ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 220-1 กลัวหรือ?
ในตอนที่บรรยากาศตึงเครียดนั้นชายฉกรรจ์นายหนึ่งทนต่อไปไม่ไหวหมายจะชักอาวุธข้างเอวออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในห้องโดยสารร้องกร้าว “เหวินหู่ ไป!”
เหวินหู่เก็บคืนสายตา บังคับรถม้าวิ่งเหยาะๆ ไปตามถนนมุ่งหน้ากลับไป
กลุ่มชายฉกรรจ์มองดูรถม้าจากไป หันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก ลืมพฤติกรรมทั้งหมดไปสิ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เมื่อพวกเขาเริ่มสะกดรอยตามจากร้านค้า เช่นนั้นพวกเราจงกลับไปร้านค้า ไม่ไปเรือนเถ้าแก่จาง เลี่ยงไม่นำความเดือดร้อนไปให้เขา”
เหวินหู่พยักหน้า บังคับรถม้าตรงไปร้านค้า
กลุ่มชายฉกรรจ์ตะลึงจังงัง แล้ววิ่งไล่ตามรถม้าไปดังเดิม
เหวินเปียวคอยเฝ้าระวังพฤติกรรมของพวกเขา เห็นพวกเขาวิ่งตามหลังมา ร้องบอกเมิ่งเชี่ยนโยวเสียงเบา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ไม่ต้องสนใจพวกเขา นี่เป็นเขตในเมือง พวกเขาไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม”
เหวินหู่บังคับรถม้ามาถึงหน้าร้านค้า พนักงานในร้านเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดอย่างสุภาพ “แม่นางเมิ่ง นายท่านกลับไปแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบ ข้าอยากถามพวกเจ้า นับแต่ที่พวกเราออกไปจนถึงตอนนี้ มีใครมาเดินป่วนเปี้ยนหน้าร้านหรือไม่”
พนักงานคิดเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอก สั่งพนักงาน “ไปจูงม้าของพวกเรามา ข้าจะไปเรือนนายท่านของพวกเจ้า”
พนักงานรับคำ จูงม้าออกมา มอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ยืนรอหน้าประตูนี้ ข้าจะไปหารือเรื่องบางอย่างกับเถ้าแก่จาง ไม่นานก็กลับมา”
ทั้งสองขานรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวพลิกตัวขึ้นหลังม้า เหล่มองกลุ่มชายฉกรรจ์แวบหนึ่ง แล้วควบม้าจากไป
วิ่งมาได้ระยะหนึ่ง หันหลังกลับไปมอง ไม่มีชายฉกรรจ์สักคนสะกดรอยตามมา ขบคิดในใจ “หรือจะไม่ใช่เพราะอี้เซวียน? เช่นนั้นพวกเขาทำเพราะอะไรกันแน่?”
กระทั่งมาถึงเรือนสกุลจาง ก็ไม่มีใครตามหลังมา เมิ่งเชี่ยนโยวให้รู้สึกโล่งใจและนึกกังขาไปพร้อมๆ กัน
คนเฝ้าประตูเรือนสกุลจางจำนางได้ เห็นนางลงจากม้า รีบเข้าไปรับบังเ**ยนจากมือนางอย่างอ่อนน้อม พูดอย่างสุภาพ “คุณหนู นายท่านสั่งการไว้ พอท่านกลับมาให้ไปพบพวกเขาที่ห้องรับแขก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า มอบบังเ**ยนในมือให้คนเฝ้าประตู แล้วหันกลับไปดูอย่างระแวดระวัง พบว่าไม่มีคนสะกดรอยตามมาจริงๆ จึงรีบเดินเข้าไปด้านใน ตรงมายังห้องรับแขก
หลังจากเถ้าแก่จางกลับถึงร้าน ก็ตรงรี่เข้าไปเรียกพวกเมิ่งอี้เซวียนทั้งสามคนและจางลี่กลับไปที่เรือน บอกฮูหยินจางว่าไม่เพียงแต่จูหลานที่เข้ามา บิดามารดาของจูหลานก็ตามเข้ามาด้วย
พอได้ยินว่าบิดามารดาของอีกฝ่ายก็เข้ามาด้วย ฮูหยินจางตกใจเล็กน้อย แล้วถามว่า “คุณชายท่านนั้นเป็นอย่างไร?”
