ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 220-2 กลัวหรือ?
เหวินเปียวและเหวินหู่เดินอาดๆ เข้ามาในโรงเตี๊ยม ตามพวกเขาขึ้นไปชั้นสอง
หลงจู๊เปิดสามห้องติดกับพวกจูหลานให้พวกเขา พูดว่า “แม่นางดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เข้าไป ถามขึ้น “ยังมีห้องอื่นอีกหรือไม่?”
เมื่อครู่หลงจู๊เห็นจูหลานออกมาส่งนางถึงชั้นล่างด้วยตัวเอง นึกว่าสองคนสนิทกันดี ถึงเลือกห้องสามห้องที่ใกล้พวกเขาที่สุดให้ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเช่นนี้ก็ให้ผงะ ร้อนรนตอบกลับ “มีห้องติดระเบียงทางเดิน อยู่ค่อนข้างไกลจากตรงนี้”
“รบกวนหลงจู๊พาพวกเราไปดูหน่อยเถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หลงจู๊ขานรับ เคลื่อนย้ายความกังขาเต็มล้นพาพวกเขาเดินมาสุดปลายระเบียงทางเดิน เปิดห้องทั้งสามออก “แม่นางดูก่อนว่าใช้ได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นภายในห้องสะอาดสะอ้าน หน้าต่างก็ติดถนน พยักหน้าพอใจ “เอาสามห้องนี้เถอะ ขอบคุณหลงจู๊”
จู่ๆ ก็มีคนจองห้องพักถึงสามห้อง หลงจู๊หน้าบานเป็นจานเชิงอีกครั้ง พูดอย่างชื่นบาน “แม่นางพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้ยกน้ำมาให้พวกท่าน” พูดจบ หันหลังลงไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์อย่างสุขใจ
กลับมาพูดถึงกลุ่มชายฉกรรจ์ที่สะกดรอยตามมา แต่ถูกจับได้แล้ว ทั้งเห็นว่าพวกเมิ่งเชี่ยนโยวต่างรวมตัวพักอาศัยที่โรงเตี๊ยม เพื่อให้ลงมือสะดวก จึงเปิดห้องพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไปด้วยเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้อง เปิดหน้าต่างออก มองดูด้านนอกแวบหนึ่ง ลอบประเมินบางสิ่งในใจ ด้วยวรยุทธ์ของชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นจะปีนขึ้นมาในห้องนี้ได้หรือไม่
เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉนึกว่านางกำลังเพลิดเพเมิ่งเชี่ยนโยวกับทิวทัศน์ด้านนอก จึงเดินมาที่บานหน้าต่างอย่างใคร่รู้
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบปิดหน้าต่างทันที พูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าตามข้าไปพบท่านลุงท่านป้าจู”
ทั้งสองคนพยักหน้า ตามหลังนางมาถึงหน้าประตูห้องบิดามารดาจูหลานอย่างเชื่อฟัง
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวจากไป แม่จูก็ได้แต่รอคอยด้วยความกระสับกระส่าย เห็นนางยังไม่กลับมาเสียที เดินวนไปเวียนมาอย่างไม่เป็นสุขราวกับมดในหม้อร้อน
พ่อจูมองนางจนตาลาย พูดเตือนว่า “เจ้าสงบจิตสงบใจบ้างเถอะ ไม่รู้ว่าจวนสกุลจางอยู่ห่างเพียงใด แม่นางเมิ่งมาๆ ไปๆ ย่อมต้องใช้เวลา เจ้าอดใจรออีกประเดี๋ยวนางก็คงกลับมาแล้ว”
แม่จูไหนเลยจะนั่งติด พูดว่า “หากแม่นางเมิ่งยังไม่กลับมา ใจของข้าไม่มีทางเป็นสุขได้ จะให้ข้าทำใจนั่งนิ่งได้อย่างไร”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยอยู่นั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็เคาะประตูส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องเรียก “ท่านลุงจู ท่านป้าจู”
ป้าจูก้าวฉับๆ มาหน้าประตู เปิดประตูอย่างไม่รอรี่ ถามด้วยใบหน้าปิติ “แม่นางเมิ่ง เจ้ากลับมาแล้ว รีบเข้ามาเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้อง ชี้แนะนำสองคนที่เดินตามหลังมา “นี่เป็นน้องชายของข้าเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเจ้าค่ะ”
