ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 217-2 ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี
ฟังเขาพูดจบ ผู้ว่าการตำบลวางอำนาจถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเอ้อซุ่นเป็นคนขโมยโสมคนไป?”
หลี่ตุนตอบอย่างพินอบพิเทา “ตอนที่เขาทำร้ายท่านแม่ข้า พูดขึ้นมาหนึ่งคำ ทำให้ท่านแม่ข้าฟังออก”
ผู้ว่าการตำบลพยักหน้าพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แสดงได้ว่าเป็นเขา?”
หลี่ตุนพยักหน้าตอบกลับ “หลังจากนายหญิงของพวกเราทราบเรื่อง ก็ส่งคนของพวกเราไปจับตัวเขามาจากที่บ้าน โสมคนก็ได้มาจากที่บ้านเขาขอรับ”
ผู้ว่าการตำบลได้ฟังมองไปที่เมิ่งเชียนโยวแวบหนึ่ง
เมิ่งเชียนโยวจ้องมองกลับอย่างเปิดเผย
ผู้ว่าการตำบลกระแอมหนึ่งครั้ง แสร้งตำหนินาง “แม่นางเมิ่ง แม้เจ้าจะมีเจตนาดี แต่แคว้นอู่ของเราไม่อนุญาตให้ใช้ศาลเตี้ย”
เมิ่งเชียนโยวโค้งคำนับ พูดผสมโรง “ทราบแล้วท่านใต้เท้า ภายหน้าข้าจักไม่ทำเช่นนี้อีก”
ผู้ว่าการตำบลพยักหน้าพอใจ หันไปสั่งการเจ้าหน้าที่ “ไปเอาตัวเขาลงมาให้ข้าซักถามต่อหน้า”
เจ้าหน้าที่สองนายรับคำ เดินไปใต้ต้นไม้ปล่อยตัวเอ้อซุ่นลงมา แล้วพามาเบื้องหน้าผู้ว่าการตำบล
เอ้อซุ่นไม่เพียงใบหน้าปูดบวม หนำซ้ำยังเต็มไปด้วยเลือด ไม่เหลือเค้าโครงเดิมให้เห็นแล้ว ผู้ว่าการตำบลแสร้งทำเป็นไม่เห็นสภาพทุเรศทุรังของเขา ตวาดถามเสียงเข้ม “ตอนนี้มีทั้งพยานคนและหลักฐาน เจ้าสำนึกผิดแล้วหรือไม่?”
ปกติเอ้อซุ่นชอบวางอำนาจ เกะกะระรานไปทั่วหมู่บ้าน ตอนนี้เห็นผู้ว่าการตำบลกลับขาอ่อนปวกเปียก คุกเข่าลงเสียงดัง “พลั่ก” พูดขอความเห็นใจให้ตัวเองด้วยเสียงอู้ๆ อี้ๆ “ผู้น้อยสติเลอะเลือนไปชั่วขณะ ถึงกระทำความผิดลงไป ขอท่านใต้เท้าเมตตา ให้อภัยผู้น้อยสักครั้งเถิด”
คนในครอบครัวเอ้อซุ่นก็เดินขึ้นหน้า พูดขอร้องแทนเอ้อซุ่น “ท่านใต้เท้า ขอท่านให้อภัยผู้น้อยสักครั้ง พวกเรารับประกัน ต่อไปเขาจะไม่กล้าทำอีกแล้ว”
ผู้ว่าการตำบลถูกเสียงรบกวนจนปวดศีรษะ ขมวดคิ้วยู่ย่น
เจ้าหน้าที่ที่ไหวพริบดีร้องตวาด “บังอาจ ใครบอกให้พวกเจ้ามาเอะอะโวยวายต่อหน้าท่านใต้เท้า หากยังไม่ถอยออกไป จะถูกโบยสั่งสอน”
คนในครอบครัวเอ้อซุ่นพลันหุบปาก หันรีหันขวางถอยออกไปอย่างหวาดกลัว
เรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องสอบสวนอีก ผู้ว่าการตำบลขยับเส้นเสียง ตัดสินความผิดเอ้อซุ่นต่อหน้าทุกคน “ตามกฎหมายแคว้นอู่ ลักขโมยทรัพย์สินมูลค่าเกินกว่าหนึ่งร้อยตำลึง ให้ตัดแขนทั้งสองข้าง เป็นการลงทัณฑ์”
สิ้นเสียงผู้ว่าการตำบล เสียงร้องอุทานดังก้องไปทั้งลานบ้าน
บิดามารดาเอ้อซุ่นเกือบเป็นลมหมดสติไป
