ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 217-1 ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี
เหวินหู่และพวกอู๋ต้าห้าคนขานรับ เดินเข้าหาเอ้อซุ่น
มารดาเอ้อซุ่นคุ้มกันเขาไปด้านหลังอย่างแน่นหนา วางท่าพร้อมสู้ตายกับทุกคน “ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ใครหน้าไหนที่กล้ามาแตะต้องลูกข้า ข้าจะสู้ตายกับมัน”
พวกอู๋ต้าทำราวกับไม่ได้ยิน เดินอาดๆ มาถึงด้านหลังมารดาเอ้อซุ่น กระชากคอเอ้อซุ่นที่เอาแต่หดหัวอยู่ด้านหลังออกมา
เมื่อครู่ต้าซุ่นและซานซุ่นรวมถึงซื่อซุ่นได้รับรู้ความร้ายกาจจากพวกเขามาแล้ว ตอนนี้ตกใจหัวหดไม่กล้าผลีผลาม มารดาเอ้อซุ่นราวกับคนเสียสติ เข้าไปทั้งถีบทั้งกัดอู๋ต้าและซุนเอ้อที่เข้ามาจับเอ้อซุ่น สะใภ้เอ้อซุ่นก็เข้าไปเลียนแบบพฤติกรรมของนาง ลงมือกับพวกเขาสองคนอย่างไม่ออมมือ
อู๋ต้าและซุนเอ้อเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน กลับไม่กล้าทำอะไรแม่สามีลูกสะใภ้สองคนนั้น
หลี่ลิ่วและโจวอู่เห็นเช่นนั้น เข้าไปจับแยกออก แล้วเหวี่ยงไปอีกด้าน
เหวินหู่หยิบเชือกเมื่อครู่ขึ้นมา ใช้ความไวมัดเอ้อซุ่นที่เอาแต่ดิ้นรนไม่ยอม แล้วลากเขามาใต้ต้นไม้ใหญ่พร้อมจางซาน นำตัวเอ้อซุ่นขึ้นไปแขวนไว้บนต้นไม้อย่างชำนาญ
พวกเขาลงมือรวดเร็วฉับไว ชาวบ้านได้แต่มองตาค้าง ผู้ใหญ่บ้านกลับโมโหตัวสั่น พูดเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าอย่าให้มากเกินไป นี่เป็นหมู่บ้านซุน เรื่องในหมู่บ้านข้ามีสิทธิ์ขาด”
เมิ่งเชียนโยวยกยิ้มอ่อน พูดอย่างไม่แยแส “เมื่อครู่ข้าให้โอกาสท่านแล้ว แต่วิธีการแก้ปัญหาของท่านไม่เป็นที่น่าพอใจ พวกเราจึงต้องจัดการกันเอง ท่านวางใจ ข้าไม่ทำร้ายถึงแก่ชีวิต ข้าเพียงนำเขาไปแขวน ให้ชาวบ้านได้เห็น ภายหน้าใครที่กล้าทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม จะมีจุดจบเช่นเขา อีกอย่าง ข้าได้ส่งคนไปแจ้งความ คนของทางการน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะถูกตัดสินโทษอย่างไร คิดว่าท่านน่าจะรู้แก่ใจดี”