เป็นครั้งแรกที่แม่จูเจอเมิ่งอี้เซวียน ตกใจจนร้องอุทาน “ข้าไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายที่ใบหน้างดงามราวรูปสลักเช่นนี้มาก่อน เมื่อเติบใหญ่ไม่รู้จะเป็นที่ลุ่มหลงของหญิงสาวมากมายเพียงใด”
เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงฝาดพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายให้ทั้งสองคนกล่าวทักทาย
เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉร้องเรียกอย่างมีสัมมาคารวะ
พ่อจูแม่จูแย้มยิ้มขานรับ
พอคนทั้งหมดนั่งลง แม่จูก็ถามอย่างอดใจรอไม่ไหว “แม่นางเมิ่ง จวนสกุลจางว่าอย่างไรบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “เถ้าแก่จางและฮูหยินจางจองห้องรับรองที่ภัตตาคารไว้แล้ว ให้มาเชิญพวกท่านไปกินอาหารด้วยกัน”
แม่จูไฉนเลยจะไม่เข้าใจความหมายแฝงของนาง พูดกับพ่อจูอย่างแช่มชื่น “ท่านรีบไปเรียกหลานเอ๋อร์เข้ามาเถอะ”
พ่อจูลุกขึ้นด้วยหน้าตาเบิกบาน เดินออกไปห้องข้างๆ ไม่นานจูหลานก็ตามพ่อจูเข้ามา เห็นเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉก็อยู่ด้วย ถามทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดพวกเจ้าก็ตามเข้ามาด้วย มิต้องร่ำเรียนกับท่านอาจารย์หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “สองวันนี้เป็นวันพักของพวกเขา ข้าจึงพาพวกเขาเข้ามาส่งสินค้าด้วย”
“เช่นนั้นพวกเจ้าพักที่ไหน?” จูหลานถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขา “พวกเราเปิดห้องพักสามห้องที่สุดปลายระเบียงทางเดิน”
จูหลานยังคิดจะถามต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
จูหลานลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เหวินเปียวกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง เถ้าแก่จางส่งบ่าวเข้ามารับครอบครัวคุณชายจูไปกินข้าวที่ภัตตาคารขอรับ”
“เจ้าให้เขารอสักครู่ พวกเราจะลงไปเดี๋ยวนี้” แม่จูกล่าวเร็วรี่
เหวินเปียวหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เหวินเปียวหันหลังจากไป
แม่จูตรวจดูความเรียบร้อยของพ่อจู จูหลานและตนเองอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม พูดกับคนทั้งหมด “พวกเราไปเถอะ”
คนทั้งหมดเดินเรียงแถวลงมาชั้นล่าง บ่าวของจวนสกุลจางยืนรออยู่ด้านนอกพร้อมเหวินเปียวและเหวินหู่ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็กล่าวอย่างอ่อนน้อม “คุณหนูขอรับ นายท่านให้พวกเรามารับพวกท่านขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพยักหน้า
คนทั้งหมดเดินตามหลังบ่าวรับใช้ไป
ชายฉกรรจ์สองคนที่จับจ้องดูเหวินเปียวและเหวินหู่ไม่วางตา ยังคงตามไล่หลังมา
ภัตตาคารอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยม ใช้เวลาไม่นานก็เดินทางมาถึง
บ่าวรับใช้พาคนทั้งหมดมายังห้องรับรองชั้นสอง เคาะประตูแล้วกล่าวรายงานเสียงอ่อน “นายท่าน แขกมาถึงแล้วขอรับ”
จางฟู่กุ้ยมาเปิดประตูด้วยตัวเอง ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเรามารอได้ครู่ใหญ่แล้ว ทุกท่านเชิญด้านใน”
บ้านสกุลจูและพวกเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนเดินเข้ามาในห้องรับรอง
เหวินเปียวและเหวินหู่ยืนคนละฝั่งหน้าห้องรับรอง
พอเห็นว่ามีเพียงสองสามีภรรยาจาง เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูจางและคุณชายจางมิได้มาด้วยหรือเจ้าคะ?”