เถ้าแก่จางตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “รูปงามสง่า อ่อนโยนมีมารยาท ทว่ามิได้ปริปากพูดอะไร ไม่รู้ว่ามีอุปนิสัยใจคออย่างไร”
ฮูหยินจางได้ฟังแย้มยิ้มหน้าบาน “รูปลักษณ์งามสง่า คิดว่าอุปนิสัยก็น่าจะใช้ได้”
เถ้าแก่จางพยักหน้า น้ำเสียงเจือแววกรุ้มกริ่ม “หลังจากที่ข้าจัดเตรียมโรงเตี๊ยมให้พวกเขาเสร็จ ก็รีบกลับมาปรึกษากับฮูหยิน พวกเราจะจองภัตตาคารกินอาหารกับพวกเขาคืนนี้ หรือว่าพรุ่งนี้ดีเล่า?”
ฮูหยินจางนั่งขบคิดบนเก้าอี้ แล้วพูดว่า “แม้การแต่งงานนี้จะยังไม่กำหนด แต่พวกเขาอุตส่าห์มาจากอำเภอชิงเหอด้วยความตั้งใจจริง พวกเราไม่ควรเพิกเฉยพวกเขา เราไปจองห้องรับรองในภัตตาคารหรูใกล้โรงเตี๊ยมของพวกเขา พบหน้ากันเสียแต่คืนนี้ จะได้รู้จักหน้าคาดตากันไว้ อย่างไรพวกเราต่างก็เป็นพ่อค้า มิใช่สกุลบรรดาศักดิ์ มิต้องสนใจธรรมเนียมยิบย่อยพวกนั้นหรอก”
เถ้าแก่จางก็คิดเช่นนี้ พยักหน้าพลัน หันไปเปล่งเสียงบอกบ่าวรับใช้ ให้เขาไปจองห้องรับรองภัตตาคารหรูใกล้โรงเตี๊ยมไว้
บ่าวรับใช้ขานรับแล้วจากไป
ฮูหยินจางอดใจรอไม่ไหว ซักไซ้ถึงรูปลักษณ์ของจูหลานอีกครั้ง
ฮูหยินจางยิ้มสรวลพรรณนาหน้าตาจมูกปากของจูหลานออกมาอย่างละเอียด
ฮูหยินจางยิ่งฟังก็ยิ่งชอบใจ อยากจะกำหนดการแต่งงานครั้งนี้เสียทันทีทันใด
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในลานเรือน ก็มีสาวใช้เข้ามาทักทาย ฮูหยินจางได้ยินเสียงสาวใช้ ลุกขึ้นยิ้มเดินออกไปนอกห้องรับแขก พูดว่า “แม่นางเมิ่งกลับมาพอดี ข้าและนายท่านเพิ่งจะปรึกษากันเสร็จ พวกเราจองภัตตาคารไว้แล้ว คืนนี้จะได้ต้อนรับครอบครัวคุณชายจูให้เต็มที่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินผ่านประตูเข้ามา ยกยิ้มพูดว่า “ท่านป้าจูก็มีความคิดเช่นนี้ รบเร้าให้ข้ากลับมาถามไถ่ เมื่อพวกท่านจองภัตตาคารเอาไว้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปบอกพวกเขาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินจางให้นางนั่งลง แล้วสั่งสาวใช้ไปชงชาเข้ามาหนึ่งถ้วย ถึงพูดว่า “รบกวนแม่นางเมิ่งแล้วจริงๆ รอให้การแต่งงานนี้กำหนดเป็นที่เรียบร้อย พวกเราจะต้องขอบใจเจ้าให้ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ พูดหยอกเอิน “มิต้องขอบใจหรอกเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นท่านให้ซองแดงหนาๆ ข้าก็พอ”
ฮูหยินจางยิ้มรับปากทันควัน “แน่นอนเทียว ของขอบคุณแม่สื่อย่อมขาดเจ้าไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเพียงจะแหย่เย้า มิได้เก็บมาใส่ใจ เปลี่ยนหัวข้อเรื่อง พูดอ้อมค้อม “ข้าไม่ได้พบปะท่านป้าจูมานานแล้ว คืนนี้ข้าอยากพาอี้เซวียนและเหลียงไฉไปพักที่โรงเตี๊ยม รบกวนท่านให้คนไปตามพวกเขามาหน่อยเถิด”
รอยยิ้มบนใบหน้าฮูหยินจางจางหายพลัน ถามด้วยอารามตกใจ “แม่หนูจะพาน้องชายไปพักโรงเตี๊ยม เป็นเพราะพวกเรามีสิ่งใดต้อนรับบกพร่องไปหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดทันควัน “ฮูหยินอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้พบหน้าท่านป้าจูนานมากแล้วจริงๆ อยากพูดคุยกับนางให้เต็มอิ่ม อีกอย่างต้องการจะขอคำแนะนำเรื่องการค้าจากท่านลุงจูด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินจางมองนางไม่เหมือนคนพูดโกหก จึงวางใจลงพูดว่า “เช่นนั้นแม่หนูก็ไปเถอะ ปล่อยคุณชายน้อยทั้งสองไว้กับพวกเรา ให้พวกเขาได้เล่นสนุกกับเฉิงเอ๋อร์อีกสักคืน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดาไม่ออกว่าชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นสะกดรอยตามพวกเขาเพราะเรื่องอะไรกันแน่ เพื่อไม่ให้ครอบครัวเถ้าแก่จางต้องติดร่างแหไปด้วยจึงคิดหาข้ออ้างย้ายไปอยู่โรงเตี๊ยม จะทิ้งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไว้ที่นี่ได้อย่างไร ได้ฟังก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินคงยังไม่ทราบ ข้าดูแลพวกเขาสองคนจนเคยชินแล้ว หากพวกเขาไม่อยู่ข้างกายข้า ข้าจะเป็นกังวลจนนอนไม่หลับ ดังนั้นข้าจำเป็นต้องพาพวกเขากลับไปโรงเตี๊ยมด้วยกัน”
คำพูดเมิ่งเชี่ยนโยวถูกต้องตามหลักเหตุและผล ฮูหยินจางแม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็มิได้ยืนหยัดอีก ให้บ่าวไปตามเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเข้ามา
จางเฉิงเดินตามหลังเข้ามาด้วยความประหลาดใจ พอได้ยินว่าทั้งสองคนต้องไปอยู่โรงเตี๊ยม ก็ไม่พอใจ เงยใบหน้าวิงวอนมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวให้สัญญา “คุณชายจาง วันหน้าเวลาพวกเราเข้ามาส่งสินค้า จะต้องมาพักที่จวนของพวกท่าน”
จางเฉิงได้ฟังเช่นนั้นรอยยิ้มน้อยๆ หวนคืน ออกมาส่งพวกเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคนนอกจวนพร้อมบิดามารดาตนเองอย่างอาวรณ์
บ่าวนำรถม้ามาประกอบให้เรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่จางคิดจะส่งบ่าวสองสามคนไปคอยรับใช้ เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ รับบังเ**ยนจากมือบ่าวมา กระโดดขึ้นบนรถม้า หลังจากกล่าวอำลาสองสามีภรรยาจางก็บังคับม้ามุ่งหน้าตรงไปร้านค้า
เถ้าแก่จางและฮูหยินจางมองรถม้าจนลับตาไป พาจางเฉิงกลับเข้าจวน คาดเดาถึงสาเหตุที่จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขอแยกตัวไป แต่คิดมาคิดไปก็มิได้รู้สึกว่ามีตรงไหนบกพร่องต่อนาง จึงเชื่อในคำพูดของนาง
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวบังคับรถม้ากลับมาถึงร้านค้า ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว และถึงเวลาเลิกงานของพนักงานในร้านแล้ว
กลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่ไกลออกไปไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกจับได้หรือไม่ นั่งข้างถนนไกลออกไป มองมาทางร้านค้าอย่างโจ้งแจ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สนใจพวกเขา มอบบังเ**ยนในมือให้เหวินเปียว ส่วนตัวเองถอยไปอีกด้าน สั่งการพวกเขาสองคน “ไปโรงเตี๊ยม”
เหวินเปียวและเหวินหู่กล่าวขอบคุณพนักงานในร้าน แล้วบังคับรถม้ามุ่งหน้าไปโรงเตี๊ยม ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นไล่ตามหลังไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เหวินเปียวบังคับรถม้าอย่างเอื่อยเฉื่อย พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวเสียงเบา “แม่นาง เมื่อครู่ตอนที่ท่านจากไป พวกเขากลับไม่ได้ตามท่านไป คิดว่าคงจะพุ่งเป้ามาที่พวกเราสองพี่น้อง พวกเราสองพี่น้องไม่ตามท่านและคุณชายทั้งสองไปโรงเตี๊ยมแล้ว จะได้ไม่ทำพวกท่านเดือดร้อนไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ขานรับ กลับย้อมถามพวกเขา “พวกเจ้าจะไปที่ใด?”
