ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 218-3 เป็นแม่สื่อ
คนทั้งหมดนั่งดีแล้ว ก็ลงมือกินอาหาร จางฟู่กุ้ยและฮูหยินจางต่างอดใจไม่ไหวคีบหมูสามชั้นน้ำแดงไปคนละชิ้น เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนก็คีบกันไปคนละชิ้น ซุนเหลียงไฉคีบหนึ่งชิ้นใส่ถ้วยตัวเอง คิดจะคีบมาอีกชิ้น พลันนึกถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ตะเกียบที่ยืดออกไปจึงหดกลับเข้ามา
จางเฉิงเป็นคนมีนิสัยเก็บตัว ที่ผ่านมาเวลากินข้าวจะคีบกินแต่อาหารที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เอาแต่คีบหมูสามชั้นน้ำแดงหลายต่อหลายชิ้นวางใส่ถ้วยตัวเอง
จางลี่เห็นเข้า แสร้งพูดแหย่เย้าเขา “เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องครัวข้าอดใจไม่ไหวสูดดมมัน เกิดไม่ระวังทำน้ำหลายหยดลงไป เจ้ากินเยอะเช่นนี้ ไม่รู้ว่ากินโดนน้ำลายข้าเข้าไปหรือไม่”
จางเฉิงชะงักค้างเล็กน้อย แล้วคีบหมูสามชั้นน้ำแดงใส่ปากเคี้ยวคำโต
จางลี่หัวเราะพูดว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าดูเถิดว่าอาหารของเจ้าอร่อยเพียงใด ปกติหากข้าพูดเช่นนี้ เขาบ้วนข้าวออกมาไม่เหลือแล้ว”
ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ฮูหยินจางก็ยกยิ้มเอ็ดนาง “ไร้มารยาท เวลากินข้าวไม่รู้จักสำรวมบ้าง”
จางลี่แลบลิ้นซุกซน รีบยกถ้วยข้าวตัวเองลงมือกินบ้าง
สองสามีภรรยาจางเป็นคนจริงใจ หลังจากคะยั้นคะยอพวกเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนหลายครั้ง ก็ไม่พูดมากอีก ปล่อยให้พวกเขากินตามที่ต้องการอย่างสบายใจ
เป็นมื้ออาหารที่อร่อยเอร็ดทั้งเจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือน โดยเฉพาะจางเฉิง หลังจากกินอิ่มแล้ว ก็เอาแต่นั่งลูบพุงตัวเองบนเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อน
ฮูหยินจางรู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ้มพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เฉิงเอ๋อร์กินข้าวจนมีสภาพนี้ ขายหน้าแม่นางเมิ่งแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขบขันว่า “คุณชายจางให้กำลังใจข้าเช่นนี้ แสดงว่าหมูสามชั้นน้ำแดงของข้าอร่อยมาก ข้าดีใจเสียไม่ว่าเล่า จะขายหน้าได้อย่างไร”
ฮูหยินจางเห็นนางมิได้เอามาใส่ใจจริงๆ ก็ให้โล่งอก
สาวใช้และบ่าวเข้ามาเก็บอาหารที่เหลือออกไป
จางเฉิงเล่นกับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉจนสนุกติดลมแล้ว นั่งได้ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นลากทั้งสองคนไปที่ห้องตัวเองอีก
จางฟู่กุ้ยหัวเราะมองดูบุตรชายที่กลายเป็นคนกล้าแสดงออก ให้นึกขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใจจริง
เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉได้รับการสอนสั่งอย่างเข้มงวดจากท่านอาจารย์มาตลอด นอกจากต้องไปเข้าเรียนตามเวลาทุกวัน ยังให้การบ้านกลับมาอีกไม่น้อย บดบังเวลาเล่นสนุก ตอนนี้อุตส่าห์ได้ออกมากับเมิ่งเชี่ยนโยว ย่อมปล่อยตัวเล่นสนุกเต็มที่
จางฟู่กุ้ยมองดูทั้งสามคนออกไปไกลแล้ว ถึงพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตื้นตันใจ “เฉิงเอ๋อร์กลายเป็นเด็กร่าเริงเช่นนี้ได้ โชคดีที่ได้แม่นางเมิ่งให้คำชี้แนะ บุญคุณใหญ่หลวงนี้ของเจ้า ชาตินี้พวกเราสองสามีภรรยาจะไม่มีวันลืม”
ฮูหยินจางก็พยักหน้าสนับสนุน
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมืออุตลุด “ข้าหาได้ทำสิ่งใดไม่ หากทั้งสองท่านยังกล่าวเช่นนี้ ต่อไปเมื่อข้าเข้ามาในจังหวัด คงไม่กล้ามาพักที่บ้านพวกท่านอีกแล้ว”
ช่วงเวลาที่ผ่านมาจางลี่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเหมือนพี่น้องแล้ว เอ่ยปากพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เมิ่งเชี่ยนโยวหาใช่คนอื่นไกลไม่ พวกท่านไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ก็ได้ จะทำให้นางอยู่กับพวกเราอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง”
สองสามีภรรยาจางพยักหน้าเบิกบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งให้ชมชอบจางลี่ สลัดความคิดในสมองไม่พ้น จึงโพล่งปากออกไป “เถ้าแก่จาง ฮูหยินจาง ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากพูดกับพวกท่าน”
จางฟู่กุ้ยสังเกตสีหน้าและคำพูด พบว่านางมิได้มีปฏิกิริยาเคร่งขรึม รู้ว่าไม่ใช่เรื่องไม่ดี จึงพูดว่า “เชิญแม่นางเมิ่งพูดเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสรวลกล่าวอย่างชื่นบาน “ข้าอยากจะเป็นแม่สื่อให้แม่นางจาง”
สิ้นเสียง ภายในห้องเงียบสงัด
สองสามีภรรยาจางและจางลี่มองนางอย่างไม่เชื่อ
ครู่หนึ่งจางลี่ถึงได้สติกลับมา ส่งเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้ว “เจ้าเองก็ยังเป็นแค่เด็กสาว จะมาเป็นแม่สื่อให้ข้า?”
สองสามีภรรยาจางก็ได้สติกลับมาแล้ว ฮูหยินจางถามนางอย่างยินดี “ไม่ทราบว่าแม่นางจะทาบทามให้บ้านสกุลไหน?”
“ท่านแม่ พวกท่านยังจะคิดเป็นจริง นางอายุเพียงเท่านี้ จะรู้หรือว่าแม่สื่อหมายความอะไร” จางลี่หันไปพูดกับฮูหยินจาง
จางฟู่กุ้ยเอ็ดนาง “แม่นางเมิ่งทำการค้าใหญ่โตเช่นนี้ จะต้องรู้จักคนไม่น้อย เจ้าไม่ต้องพูดแทรกแล้ว ฟังก่อนว่าเป็นบ้านสกุลไหน?”
วาจาจางฟู่กุ้ยยังพอมีน้ำหนักบ้าง จางลี่พลันไม่กล้าโต้แย้ง
จางฟู่กุ้ยก็ถามด้วยใบหน้าขึงขัง “แม่นางเมิ่ง ไม่ทราบว่าเจ้าจะพูดทาบทามให้บ้านสกุลไหน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง “บ้านที่ข้าจะพูดให้จางลี่นี้ ก็ทำการค้าเช่นกัน ครอบครัวทำการค้าอาหารปรุงสุกใหญ่โต มีบุตรชายเพียงคนเดียว อาศัยอยู่ในอำเภอชิงเหอ”
ฮูหยินจางได้ฟังว่าอยู่ห่างไกล ก็ให้หมดความสนใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ข้าและบุตรชายโทนของพวกเขาไม่เพียงเป็นคู่ค้ากัน ทั้งยังเป็นสหายรักกัน สภาพภายในครอบครัวพวกเขาข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยนิสัยร่าเริงเปิดเผยของแม่นางจาง หากแต่งเข้าไปจะต้องไม่เกิดปัญหาไม่ลงรอยระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้อย่างแน่นอน”