เถ้าแก่จางยิ้มตอบ “พวกเรามีเรื่องต้องพูดคุย ข้าให้ลี่เอ๋อร์และเฉิงเอ๋อร์รอในห้องข้างๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉ “พวกเจ้าสองคนไปห้องโน้นเถอะ”
ทั้งสองขานรับหน้าชื่นตาบาน ออกไปยังห้องข้างๆ
แม่จูไม่ได้เห็นจางลี่ สีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
ฮูหยินจางพินิจดูจูหลานอย่างถี่ถ้วน เป็นไปอย่างที่เถ้าแก่จางพูดไม่ผิด รูปงามสง่า มีกิริยามารยาท ให้นึกปลาบปลื้มใจ แม้แต่น้ำเสียงไต่ถามสารทุกข์สุขดิบก็แฝงไปด้วยความอิ่มเอมใจหลายส่วน
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วก็นั่งลง เถ้าแก่จางสั่งให้ตั้งโต๊ะได้
อาหารวางเรียงรายเต็มโต๊ะ พ่อจูและแม่จูและสองสามีภรรยาจางต่างกินไปพลางพูดคุยไปพลาง
จูหลานนั่งกินข้าวอยู่อีกด้านอย่างสุภาพ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง คิดว่าสมญาหนึ่งในสี่คุณชายจตุรเทพแห่งอำเภอชิงซีของเขาสมคำเล่าลือนัก ยามที่ต้องจริงจัง ก็มีความเป็นผู้เป็นคนไม่น้อย ฮ่าๆๆ ฮูหยินจางจะต้องถูกภาพหลอกนี้อำพรางจนมิด
เป็นดังคาด หลังจากฮูหยินจางมองประเมินจูหลานอีกครั้ง จึงยกยิ้มเอ่ยปาก “ได้ยินแม่นางเมิ่งกล่าวว่า คุณชายจูรับช่วงต่อกิจการการค้าของครอบครัวตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทั้งยังทำได้เจริญรุ่งเรือง ถือได้ว่าเป็นคนหนุ่มมีความสามารถโดยแท้”
มารดาทุกคนเมื่อได้ยินคนชื่นชมบุตรชายตนเอง ย่อมต้องยิ้มหน้าบาน แม่จูเองก็ไม่ยกเว้น ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “นับตั้งแต่ที่หลานเอ๋อร์รับช่วงต่อกิจการของครอบครัว มีแต่ทำกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี ใครๆ ต่างก็อิจฉาข้าและท่านพี่ที่มีบุตรชายดีเช่นนี้”
ได้ยินแม่จูกล่าวยกยอตนเองจนแทบจะลอยขึ้นฟ้า จูหลานก้มหน้าแอบกรอกตามองบน
แม่จูเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างไม่ปิดบัง “พวกเรามีบุตรชายโทนเพียงคนเดียว หลายปีก่อนได้ทำการหมั้นหมายให้เขาไว้แล้ว ทว่าตอนที่ใกล้จะจัดงานแต่งงาน หญิงสาวคนนั้นกลับทำความผิดร้ายแรง ถูกทางการตัดสินโทษอาญา พวกเราจึงจำต้องถอนการหมั้นนั้น คงเพราะยังไม่มีวาสนา เรื่องการแต่งงานของหลานเอ๋อร์จึงยังไม่ถูกกำหนด ข้าและท่านพี่ต่างร้อนรนกลัดกลุ้มใจ วันนี้เห็นจดหมายที่แม่นางเมิ่งให้คนส่งมา พวกเราทั้งครอบครัวจึงรีบเข้ามาพร้อมความจริงใจ หวังว่าพวกท่านจะไม่คิดว่าพวกเราบุ่มบ่ามไร้มารยาท”