พอได้ยินว่าเมิ่งเชียนโยวแจ้งความ ผู้ใหญ่บ้านชะงักงัน แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “แม่นางน้อย เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ไยต้องแจ้งความด้วยเล่า เอาอย่างนี้เถอะ เจ้าให้คนไปถอนแจ้งความ ข้าจะเพิ่มบทลงโทษให้เขาเอง”
เมิ่งเชียนโยวส่ายหน้า ไม่มีทีท่าจะยอมถอยให้แม้แต่น้อย พูดว่า “คนชั่วชอบลักเล็กขโมยน้อย เป็นภัยต่อคนในหมู่บ้าน เที่ยวเกะกะระรานคนเช่นเขา สมควรได้รับโทษทัณฑ์ตามความผิด ท่านเป็นคนมีเมตตากรุณา เกรงว่าจะทำใจลงมือไม่ได้ ให้คนของทางการเป็นคนจัดการเถอะ”
แคว้นอู่มีกฎหมายเข้มงวด คนเยี่ยงเอ้อซุ่นหากถูกทางการจับได้พร้อมหลักฐาน จะต้องถูกตัดสินโทษขั้นรุนแรง ที่สำคัญก็คือ ในหมู่บ้านมีคนเช่นนี้ แม้แต่เขาที่เป็นผู้ใหญ่บ้านก็ต้องถูกหางเลขไปด้วย ไม่ง่ายเลยที่จะได้สร้างความประทับใจต่อหน้าท่านผู้ว่าการตำบลกลับต้องมาเสียคะแนนไป ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านเริ่มรู้สึกเสียใจต่อพฤติกรรมลำเอียงของตนเองเมื่อครู่
เอ้อซุ่นถูกแขวนไว้ใต้ต้นไม้ เอาแต่ดิ้นร้องตะเกียกตะกาย “ปล่อยข้าลงไป ปล่อยข้าลงไป”
ชาวบ้านเห็นแล้วสะใจเป็นอย่างมาก ต่างวาดหวังให้เมิ่งเชียนโยวลงโทษเขาให้หนักขึ้นอีก
มารดาเอ้อซุ่นและภรรยาถูกพวกอู๋ต้าควบคุมไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ มารดาเอ้อซุ่นโมโหร้องก่นด่าเมิ่งเชียนโยว “นังตัวดี รีบปล่อยตัวลูกชายข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นต่อไปข้าจะไปหาเรื่องที่บ้านเจ้าทุกวัน ให้เจ้าไม่มีวันได้อยู่เป็นสุข”
สะใภ้เอ้อซุ่นยิ่งร้ายกว่า ร้องด่า “นังเศษสวะชั้นต่ำ ถือว่ามีเงินมากกว่า กล้ามารังแกพวกเรา เจ้าไม่มีวันได้มีจุดจบดี สักวันเจ้าจะต้องถูกฟ้าผ่าตาย”
เมิ่งเชียนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งบนเก้าอี้ด้วยอารมณ์สงบนิ่ง
สะใภ้เอ้อซุ่นยิ่งด่าก็ยิ่งคล่องปาก ถึงกับโพล่งปากด่าออกไปว่า “นังผู้หญิงสำส่อนหน้าไม่อาย เจ้าแส่ออกหน้าให้หลี่ตุนถึงขั้นนี้ พวกเจ้าจักต้องมีสัมพันธ์สวาทกันแล้ว…”
เมิ่งเชียนโยวชักสีหน้าอึมครึม
อู๋ต้าสังเกตสีหน้าและวาจา เห็นปฏิกิริยาเมิ่งเชียนโยวไม่สู้ดี หันไปตบหน้าสะใภ้เอ้อซุ่นฉาดใหญ่ “พูดจาเหลวไหล อยากตายเรอะ!”