ความสัมพันธ์ของแม่สามีลูกสะใภ้ถือเป็นโจทย์ยากมาแต่ไหนแต่ไร ฮูหยินจางไม่อยากให้บุตรสาวแต่งไปไกล หวั่นเกรงด้วยนิสัยเช่นนี้ของนาง หลังจากแต่งงานไปแล้วจะไม่เป็นที่โปรดปรานของแม่สามี ทำคนไม่พอใจจะไม่มีคนคอยหนุนหลัง ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ พลันดวงตาสะท้อนแสงวับวาว ถามอย่างยินดี “ที่แม่นางเมิ่งพูดเป็นความจริง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าคบค้าสมาคมกับคุณชายจูหลายครั้งแล้ว เขาเป็นคนอย่างไรข้ารู้แจ้งแก่ใจ ขอเพียงเขาแต่งแม่นางจางเข้าบ้าน จักปฏิบัติดีต่อนางรักมั่นคงนางไปจนชั่วชีวิต”
ฮูหยินจางได้ฟังก็ยิ่งให้ปลาบปลื้มปิติ เอียงคอร้องเรียก “ท่านพี่”
จางฟู่กุ้ยเข้าใจความหมายนาง ถามขึ้น “แม่นางเมิ่งพูดถึงเขาดีเช่นนี้ ไม่ทราบว่าพวกเราจะขอพบหน้าเขาก่อนได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดครู่หนึ่ง พูดว่า “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปรับเขา ระยะทางไปและกลับคาดว่าพรุ่งนี้ตอนค่ำถึงจะมาถึง ทว่า ข้าต้องแจ้งกับพวกท่านก่อน คุณชายจูผู้นี้เคยมีคู่หมั้นมาแล้ว เพียงแต่ต่อมาเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ต้องถอนหมั้น”
สองสามีภรรยาจางตกตะลึง จางฟู่กุ้ยถามพลัน “เหตุใดเขาถึงต้องถอนหมั้น แม่นางเมิ่งพอจะสะดวกบอกพวกเราได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “หากการแต่งงานครั้งนี้ลุล่วง คุณชายจูย่อมจะบอกพวกท่านเอง ทว่า ข้ารับประกันกับพวกท่านได้ว่า ที่คุณชายจูต้องถอนหมั้น สาเหตุมาจากฝ่ายหญิงกระทำผิดร้ายแรง มิได้เกี่ยวข้องกับคุณชายจูเลยแม้แต่น้อย”
จางฟู่กุ้ยเห็นนางไม่ยอมพูด รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีบางอย่างที่พูดไม่ได้ จึงไม่ถามให้มากความอีก หันไปสบตาฮูหยินจางแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าต้องขอปรึกษากับฮูหยินก่อน ภายหลังค่อยให้คำตอบเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเพียงแค่เห็นแม่นางจางมีนิสัยร่าเริงแจ่มใส ให้นึกชมชอบนาง ถึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมาฉับพลัน หากว่าพวกท่านไม่ยินดี ก็ไม่เป็นไร ถือเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยกล่าว”
สองสามีภรรยาจางเริ่มจะสนใจบ้างแล้ว แต่ลังเลใจเรื่องที่จูหลานเคยถอนหมั้น ถึงคิดจะไปปรึกษากันให้ดีก่อน ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ฮูหยินจางรีบร้อนพูด “แม่นางเมิ่งอย่าได้เข้าใจผิด พวกเราเพียงต้องการจะหารือกันก่อน ว่าการแต่งงานนี้เหมาะควรหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายว่า “จังหวัดอยู่ห่างจากอำเภอชิงเหอค่อนข้างไกล พวกท่านจะหารือกันก่อนก็สมควรแล้ว อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรบุ่มบ่ามตัดสินใจ พวกท่านปรึกษาทบทวนกันให้ดีก่อน แล้วส่งข่าวให้ข้าแต่เนิ่นๆ ข้าจะได้มีเวลาจัดการ”
จางลี่เอาแต่นั่งฟังเงียบๆ อีกด้าน ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบก็ถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าต้องจัดการสิ่งใด?”