เหวินเปียวตอบ “พวกเราสองพี่น้องปรึกษากันแล้ว จะหาที่ลับตาคนฆ่าสู้กับพวกเขาสักตั้ง”
“จากนั้นเล่า?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “พรุ่งนี้ให้ข้าไปรับศพพวกเจ้าที่กองปราบหรือไร?”
เหวินเปียวถูกถามกลับ อึดใจหนึ่งถึงพูดเสียงเบาว่า “วรยุทธ์ของพวกเราสองพี่น้องไม่ด้อย ไม่แน่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดดักคอพวกเขา “เมื่อครู่ข้าสังเกตพวกเขาแล้ว พวกเขามีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา พวกเจ้าสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา การจะต่อสู้กับพวกเขาพวกเจ้ามีแต่ตายสถานเดียว”
เหวินเปียวก็เป็นคนมีวิชา สังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าวรยุทธ์ของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ธรรมดา ได้ฟังก็นิ่งเงียบ กล่าวขึ้นอย่างละอาย “แม่นางมีบุญคุณล้นฟ้าต่อพวกเรา พวกเราจะให้ท่านเดือดร้อนไม่ได้”
“พวกเขาสะกดรอยตามพวกเจ้ามานานแล้ว กลับไม่ยอมลงมือ คิดว่าคงหมายจะจัดการพวกเจ้าหมดทั้งสกุล พวกเจ้าอย่าเพิ่งบุ่มบ่าม ระหว่างทางกลับพวกเราค่อยคิดหาวิธีจัดการพวกเขา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินเปียวติดตามเมิ่งเชี่ยนโยวมานาน เห็นนางจัดการเรื่องราวกับตาตัวเองมาตลอด ทั้งเลื่อมใสและศรัทธาในตัวนาง ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ให้วางใจลง ไม่สนใจกลุ่มชายฉกรรจ์ด้านหลังอีก เร่งความเร็วรถม้ามุ่งหน้าไปโรงเตี๊ยม
เหวินหู่ที่บังคับรถม้าไล่ตามหลังมา เห็นเหวินเปียวบังคับรถม้ามาถึงโรงเตี๊ยมก็ให้สงสัย กลับมิได้เอ่ยปากซักถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านรถขึ้น เรียกเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉที่กำลังเล่นสนุกให้ลงจากรถม้า แล้วกระโดดลงมาพาทั้งสองคนเข้ามาในโรงเตี๊ยม
หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมตาไว แวบเดียวก็จำได้ว่าเป็นแม่นางน้อยที่เมื่อครู่เข้ามาพร้อมเถ้าแก่จาง แย้มยิ้มทักทาย “แม่นางน้อย ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินไปหน้าโต๊ะพูดว่า “เปิดห้องให้พวกเราสามห้อง”
หลงจู๊มองพวกเขาสามคน ถามด้วยความกังขา “พวกท่านสามคนหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้รถม้าด้านนอก พูดว่า “ยังมีอีกสองคน”
หลงจู๊มองรถม้าที่ประดับตกแต่งงดงามหรูหราด้านนอก ลงมือจดบันทึกด้วยความเบิกบาน เปิดห้องเสร็จเรียบร้อย ก็พาพวกเขาไปที่ห้องด้วยตัวเอง พลางสั่งเสี่ยวเอ้อร์ “จูงรถม้าของแขกไปดูแลด้านหลังให้ดี”
เสี่ยวเอ้อร์สองนายขานรับคำ เดินไปด้านนอก รับบังเ**ยนในมือเหวินเปียวและเหวินหู่มา จูงม้าไปหลังร้าน