้เห็นสองสามีภรรยาเอ้อซุ่นถูกกำราบ ก็ให้รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก ปล่อยให้สะใภ้เอ้อซุ่นร้องร่ำโอดครวญ ไม่มีใครคิดจะเข้าไปช่วยพวกเขาสักคน
เหวินหู่เอาเชือกเข้ามา มัดเอ้อซุ่นที่ดิ้นรนขัดขืนพร้อมอู๋ต้า เตรียมจะเอาตัวไปแขวนใต้ต้นไม้ เสียงคำรามหนึ่งก็ดังแว่วมา “พวกเจ้ากล้ามัดคนตามอำเภอใจ ยังเห็นหัวผู้ใหญ่บ้านคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?”
กลุ่มคนได้ยินเสียงหันมองตามไป เห็นผู้ใหญ่บ้านที่ถูกครอบครัวเอ้อซุ่นประคองมา เดินเข้ามาในลานบ้าน
“เอ้อซุ่น เจ้าเป็นอะไรไป?” มารดาเอ้อซุ่นเห็นสภาพน่าสังเวชของเอ้อซุ่น ร้องอุทานแล้วโผเข้าหา
เอ้อซุ่นร้องเรียกเสียงอู้อี้ “ท่านแม่!”
มารดาเอ้อซุ่นตีมืออู๋ต้าและซุนเอ้อไม่ยั้งราวกับเป็นหญิงบ้า ปากร้องก่นด่า “เจ้าพวกสุนัขชั้นต่ำรังแกคน ปล่อยลูกชายข้าเดี๋ยวนี้!”
อู๋ต้าและซุนเอ้อถูกตีจนเจ็บแสบ แต่ก็ไม่ลงมือกับหญิงชรา จำต้องปล่อยเอ้อซุ่นที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาแล้วอย่างไม่มีทางเลือก
มารดาเอ้อซุ่นกระชากตัวเอ้อซุ่นเข้ามาในอ้อมกอด ร้องเรียก “ซานซุ่น ซื่อซุ่น รีบเข้ามาแก้มัดให้พี่รองเจ้า”
ซานซุ่น ซื่อซุ่นเข้ามาช่วยกันแก้เชือกให้เอ้อซุ่น
มารดาเอ้อซุ่นรีบดึงตัวเอ้อซุ่นมาหลบหลังผู้ใหญ่บ้าน
คนที่มาดูเรื่องสนุกต่างถอดใจเสียดาย มีผู้ใหญ่บ้านออกหน้า ครั้งนี้ไม่ได้เห็นเอ้อซุ่นถูกลงทัณฑ์อีกแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านเดินมือไพล่หลัง ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาในลานบ้าน วางอำนาจบารมีเยี่ยงผู้ใหญ่บ้าน พูดว่า “แม่นางน้อย ใช้ศาลเตี้ยลงโทษเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อยไม่รู้ความ ข้าจะให้อภัยสักครั้ง รีบพาคนของเจ้าออกไปเถอะ”
เมิ่งเชียนโยวไม่ขยับ จ้องเขม็งผู้ใหญ่บ้าน ใช้น้ำเสียงเย็นเยียบถามกลับ “ผู้ใหญ่บ้านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าต้องลงโทษพวกเขา?”
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เจ้าก็ไม่สมควรกระทำการกำเริบเสิบสานในหมู่บ้านพวกเรา เจ้ายังเห็นผู้ใหญ่บ้านคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว
เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า พูดเยาะหยัน “ที่แท้ชีวิตของคนในหมู่บ้านนี้ล้วนไม่สำคัญเท่าศักดิ์ศรีหน้าตาของผู้ใหญ่บ้าน”
ปกติผู้ใหญ่บ้านถูกยกยอจนเคยตัว ไฉนเลยจะทนรับวาจาเช่นนี้ได้ ใบหน้าแดงเรื่อ น้ำเสียงเริ่มเจือความขุ่นเคือง “อย่าได้พูดเหลวไหล มีใครสูญเสียชีวิตที่ไหนกัน?”
เมิ่งเชียนโยวยังคงใช้น้ำเสียงเยาะหยัน “ผู้ใหญ่บ้านหูตากว้างไกล ไม่ได้ยินเรื่องที่สองแม่ลูกหลี่ตุนถูกทำร้าย ขโมยโสมคนที่มีมูลค่าสูงลิ่วไปบ้างหรือ?”