อู๋ต้าเป็นผู้ชาย เดิมก็มีกำลังมากอยู่แล้ว บวกกับลงมือภายใต้ความโกรธเกรี้ยว ปากของสะใภ้เอ้อซุ่นปูดบวมโดยพลัน เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก สะใภ้เอ้อซุ่นถูกตบจนมึน ครู่หนึ่งถึงได้สติคืนกลับมา กระเสือกกระสนดิ้นหลุดจากมือหลี่ลิ่ว ก้มศีรษะพุ่งเข้าชนอู๋ต้า ร้องก่นด่าเสียงอู้อี้ “เจ้ากล้าตบหน้าข้า ข้าจะชนเจ้าให้ตาย”
อู๋ต้าไม่คิดว่านางจะหลุดพ้นจากการควบคุมตัวของหลี่ลิ่ว แล้วพุ่งเข้ามาชนตนเองได้ พลันไม่ทันได้ป้องกัน ถูกชนเข้าเต็มรัก ล้มหงายเก๋งไปกับพื้นอย่างน่าสังเวช
สะใภ้เอ้อซุ่นไม่หยุดเท่านี้ ขึ้นไปขี่คร่อมบนตัวอู๋ต้า ยื่นมือออกไปข่วนหยิกใบหน้าอู๋ต้า
อู๋ต้าคว้ามือนางไว้
หลี่ลิ่วได้สติกลับคืนมาแล้ว รีบเดินไปตรงหน้าอู๋ต้า คว้าตัวสะใภ้เอ้อซุ่นเหวี่ยงออกไปอีกด้าน แล้วถามเสียงรน “พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
อู๋ต้ารีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงเย็นเยียบของเมิ่งเชียนโยวก็ดังขึ้น “ฝึกฝนวรยุทธ์มาได้พักใหญ่แล้ว กลับถูกผู้หญิงคนเดียวจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ ขายหน้าข้านัก”
อู๋ต้าและหลี่ลิ่วได้ยินเสียงนาง ก็ให้สั่นไปทั้งตัว รู้ว่าครั้งนี้ตนเองจบเห่แล้ว กลับไปไม่รู้ว่าจะต้องได้รับโทษรุนแรงเพียงใด พอคิดว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะสะใภ้เอ้อซุ่น เพลิงโทสะปะทุ ยกเท้าเตะอัดไปที่ร่างของสะใภ้เอ้อซุ่นพร้อมกัน
สะใภ้เอ้อซุ่นเพิ่งจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาได้ เตรียมจะเข้าฟาดฟันกับอู๋ต้าอีก กลับถูกทั้งสองคนเตะอัด ร่างลอยลิ่วจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งของลานบ้าน ฟุบแน่นิ่งไปกับพื้น
มารดาเอ้อซุ่นร้องอุทาน “สะใภ้เอ้อซุ่น เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” พูดไปพลางสะบัดตัวอย่างสุดชีวิต ครั้งนี้โจวอู่เตรียมรับมือไว้แล้ว จับนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
สะใภ้เอ้อซุ่นพยายามตะเกียกตะกายหลายครั้งแต่ก็ลุกไม่ขึ้น
เอ้อซุ่นเห็นภรรยาตนเองถูกซ้อม พยายามดิ้นรนสุดชีวิต
พี่น้องต้าซุ่นได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่กล้าปริปาก
ผู้ใหญ่บ้านเห็นสภาพน่าสังเวชของสะใภ้เอ้อซุ่น ขมวดคิ้วยุ่งอย่างอดไม่ได้
นับตั้งแต่มาถึง บิดาเอ้อซุ่นที่ไม่ได้พูดอะไรเลยเอ่ยปากดุดันเกรี้ยวกราด “นังตัวดี เจ้าอย่ารังแกกันให้มากเกินไป แม้เจ้าจะมีเงินมากเพียงใด ก็ไม่ควรให้คนใต้บังคับของเจ้า ลงมือกับสตรีเพศรุนแรงเช่นนี้”