ผู้ว่าการตำบลกวาดตามองชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกอย่างน่าเกรงขาม พูดว่า “ทว่า ได้โสมคนกลับคืนมาแล้ว พอจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ แต่เพื่อขโมยโสมคน เจ้าถึงกับทำร้ายสองแม่ลูกหลี่ตุน ถือเป็นพฤติกรรมชั่วช้า ตอนนี้จะรวมสองกระทงลงโทษพร้อมกัน นำตัวไปโบยสิบไม้แล้วส่งไปเป็นทาสใช้แรงงานในถิ่นทุรกันดาร ไม่ต้องกลับมาตลอดชีวิต”
สะใภ้เอ้อซุ่นได้ฟังคำตัดสินของผู้ว่าการตำบล ดวงตาพร่ามัว หมดสติล้มพับไปพลัน
บิดามารดาเอ้อซุ่นยืนร่างโอนเอน พี่น้องต้าซุ่นต้องเข้ามาช่วยพยุงตัว ถึงฝืนยืนนิ่งได้
ห่างออกไปมารดาเอ้อซุ่นดึงบิดาเอ้อซุ่นลงคุกเข่าลง โขกศีรษะขอร้องผู้ว่าการตำบล “ท่านใต้เท้า ขอร้องท่านอภัยให้เอ้อซุ่นเถอะ ชาติหน้าข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้าตอบแทนท่าน”
ผู้ว่าการตำบลตวาดเสียงแข็ง “เหลวไหล กฎหมายมิใช่การละเล่น คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้อย่างไร?”
มารดาเอ้อซุ่นร้องไห้คร่ำครวญ
บิดาเอ้อซุ่นวิงวอน “เช่นนั้นพวกเรายอมถูกปรับได้หรือไม่ ขอเพียงไม่ต้องให้เอ้อซุ่นไปใช้แรงงาน จะปรับเป็นเงินเท่าใดพวกเราก็ยินดี”
ได้ยินเรื่องเงิน ดวงตาผู้ว่าการตำบลเปล่งประกาย ทว่าอยู่ต่อหน้าคนหมู่มากไม่ควรแสดงออกเด่นชัดเกินไป แสร้งกระแอมหนึ่งครั้ง กล่าววาจาแฝงความนัย “เรื่องนี้นะหรือ? ต้องปรึกษากับผู้เสียหายก่อน หากพวกเขายินยอม ข้าก็พอจะลดโทษตัดสินที่พอเหมาะแก่เขาได้”
บิดาเอ้อซุ่นหันมองเมิ่งเชียนโยว วิงวอนร้องขอ “แม่นาง ท่านอภัยให้เอ้อซุ่นสักครั้งเถอะ ข้าขอรับประกัน ภายหน้าเขาจะไม่กล้าก่อเรื่องลักเล็กขโมยน้อยอีก”
เมิ่งเชียนโยวเม้มริมฝีปาก เบี่ยงเบนเรื่องกลับไปที่ตัวผู้ว่าการตำบล “ท่านใต้เท้าบอกแล้ว กฎหมายมิใช่การละเล่น ข้าไม่มีสิทธิ์ขาดในการตัดสินเอ้อซุ่น ให้ท่านใต้เท้าเป็นคนตัดสินเถอะ”
ผู้ว่าการตำบลโยนโจทย์ยากให้เมิ่งเชียนโยว นึกว่านางจะโอนอ่อนไปตามความหมายของตัวเองเรียกปรับเงินบ้านเอ้อซุ่นเพิ่มมากขึ้น ไม่คิดว่านางจะเบี่ยงเบนเรื่องอย่างง่ายดายกลับมาที่ตัวเอง อย่างไรเขาก็เป็นผู้ว่าการตำบลมาหลายปี เข้าใจความหมายของนางโดยพลัน นางไม่ยินดีให้อภัยเอ้อซุ่น จึงขบคิดครู่หนึ่ง หาวิธีที่ตนเองคิดว่าดีต่อทั้งสองฝ่าย พูดว่า “เอาอย่างนี้เถอะ พวกเจ้ามอบเงินจำนวนหนึ่งให้ผู้เสียหายก่อน ส่วนที่เหลือค่อยมาดูว่าพวกเจ้าจะให้ได้อีกเท่าไร จะได้เอามาซื้อการเป็นทาสใช้แรงงานของเขา ให้โทษรับใช้ของเขาน้อยลงได้หลายปี”
บิดาเอ้อซุ่นเห็นผู้ว่าการตำบลยอมอ่อนข้อ ก็ให้ยินดีปิติ เอ่ยปากรับคำทันควัน “ได้ๆๆ พวกเราจะกลับไปเอาเงินมาเดี๋ยวนี้”
ผู้ว่าการตำบลโพล่งปากถามหนึ่งคำ “พวกเจ้าคิดจะให้เป็นเงินเท่าใด?”