ผู้ใหญ่บ้านสะท้อนแววตาล่อกแล่ก ไม่กล้าพูดว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวพูดว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เป็นหน้าที่ของทางการเข้ามาตัดสิน เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
เมิ่งเชียนโยวถามเสียงเย็น “หากข้าอยากยุ่งเล่า?”
ถูกเค้นถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้ใหญ่บ้านเริ่มมีน้ำโห มือทั้งสองก็ไม่ไพล่ไว้ด้านหลังแล้ว พูดอย่างเคืองขุ่น “นังตัวดี เจ้าอย่าคิดว่าหลี่ตุนทำงานที่บ้านเจ้า เจ้าก็จะออกหน้าแทนเขาได้ ที่นี่เป็นหมู่บ้านซุน ไม่ใช่หมู่บ้านหวงที่เจ้าจะมาเกะกะระรานได้ตามอำเภอใจ”
เมิ่งเชียนโยวหัวเราะเย้ยหยัน พูดอย่างไม่แยแส “ที่ข้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การออกหน้าแทนเขา เป็นเพราะเขาไม่ควรกระทำการผีซ้ำด้ามพลอย ขโมยโสมคนที่เอาไว้ช่วยชีวิต แล้วยังทำร้ายร่างกายคน เมื่อท่านเข้ามาขวางไม่เลิก เช่นนั้นข้าจะยอมรามือ แต่ข้าขอถามท่าน ท่านจะจัดการเขาอย่างไร?”
ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาเพราะคำยุยงของบิดามารดาเอ้อซุ่น มิได้คิดมาก่อนเลยว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชียนโยวถาม พลันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
ความเงียบปกคลุมลานบ้าน คนที่มาดูเรื่องสนุกไม่มีใครปริปาก ต่างกลั้นหายใจ ตั้งใจฟังว่าผู้ใหญ่บ้านจะตอบอย่างไร
ความจริงโดยปกติแล้วผู้ใหญ่บ้านนับว่าเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง วันนี้จู่ๆ มาได้ยินว่ามีคนเข้ามาทำร้ายและจับคนในหมู่บ้านตัวเอง รู้สึกว่าบารมีของตัวเองถูกท้าทาย ถึงตะลีตะลานตามบิดามารดาเอ้อซุ่นเข้ามา ตอนนี้เห็นชาวบ้านมองมาที่เขาอย่างรอคอย ในใจตระหนักดีว่าหากจัดการเรื่องนี้ไม่ดี ภายหน้าอาจจะส่งผลต่อชื่อเสียงบารมีของตนเองได้ อีกทั้งเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น อึดใจหนึ่งถึงเอ่ยปากพูดว่า “เจ้าเอาแต่พูดว่าเอ้อซุ่นขโมยโสมคน ทำร้ายสองแม่ลูกหลี่ตุนบาดเจ็บ เจ้ามีหลักฐานอะไร?”
เมิ่งเชียนโยวหันไปมองจางซานแวบหนึ่ง
จางซานรีบก้าวขึ้นหน้าชูกล่องโสมคนในมือ พูดเสียงดัง “เมื่อครู่ตอนที่พวกเราไปจับเอ้อซุ่นที่บ้าน พบของสิ่งนี้วางอยู่บนเตียงในบ้านพวกเขา”
หลักฐานอยู่ตรงหน้า ผู้ใหญ่บ้านชะงักอึ้ง แต่ยังดิ้นรนกอบกู้หน้าตัวเองคืน “ต่อให้เอ้อซุ่นไปขโมยโสมคนมา ตอนนี้สองแม่ลูกหลี่ตุนก็สบายดี เรื่องนี้ถือว่าให้แล้วก็แล้วกันไป”
เมิ่งเชียนโยวถามเสียงเย็น “ความหมายของผู้ใหญ่บ้านคือต้องให้สองแม่ลูกหลี่ตุนตายก่อน ถึงจะเรียกว่ามีเรื่อง? ท่านถึงจะเข้ามาจัดการหรือ?”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวออกไป ก็รู้ตัวเองว่าไม่ถูกต้อง ตอนนี้ถูกเมิ่งเชียนโยวย้อนถาม ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เหยเกแทบดูไม่ได้ ไร้ซึ่งคำโต้แย้ง ไร้ซึ่งความมั่นใจ พูดอย่างเคืองขุ่น “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าจะจัดการเอง”