น้ำเสียงเมิ่งเชียนโยวยิ่งทวีความเ**้ยมเกรียม “ลูกไม่รักดีเพราะพ่อแม่ไม่สั่งสอน หากไม่เพราะท่านไม่อบรมบุตรตนเองให้ดี ปล่อยให้เขากระทำเรื่องผิด คนของข้าจะลงมือกับสตรีเพศได้อย่างไร อีกอย่าง เรื่องก่อนหน้านั้น ท่านเองก็เห็นเต็มสองตา เป็นนางที่ปากพล่อยพูดเหลวไหลก่อน ตอนนี้ท่านควรจะยินดีที่ข้าไม่ได้ลงมือเอง ไม่เช่นนั้นจะไม่ใช่แค่ถูกเตะด้วยสองเท้า ข้าจะทำให้นางอ้าปากพูดไม่ได้อีกไปทั้งชีวิต”
คนที่มาดูเรื่องสนุกเต็มลานบ้านได้ฟังนางกล่าววาจาเ**้ยมเกรียม แล้วย้อนคิดถึงเสียงเล่าลือของนาง นางอายุยังน้อยก็กล้าตัดเส้นเอ็นขาอาของตัวเอง เกิดอาการเห็นอกเห็นใจครอบครัวเอ้อซุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด
วาจาของเมิ่งเชียนโยวทำเอาพ่อเอ้อซุ่นสะอึกค้าง หน้าแดงปลั่ง
หมอลอบกล่าวชมในใจ รู้สึกดีใจกว่าตอนที่ตัวเองหาเงินได้หลายสิบอีแปะ
ผู้ใหญ่บ้านเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เมิ่งเชียนโยวแจ้งความกับทางการแล้ว จึงไม่กล้าช่วยพูดแทนสะใภ้เอ้อซุ่นอีก
ไกลออกไปมีเสียงควบม้าดังแว่วมา คนทั้งหมดช้อนตามองออกไป เห็นม้าสองตัวควบไล่ตามกันเข้ามา ด้านหลังมีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งวิ่งเหยาะไล่ตามมา
ม้าตัวแรกเข้ามาถึงก่อน คนบนรถม้าพลิกตัวลงจากหลังมาอย่างคล่องแคล่ว เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชียนโยว พูดด้วยความอ่อนน้อม “นายหญิง ท่านผู้ว่าการตำบลเข้ามาด้วยตัวเองขอรับ”
เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน
ผู้ใหญ่บ้านหัวใจหล่นวูบ ลนลานเดินขึ้นหน้า ก้มหัวโค้งคำนับให้ผู้ว่าการตำบลที่ยังไม่ลงจากหลังม้า พูดตะกุกตะกัก “ท่านผู้ว่าการตำบล เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ เหตุใดต้องลำบากท่านมาด้วยตัวเองด้วยเล่า”
ผู้ว่าการตำบลเหล่มองเขาผ่านๆ แวบหนึ่ง ค่อยๆ พลิกตัวลงจากหลังม้าพูดว่า “ภายใต้ขอบเขตความรับผิดชอบของข้า กลับมีคนทำโสมคนมูลค่าหลายร้อยตำลึงสูญหาย หากเรื่องนี้เล็ดลอดไปถึงหูท่านใต้เท้านายอำเภอ ข้ายังจะเป็นผู้ว่าการตำบลได้อยู่หรือไม่? ข้าไม่ควรจะมาด้วยตัวเองอีกเรอะ?”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านยิ่งทวีกิริยานอบน้อมโอนอ่อน พูดอย่างระวัง “ท่านวางใจ เราหาโสมคนเจอแล้ว คนที่ขโมยไปข้าก็จับตัวได้แล้ว”
ยังไม่ทันเข้ามาในหมู่บ้านผู้ว่าการตำบลก็เห็นเอ้อซุ่นที่ถูกแขวนใต้ต้นไม้แล้ว ได้ฟังก็เงยหน้ามอง ถามอย่างวางอำนาจ “ใช่เขาหรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านลนลานตอบ “เขานั่นเอง เพื่อขู่เตือนคนในหมู่บ้าน จึงนำเขาไปแขวนใต้ต้นไม้”
ผู้ว่าการตำบลเก็บคืนสายตา เดินเข้ามาในลานบ้าน เอ่ยปากทักทายเมิ่งเชียนโยวก่อน “แม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชียนโยวยิ้มพูดประจบ “ท่านผู้ว่าการตำบลช่างมีจิตใจอุทิศเพื่อประชาชนโดยแท้ ถึงกับมาจัดการเรื่องเล็กน้อยนี้ด้วยตัวเอง ชาวบ้านตาดำๆ แห่งตำบลชิงซีช่างโชคดียิ่งแล้ว”