บิดาเอ้อซุ่นตอบกลับเสียงดังพลัน “สิบตำลึง พวกเราจะให้สิบตำลึง!”
ผู้ว่าการตำบลเกือบหน้าหงาย ถามอย่างไม่เชื่อ “สิบตำลึง?”
ชาวบ้านมีชีวิตแร้นแค้น อย่าว่าแต่เงินเลย บางครั้งแม้แต่ข่าวก็ไม่มีให้กิน เงินสิบตำลึงที่บิดาเอ้อซุ่นเก็บมาตลอดหลายปี นึกว่าไร้เทียมทานแล้ว วันๆ เที่ยวเดินชูคอกร่างไปมา ตอนนี้พอได้ยินผู้ว่าการตำบลถาม ไม่สังเกตถึงน้ำเสียงที่ผิดปกติของผู้ว่าการตำบลแม้แต่น้อย กลับพยักหน้าตอบกลับอย่างลำพองใจ “ใช่ขอรับ ท่านใต้เท้า พวกเราจะให้สิบตำลึง”
ผู้ว่าการตำบลโมโหเดือดดาล “เงินสิบตำลึงก็จะซื้อการเป็นทาสใช้แรงงานของบุตรชายเจ้าได้ เจ้าฝันกลางวันเรอะ?”
พ่อเอ้อซุ่นไม่คิดว่าเงินสิบตำลึงยังไม่เพียงพอ ลุกลนพูด “ท่านใต้เท้า เงินสิบตำลึงก็มากโขแล้ว พวกเราสองผู้เฒ่านำเงินทำศพออกมา มากกว่านี้สักอีแปะเดียวก็ไม่มีแล้ว”
ผู้ว่าการตำบลยังโกรธเคืองไม่หาย ลั่นวาจาระคายหูออกไป “เจ้าไม่ต้องเอามาแล้ว เก็บไว้ทำศพตัวเองเถอะ”
พ่อเอ้อซุ่นชะงักค้าง
ผู้ใหญ่บ้านที่อย่างไรก็เห็นโลกมามากกว่าชาวบ้าน เห็นผู้ว่าการตำบลเดือดดาล จึงพูดขึ้นอย่างระวัง “ท่านใต้เท้า ชาวบ้านตาดำๆ สามารถมีเงินสิบตำลึงได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว ขอท่านเห็นแก่ที่พวกเขามีความตั้งใจยอมรับโทษปรับด้วยใจจริง ให้อภัยเอ้อซุ่นสักครั้งเถอะ”
ผู้ว่าการตำบลกลับคำพูดต่อหน้าเมิ่งเชียนโยวและคนมายมาย ยอมให้ครอบครัวเอ้อซุ่นใช้เงินชดใช้แทนการใช้แรงงาน ไม่คิดว่าครอบครัวเอ้อซุ่นจะมีให้ได้เพียงสิบตำลึง พลันรู้สึกว่าต่อไปตนเองจะกลายเป็นตัวตลกให้ชาวบ้านนำไปพูดนินทา ก็ยิ่งให้ขุ่นข้องโกรธเคือง พูดกับผู้ใหญ่บ้านด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน ไม่คิดแทนผู้เสียหาย กลับมาพูดขอร้องแทนหัวขโมยไร้จริยธรรมอย่างเขา เจ้าไม่อยากเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วใช่หรือไม่?”