เมิ่งเชียนโยวก็ไม่เคืองโกรธ หันไปสั่งหลี่ตุน “ไปยกเก้าอี้เตี้ยมาให้ข้า วันนี้ข้าจะดูว่าผู้ใหญ่บ้านจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
หลี่ตุนขานรับแล้วรีบวิ่งเข้าไปในบ้านยกเก้าอี้เก่าตัวหนึ่งออกมา ต่อหน้าสายตาที่จับจ้อง ใช้แขนเสื้อมอซอเช็ดเก้าอี้ซ้ำไปมา ถึงวางลงข้างกายเมิ่งเชียนโยว พูดอย่างอ่อนน้อม “นายหญิง เชิญนั่ง”
เมิ่งเชียนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยอารมณ์สงบนิ่ง
ผู้ใหญ่บ้านนึกว่าหลี่ตุนจะยกเก้าอี้มาให้ตัวเองด้วย ไม่คิดว่ารอได้พักใหญ่ กลับเห็นหลี่ตุนเอาแต่ยืนอยู่ข้างหลังเมิ่งเชียนโยว ไม่ขยับไปไหนอีก ก่นด่าเจ้าคนชั้นต่ำมีตาแต่ไม่มีแววภายในใจอย่างแค้นเคือง ถึงแสร้งกระแอมสองสามครั้ง กลับคืนสู่ท่วงท่าน่าเกรงขามของผู้ใหญ่บ้าน หลงคิดว่าพูดอย่างยุติธรรม “แม้เอ้อซุ่นจะขโมยโสมคน ทำร้ายสองแม่ลูกหลี่ตุนบาดเจ็บ แต่ยังดีที่พวกเขาสองแม่ลูกไม่เป็นอะไรร้ายแรง โสมคนก็ได้คืนสมบูรณ์กลับมา ดังนั้นให้เอ้อซุ่นชดใช้เงินจำนวนหนึ่งให้หลี่ตุน แล้วให้ถือว่าจบกันเท่านี้”
สิ้นเสียง ชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็เปล่งเสียงสิ้นหวัง
เมิ่งเชียนโยวแย้มยิ้มมองผู้ใหญ่บ้าน พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าไม่เห็นด้วย”
ผู้ใหญ่บ้านคาดเอาไว้อยู่แล้วว่านางจะต้องคัดค้าน สะบัดแขนเสื้อแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่มีประโยชน์ หมู่บ้านนี้ข้ามีสิทธิ์ขาด!”
เมิ่งเชียนโยวร้อง “อ่อ” ถามกลับ “เช่นนั้นหากหลี่ตุนคัดค้านเล่า?”
ผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววข่มขู่ ถามหลี่ตุนอย่างน่าเกรงขาม “เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
หลี่ตุนแอบมองเมิ่งเชียนโยวแวบหนึ่ง เห็นนางนั่งหลังตรงอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีส่งสัญญาณแก่เขา เริ่มลังเลใจ
ผู้ใหญ่บ้านมองดูปฏิกิริยาของเขา พูดปลอบประโลม “เจ้าไม่ต้องกลัว พูดออกมาตามที่เจ้าคิดเถอะ”
หลี่ตุนตัดสินใจเด็ดขาด กัดฟันพูดว่า “ข้าไม่เห็นด้วย”
ไม่คิดว่าหลี่ตุนจะตอบเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านตะลึงค้าง
เมิ่งเชียนโยวยกยิ้มอ่อน พูดว่า “ตอนนี้หลี่ตุนก็ไม่เห็นด้วย ตอนนี้ท่านจะทำอย่างไร?”
ผู้ใหญ่บ้านพลันพูดไม่ออก
เมิ่งเชียนโยวแสดงท่าทีคิดแทนผู้ใหญ่บ้าน พูดด้วยความหวังดี “เมื่อท่านไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร เช่นนั้นข้าจะช่วยท่านตัดสินเอง”
พูดจบ หันไปสั่งพวกเหวินหู่ “พวกเจ้าทั้งหมด จับเอ้อซุ่นไปแขวนเดี๋ยวนี้!”