“หากพวกท่านตกลง ข้าจะอยู่ในจังหวัดเพิ่มอีกวัน ให้เหวินเปียวไปรับจูหลานมา หากพวกท่านไม่ยินดี พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็จะเดินทางกลับ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
“อ๊า” จางลี่ร้องลั่น “เหตุใดพวกเจ้าต้องรีบกลับไปเร็วเช่นนี้ อยู่ต่ออีกหลายๆ วันไม่ได้หรือ? ข้ายังอยากให้เจ้าสอนข้าทำอาหารด้วยเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “อี้เซวียนและเหลียงไฉต่างต้องเรียนหนังสือ ออกมาครั้งนี้ท่านอาจารย์ให้ลาได้สองวัน หากไม่มีเรื่องอันใด พรุ่งนี้พวกเราจักต้องเดินทางกลับทันที”
จางลี่แสดงสีหน้าผิดหวังทันใด จับแขนเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอ้อนวอน “เช่นนั้นคืนวันนี้เจ้ามานอนกับข้านะ พวกเราจะได้คุยกันเต็มที่”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับการฝึกฝนจากชาติก่อนจนติดเป็นนิสัย หากข้างกายมีคนอื่นจะนอนหลับไม่สนิท ไม่ได้รับปากทันที แต่ขบคิดเล็กน้อยถึงแย้มยิ้มพยักหน้า
ฮูหยินจางสังเกตถี่ถ้วน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวผงะเล็กน้อย รู้ว่านางไม่ใคร่ยินดี รีบพูดว่า “แม่นางเมิ่งมิต้องสนใจลี่เอ๋อร์หรอก พวกเราเตรียมห้องเอาไว้แล้ว เจ้าไปนอนอย่างสบายใจได้”
แม้จางลี่ก็เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีอาการลังเล แต่มิได้คิดไปไกล นึกว่านางคงกระดากอาย ไม่กล้านอนกับตัวเอง ดึงมือนางอย่างสนิทสนมพูดหว่านล้อม “เจ้าข้าต่างก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน มีอะไรต้องเขินเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางเข้าใจผิด แต่ก็ไม่อธิบาย พูดไหลไปตามบทสนทนาของนาง “ครอบครัวข้ามีพี่ชายน้องชายหลายคน ส่วนผู้หญิงมีข้าเพียงคนเดียว ข้าชินกับการนอนคนเดียวแต่เด็กแล้ว จึงไม่คุ้นเคยกับการนอนโดยมีใครมาอยู่ข้างๆ”
จางลี่ดึงมือนางมาอย่างรักใคร่สนิทสนม พูดด้วยความเบิกบาน “ข้าก็นอนคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก วันนี้พวกเราสองสาวจะได้เข้าใจความรู้สึกอย่างพี่สาวน้องสาวแล้ว” พูดจบ ดึงเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นอย่างอดใจรอไม่ไหว “ไปเถอะ ไปดูห้องข้ากัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้สองสามีภรรยาจางอย่างมีมารยาท แล้วเดินตามจางลี่ไปที่ห้องนาง
สองสามีภรรยาจางมีเรื่องต้องปรึกษากัน จึงมิได้ขัดขวาง หลังจากส่งยิ้มมองดูทั้งสองคนออกไป จางฟู่กุ้ยก็หันไปถามฮูหยินจาง “ฮูหยิน เจ้าคิดว่าเรื่องการแต่งงานที่แม่นางเมิ่งพูดทาบทามให้จางลี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ฟังดูก็ไม่เลวหรอก ทว่าข้ายังลังเลเรื่องที่เขาเคยถอนหมั้นมาก่อน หากเป็นเพราะฝ่ายหญิงกระทำความผิดร้ายแรง พวกเขาถอนหมั้นก็ยังพอรับได้ แต่หากไม่ใช่เล่า พวกเขาทำเช่นนี้เท่ากับทำร้ายชีวิตหญิงสาวคนหนึ่งทั้งเป็น คนเช่นนี้ต่อให้ดีอย่างไรก็จะให้ลี่เอ๋อร์แต่งงานด้วยไม่ได้” ฮูหยินจางตอบ
จางฟู่กุ้ยพยักหน้า “ฮูหยินพูดมีเหตุผล เสียดายที่อำเภอชิงเหออยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ พวกเราไม่อาจสืบข่าวได้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่ข้าเชื่อในนิสัยใจคอของแม่นางเมิ่ง เมื่อนางบอกว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณชายท่านนั้น เช่นนั้นก็เพราะฝ่ายหญิงกระทำผิดร้ายแรงเอง ข้าคิดว่าการแต่งงานนี้ยังใตร่ตรองได้”