สิ้นเสียงผู้ว่าการตำบล ผู้ใหญ่บ้านเหงื่อผุดซึมไปทั้งร่างพลัน รีบร้อนลนลานแก้ต่างให้ตัวเอง “ท่านใต้เท้าตรวจสอบด้วย ข้าเพียงเห็นว่าบิดามารดาเอ้อซุ่นอายุมากแล้ว ไม่อาจทนเห็นพวกเขาเศร้าโศกปานจะขาดใจเพราะต้องสูญเสียบุตรชายไป ถึงขอร้องแทนเอ้อซุ่น มิได้ลำเอียงเข้าข้างพวกเขาเลย”
ผู้ว่าการตำบลแค่นเสียงหึ “ขอให้เป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของเขาคงต้องสิ้นสุดเท่านี้แล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านโค้งคำนับ ปล่อยให้เหงื่อไหลย้อยลงพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเช็ด
ผู้ว่าการตำบลไม่แม้แต่จะมองเขา สั่งการเจ้าหน้าที่ “นำตัวนักโทษไป!”
เจ้าหน้าที่ขานรับ ฉุดตัวเอ้อซุ่นขึ้น ตะโกนร้องพากันกลับเข้าตัวเมือง
ผู้ว่าการตำบลถามเมิ่งเชียนโยวอย่างประจบ “แม่นางพอใจกับการลงทัณฑ์เช่นนี้หรือไม่?”
เมิ่งเชียนโยวพูดสอพลออย่างพินอบพิเทา “ท่านใต้เท้ายุติธรรมเที่ยงตรง เป็นบุญของพวกเราชาวตำบลชิงซีแล้ว”
ผู้ว่าการตำบลได้ฟังก็ให้ปลื้มปริ่มใจ หัวเราะลั่น
มารดาเอ้อซุ่นเห็นเจ้าหน้าที่ตะโกนร้องจะคุมตัวเอ้อซุ่นไปที่ตัวเมืองจริงๆ แล้ว สติแตกซ่าน ไม่เหลือฤทธิ์เดชกำแหงอวดดีเมื่อครู่ เดินขึ้นหน้า “พลั่ก” คุกเข่าเบื้องหน้าเมิ่งเชียนโยว ฟูมฟายเว้าวอน “ขอร้องล่ะ รับเอ้อซุ่นไว้ด้วยเถอะ!”
เมิ่งเชียนโยวเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้าน พูดว่า “นี่เป็นคำตัดสินของท่านใต้เท้า ข้าไม่มีสิทธิ์ขาด”
“เจ้ามีสิทธิ์ขาด พวกหลี่ตุนห้าคนเจ้าก็เป็นคนรับพวกเขาไว้ไม่ใช่หรือ? ข้ารับปากจะทำสัญญาทาสขายตัวให้เจ้าสิบปีแทนเอ้อซุ่น ขอเจ้ารับเอ้อซุ่นไว้ด้วยเถอะ” มารดาเอ้อซุ่นอ้อนวอน
เมิ่งเชียนโยวชักสีหน้าอึมครึม พูดว่า “พฤติกรรมของเอ้อซุ่น เกินกว่าขีดจำกัดที่ข้าจะให้อภัยได้ ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี ไม่ใช่จะรับใครไว้ก็ได้ เขาเป็นภัยต่อคนในหมู่บ้านมาหลายปี สมควรได้รับบทลงโทษตามเหมาะสมแล้ว”
มารดาเอ้อซุ่นไม่ตัดใจ คุกเข่าเดินหน้า โขกศีรษะเสียงลั่นหลายครั้ง ร้องไห้วิงวอน “ขอร้องล่ะ รับเอ้อซุ่นไว้ด้วยเถอะ!”