ผู้ว่าการตำบลหัวเราะลั่น พูดอย่างองอาจสง่า “ถูกต้องแล้ว ตัวข้าผู้ว่าการตำบลเปรียบเสมือนบิดาแห่งราษฎร ย่อมต้องคิดแทนประชาชน ไม่ว่าใครกระทำผิด ต้องได้รับโทษสถานหนักเท่าเทียมกัน”
เมิ่งเชียนโยวแย้มยิ้มอ่อน สั่งการหลี่ตุน “ไปยกเก้าอี้มาให้ท่านผู้ว่าการตำบล”
ครอบครัวหลี่ตุนยากจนแร้นแค้น เก้าอี้เตี้ยที่มีในบ้านล้วนแต่ผุพัง ไหนเลยจะมีเก้าอี้ได้ พลันอึกอักลำบากใจ
ผู้ใหญ่บ้านรู้สภาวะครอบครัวพวกเขา รีบร้อนพูด “รีบไปบ้านข้า ไปยกเก้าอี้อย่างดีออกมา”
หลี่ตุนได้ฟังกำลังจะวิ่งไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน
เพื่อแสดงว่าตนเองเป็นคนเรียบง่ายเป็นกันเอง ร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นหนึ่งเดียวกับชาวบ้านตาดำๆ ได้ จึงโบกมือพูดว่า “ไม่ต้องไปแล้ว เมื่อไม่มีเก้าอี้ก็ไปยกเก้าอี้เตี้ยมาเถอะ”
ผู้ใหญ่บ้านรีบร้อนพูด “เก้าอี้เตี้ยบ้านพวกเขาซอมซ่อผุพัง ให้คนไปเอาเก้าอี้มาจากบ้านข้าเถอะ”
ผู้ว่าการตำบลพูดว่า “ไม่เป็นไร ไปยกออกมา”
หลี่ตุนมองไปที่เมิ่งเชียนโยว
เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า
หลี่ตุนเดินเข้ามาในบ้าน ยกเก้าอี้เตี้ยซอมซ่อตัวหนึ่งออกมา วางเบื้องหน้าผู้ว่าการตำบลอย่างระวัง
ผู้ว่าการตำบลเห็นเก้าอี้เตี้ยซอมซ่อตรงหน้าก็ให้งงตาค้าง พลันเสียใจที่ไม่ให้คนไปยกเก้าอี้มา
เมิ่งเชียนโยวเห็นสีหน้าอาการเขา หัวเราะขบขันในใจ
ผู้ว่าการตำบลได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว ไฉนเลยจะคืนคำต่อหน้าคนมากมายได้ กระแอมหนึ่งครั้ง วางท่านั่งบนเก้าอี้เตี้ยอย่างระวัง ถามอย่างน่าเกรงขาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ใครจะเป็นคนเล่าให้ข้าฟัง”
ผู้ใหญ่บ้านกำลังจะพูด เมิ่งเชียนโยวหันมองหลี่ตุนแวบหนึ่ง หลี่ตุนเอ่ยปากพูดทันควัน “เรียนท่านผู้ว่าการตำบล ครอบครัวข้าเองที่ทำโสมคนหายไป”
ผู้ว่าการตำบลดูการแต่งกายของเขาแวบหนึ่ง ถามอย่างไม่เชื่อ “ครอบครัวพวกเจ้ามีโสมคน?”
“เขาเป็นคนของครอบครัวข้า มีมารดาล้มป่วยหนัก ข้าจึงมอบโสมคนหนึ่งต้นให้มารักษาแม่เฒ่าชรา” เมิ่งเชียนโยวพูด
ผู้ว่าการตำบลเข้าใจพลัน ออกคำสั่งหลี่ตุน “เจ้าจงเล่าเรื่องทั้งหมดมาให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
หลี่ตุนจึงเล่าเรื่องที่มารดาตนเองล้มป่วย เมิ่งเชียนโยวมอบโสมคนมาให้หนึ่งต้น หมอบอกว่าใช้เพียงรากก็ช่วยชีวิตมารดาได้แล้ว รวมถึงตอนที่เอ้อซุ่นเข้ามาเยี่ยมมารดาตัวเองเห็นโสมคน เกิดละโมบ แอบเข้ามาขโมยโสมคนในบ้านตัวเองกลางดึก ทั้งทำร้ายร่างกายมารดาตนเองออกมาตามความจริงทุกประการ มิได้ใส่สีตีไข่แม้แต่ครึ่งคำ