ฮูหยินจางถอนหายใจ “พวกเราก็ไม่เคยสั่งสอนลี่เอ๋อร์อย่างเข้มงวดตั้งแต่เล็กๆ ทำให้นางมีนิสัยโผงผางกระโดกกระเดก หากแต่งงานไปจริงๆ เกรงจะไม่เป็นที่พอใจของแม่สามี แม่นางเมิ่งกล่าวถึงครอบครัวนี้ข้าเองก็หวั่นไหวอยู่ไม่น้อย ทว่าข้าก็กลัวว่าหากมิได้เป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ ภายหน้าลี่เอ๋อร์ของพวกเราจะต้องทนทุกข์ทรมาน ทั้งอยู่ไกลจากบ้านแม่ ถูกดุว่าพวกเราก็ไม่รู้”
“แต่งงานต้องเชื่อฟังสามี ภายหน้าต่อให้ลี่เอ๋อร์ได้สามีเป็นคนในจังหวัด ถูกคนดุว่า พวกเราก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง” จางฟู่กุ้ยกล่าว
ฮูหยินจางกล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจ “ข้าทราบ แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าลี่เอ๋อร์อยู่ใกล้พวกเรา ข้ายังพอจะสบายใจขึ้นบ้าง”
จางฟู่กุ้ยเชื่อมั่นในตัวเมิ่งเชี่ยนโยวมาก เรื่องการแต่งงานที่นางพูดทาบทามนี้ก็เห็นด้วยอย่างหมดหัวใจแล้ว พอเห็นฮูหยินจางลังเล จึงพูดอธิบายหว่านล้อมนาง “เรื่องการแต่งงานของลี่เอ๋อร์สำคัญที่สุด ขอเพียงบ้านสกุลนั้นดีต่อลี่เอ๋อร์ ไกลไปบ้างก็ไม่เป็นไร อีกอย่างอำเภอชิงเหอก็มิได้ไกลโขจากจังหวัด นั่งรถม้าครึ่งวันก็ไปถึงแล้ว หากภายหน้าเกิดเรื่องกับลี่เอ๋อร์ พวกเรารู้ข่าวก็ไม่สายเกินไป”
เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี จางฟู่กุ้ยพูดเช่นนี้ ฮูหยินจางเข้าใจความหมายของเขาพลัน “ดูท่าท่านพี่จะเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้แล้ว”
จางฟู่กุ้ยพยักหน้า “ข้าเชื่อในตัวเมิ่งเชี่ยนโยว นางไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มาลวงหลอกพวกเรา ไม่เช่นนั้นพวกเราลองพบหน้าเขาดู หากคุณชายท่านนั้นดีเช่นนั้นจริงๆ พวกเราจะได้กำหนดเรื่องแต่งงานให้ลี่เอ๋อร์แต่เนิ่นๆ จะได้จัดการเรื่องหนักอกของพวกเราไปได้อีกเปราะหนึ่ง”
จางฟู่กุ้ยจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องใหญ่ในบ้าน บวกกับที่เดิมทีฮูหยินจางก็รู้สึกหวั่นไหวแล้ว ตอนนี้ได้ยินจางฟู่กุ้ยพูดเช่นนี้ ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ ว่าตามท่านพี่เถอะ ข้าจะไปบอกแม่นางเมิ่งเดี๋ยวนี้ ให้วันพรุ่งนางไปรับคนเข้ามา พวกเราจะได้เจอหน้ากัน”
จางฟู่กุ้ยพยักหน้า
ฮูหยินจางลุกขึ้นพลัน เดินตรงไปที่ห้องนอนจางลี่ ยังห่างอีกไกลก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของบุตรสาวดังแว่วมา รอยยิ้มเอ็นดูผุดขึ้นที่มุมปาก
สาวใช้หน้าประตูทำความเคารพนาง “ฮูหยิน ท่านมาแล้ว คุณหนูกำลังพูดคุยกับแขกสำคัญด้านในเจ้าค่ะ”
จางลี่ได้ยินเสียงสาวใช้ ลุกขึ้นเดินมาด้านนอก แย้มถาม “ท่านแม่ ข้ากำลังคุยกับแม่นางเมิ่งสนุกเลย ท่านรีบเข้ามาเถอะ”
ฮูหยินจางเดินเข้ามาในห้อง ยกยิ้มพูดว่า “แม่รู้ว่าพวกเจ้าคุยกันอย่างมีความสุข เพิ่งจะพ้นประตูนอกเรือนเข้ามาก็ได้ยินเสียงของเจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นฮูหยินจางเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รู้ทันทีว่าเรื่องการแต่งงานของจางลี่เข้าใกล้ความเป็นจริงแล้ว เป็นจริงดังคาด ฮูหยินจางเพิ่งจะนั่งลง ก็พูดกับนางว่า “แม่นางเมิ่ง วันพรุ่งนี้เจ้าให้คนของเจ้าไปรับคุณชายท่านนั้นเข้ามา ให้พวกเราได้พบหน้ากันหน่อยเถิด”