เมิ่งเชียนโยวพูดเยาะหยัน “หากมีเวลาโขกศีรษะ ท่านกลับไปอบรมสั่งสอนบุตรชายที่เหลือของท่านให้ดีๆ เถอะ วันนี้เอ้อซุ่นถูกพาตัวไป ถือเป็นสัญญาณเตือนของท่าน หากภายหน้าท่านยังปล่อยให้พวกเขาออกไปเกะกะระราน วางอำนาจบาตรใหญ่ สักวันก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้”
สามพี่น้องต้าซุ่นได้ฟังคำพูดนาง ต่างหวาดผวาตัวสั่น ร่างกายห่อหดโดยไม่รู้ตัว
เห็นเอ้อซุ่นถูกควบคุมตัวไปไกล มารดาเอ้อซุ่นคุกเข่าคร่ำครวญโหยไห้ โศกเศร้าปานจะขาดใจ
ผู้ว่าการตำบลราวกับไม่เห็นทั้งหมดนี้ ลุกขึ้นยืน หันไปพูดกับเมิ่งเชียนโยว “คดีความจบสิ้นแล้ว ข้าก็สมควรกลับแล้ว”
เมิ่งเชียนโยวพูด “รบกวนท่านใต้เท้าแล้ว วันหน้าเมื่อมีเวลา ข้าจะต้องเข้าไปในเมืองสักครั้ง”
ผู้ว่าการตำบลฟังความหมายแฝงของนางออก หัวเราะร่วนเดินออกไปจากลานบ้าน
ผู้ใหญ่บ้านเอาแต่เดินตามหลังต้อยๆ
ผู้ว่าการตำบลขึ้นหลังม้า นำเจ้าหน้าที่ที่เหลือจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
ชาวบ้านเห็นผู้ว่าการตำบลจากไปแล้ว ต่างซุบซิบนินทา ไม่คิดว่าเอ้อซุ่นจะถูกตัดสินโทษหนักเช่นนี้ เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้กลับมาแล้ว
มารดาเอ้อซุ่นปล่อยร่างนอนแน่นิ่งบนพื้นเจ็บปวดรวดร้าวแทบขาดใจ
พ่อเอ้อซุ่นราวกับมะเขือยาวมีน้ำค้างแข็งเกาะ เลื่อนลอยไร้สติ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สั่งกำชับบุตรชายตัวเอง “ประคองแม่เจ้าขึ้นมา พวกเรากลับบ้าน”
พี่น้องต้าซุ่นเดินขึ้นหน้า เข้าไปหามมารดาตัวเอง บรรดาสะใภ้ของครอบครัวเอ้อซุ่นก็รีบเข้าไปแบกสะใภ้เอ้อซุ่น เดินออกไปจากลานบ้านหลี่ตุนอย่างน่าสังเวช
ชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกในลานบ้านเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ต่างเดินซุบซิบนินทาแยกย้ายกลับบ้านไป
หมอยกนิ้วโป้งให้เมิ่งเชียนโยว พูดอย่างเลื่อมใส “แผนของแม่นางยอดเยี่ยมนัก”
เมิ่งเชียนโยวยกยิ้มอ่อน “เขารนหาที่ตายเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับแผนการของข้าเลย”
หมอลูบเครายาว แล้วยิ้มพูด “ข้าเป็นหมอมาหลายปี พบเจอคนมากมายหลากหลาย แม่นางเป็นคนเดียวที่ทำให้ข้ายอมรับนับถือจากหัวใจ ภายหน้าหากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะทำให้แม่นางได้ ก็ขอให้รีบบอก ข้าจักต้องทำให้แม่นาง”
เมิ่งเชียนโยวยิ้มพยักหน้า “ขอบคุณท่าน”
หมอยิ้มแล้วโบกมือ กลับเข้าไปในบ้านสะพายกระเป๋าของตัวเองขึ้น สาวเท้าออกไปอย่างคล่องแคล่ว
คนไปกันหมดแล้ว หลี่ตุนลูบคลำเหงื่อที่ผุดซึมออกมา พูดอย่างพินอบพิเทา “นายหญิง เข้าไปนั่งในบ้านเถอะ”
“ไม่ต้องแล้ว เจ้าอยู่พักฟื้นที่บ้านไปก่อน รอให้แม่เจ้าหายดีแล้ว ค่อยพานางไปอยู่ที่บ้านข้า เช่นนี้เจ้าจะได้ดูแลนางได้ทุกเมื่อ” เมิ่งเชียนโยวพูด
หลี่ตุนสะท้อนแววตายินดีระคนประหลาดใจ ริมฝีปากสั่นระริกถามอย่างไม่เชื่อ “นะ นายหญิง นี่ นี่เป็นความจริง? ข้าพาท่านแม่ไปอยู่ด้วยได้จริงๆ หรือ?”
เมิ่งเชียนโยวแสร้งชักสีหน้า ถามอย่างไม่พอใจ “ข้าเคยล้อเล่นเจ้าเมื่อใด?”
ครั้งนี้หลี่ตุนไม่หวาดกลัว ตื้นตันใจน้ำตารื้น ฝืนสะกดกั้นอารมณ์ พูดสะอึกสะอื้นกับนาง “ขอบคุณนายหญิง ขอบคุณนายหญิง”
เมิ่งเชียนโยวเม้มริมฝีปาก เผยรอยยิ้มบางที่ไม่ทันสังเกตเห็น หันหลังออกไปจากบ้านหลี่ตุน เดินขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้กลับไปโรงงาน
เหวินเปียวสะบัดบังเ**ยน หักเลี้ยวหัวม้า บังคับรถม้ามุ่งหน้าออกไปอย่างเชื่องช้า
เหวินหู่กระโดดตัวลอย นั่งบนคานม้าด้านหน้าอีกฝั่งหนึ่งเหมือนเคย
ตอนเข้ามาพวกอู๋ต้านั่งเบียดเสียดด้านหน้าและหลังรถม้า ตอนนี้เมิ่งเชียนโยวอยู่บนรถม้า พวกเขาจึงไม่กล้าขึ้นไปนั่งเบียดกันอีก จึงวิ่งเหยาะๆ ไล่หลังไป
เหวินเปียวบังคับรถม้ามาจอดหน้าประตูใหญ่โรงงาน เมิ่งเชียนโยวลงจากรถม้า พวกอู๋ต้าก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงหน้าประตู
พอเห็นเมิ่งเชียนโยวเข้ามา จางมู่ที่เฝ้าหน้าประตูแทนอู๋ต้ารีบเปิดประตูใหญ่ออก
เมิ่งเชียนโยวเดินตรงไปที่หน้าประตูโรงเย็บกระเป๋านักเรียน ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
เมิ่งชื่อไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นเมิ่งเชียนโยวเข้ามา ร้องพูดอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ เมื่อครู่พวกเราคำนวณแล้ว พวกนางจะได้เงินค่าแรงเดือนละสองตำลึงต่อคน”
กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนต่างดีใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความยินดี แม้แต่สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองโจวก็ดีใจตามไปด้วย
เมิ่งเชียนโยวพูดหยอกล้อพวกเขา “ยอดเยี่ยมไปเลย ครานี้พอพวกท่านกลับไปบ้าน คนในครอบครัวจะต้องเอาแต่ยกยอพวกท่าน”
กลุ่มหญิงสาวขบขันกับคำพูดของนาง หญิงสาวคนหนึ่งพูดว่า “ตั้งแต่เดือนแรกที่ข้ามาทำงาน คนในครอบครัวก็ดีกับข้าอย่างเหลือเชื่อ หลังจากกลับถึงบ้านไม่เพียงไม่ให้ข้าทำงานอะไร ยังคอยนำอาหารที่ดีที่สุดในบ้านมาวางตรงหน้าข้า”
หญิงสาวอีกคนก็พยักหน้าพูดเสริม “พวกเราก็เช่นกัน ชีวิตในตอนนี้ราวกับความฝันก็ไม่ปาน”
วันนี้เมิ่งเชียนโยวอารมณ์ดี พูดกระเซ้า “ขอเพียงพวกท่านตั้งใจทำงาน ชีวิตภายหน้าจะต้องยิ่งดีกว่านี้ ไม่แน่ว่าพอเลิกงาน จะมีคนเข้ามาแบกกลับไปส่งบ้านโดยเฉพาะ”
กลุ่มหญิงสาวหัวเราะขบขัน หญิงสาวคนหนึ่งลนลานโบกมือ “ไม่ได้ๆ เช่นนั้นพวกเราได้กลายเป็นง่อยพอดี”
หญิงสาวอีกคนพูดแหย่เย้านาง “นายหญิงเพียงแค่หยอกเจ้าเล่น เจ้ากลับคิดจริงจัง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนในหมู่บ้านคงเข้ามารุมล้อมกันหมด ถึงตอนนั้น เกรงว่าสามีเจ้าแม้แต่จะก้าวขาข้างไหนก็คงไม่รู้”
กลุ่มหญิงสาวหัวเราะครื้นเครง
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองโจวก็ถูกซึมซับไปด้วย เม้มปากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
คนทั้งหมดพูดคุยสรวลเสอีกครู่หนึ่ง เมิ่งชื่อมองดูท้องฟ้า เห็นว่าถึงเวลาทำอาหารเที่ยงแล้ว จึงลุกขึ้นกลับบ้านไปพร้อมเมิ่งเชียนโยว