พอได้ยินว่าหญิงสาวนางนั้นถูกทางการตัดสินโทษอาญา สกุลจูถึงถอนหมั้น ความเคลือบแคลงสงสัยในใจของสองสามีภรรยาจางพลันมลายหายไปสิ้น
รอยยิ้มบนใบหน้าฮูหยินจางยิ่งเด่นชัด กล่าวหยั่งเชิงลองใจ “ลี่เอ๋อร์ของพวกเราไม่มีพรสวรรค์ ติดตามเรียนรู้การค้ากับบิดามาหลายปี กลับเรียนรู้ได้เพียงกระผีกริ้น ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมกับคุณชายจูหรือไม่”
แม่จูรีบร้อนพูด “มีหลานเอ๋อร์ทำการค้าเป็นคนเดียวก็พอแล้ว ผู้หญิงควรอยู่กับเหย้าดูแลงานในบ้าน ข้าได้ยินแม่นางเมิ่งบอกว่าบุตรสาวของท่านมีนิสัยร่าเริงสดใส มีอัธยาศัยดี ข้าชื่นชอบหญิงสาวเช่นนี้”
ฮูหยินจางยิ้มพูดว่า “เป็นเพราะลี่เอ๋อร์มีนิสัยร่าเริงเกินเหตุ จนถึงตอนนี้ข้าถึงทำใจหาคู่หมั้นหมายให้นางไม่ได้ เกรงว่าด้วยนิสัยเช่นนี้หากแต่งงานออกไป จะไม่เป็นที่พอใจของแม่สามี ข้าเห็นฮูหยินจูและนายท่านจูเป็นคนจิตใจดี หากการแต่งงานครั้งนี้สำเร็จ คิดว่าทั้งสองท่านคงจะไม่ใจร้ายกับนางเกินไป”
แม่จูโบกมือ “ข้าเฝ้าหวังจะได้มีบุตรสาวมาทั้งชีวิต ขอเพียงการแต่งงานนี้สำเร็จ ข้าจะปฏิบัติต่อนางเหมือนกับบุตรสาวแท้ๆ ของข้า”
ฮูหยินจางเห็นนางกล่าวด้วยวาจาหนักแน่นจริงใจ ไม่เหมือนคนพูดปด ก็ยิ่งให้ปิติยินดี หันไปมองจางฟู่กุ้ยอย่างถามความเห็น
จางฟู่กุ้ยที่คอยสังเกตการณ์ครอบครัวจูโดยไม่ปริปากมาตลอด ก็พึงพอใจในคำพูดและการกระทำของพวกเขาเป็นอย่างมาก ครั้นเห็นฮูหยินมองมาที่ตัวเอง จึงยกยิ้มพยักหน้า หันหน้าตะโกนไปที่ประตู “เด็กๆ”
บ่าวรอรับใช้หน้าประตูส่งเสียงขานรับ
จางฟู่กุ้ยสั่งเขา “ไปเรียกคุณหนูเข้ามาพบแขก”
ฮูหยินจูได้ยินนางเอ่ยสั่ง รู้ทันทีว่างานแต่งครั้งนี้ประสบความสำเร็จแล้ว อิ่มอกอิ่มเอมใจ กินอะไรไม่ลงแล้ว ได้แต่มองไปที่ประตูตาปริบๆ
ฮูหยินจางกลับให้รู้สึกหัวใจเต้นโครมคราม หวังว่าคำตักเตือนเมื่อครู่จะได้ผล ขอบุตรสาวอย่าได้กระทำเรื่องผิดวิสัยออกมา
จางลี่ได้ยินบ่าวรายงาน แม้จะรู้สึกเขินอาย แต่ก็เดินเข้ามาในห้องอย่างสง่าผ่าเผย
ฮูหยินจางแย้มยิ้มกำชับนาง “ลี่เอ๋อร์ คำนับท่านลุงจู ท่านป้าจูก่อน”
จางลี่แสดงความเคารพ ร้องเรียกตามมารยาท
แม่จูเห็นนางใบหน้าหมดจด เปิดเผยจริงใจ แตกต่างกับหญิงสาวในเรือนคนอื่นๆ ให้นึกนิยมชมชอบ ฉีกยิ้มชื่นชม “ฮูหยินจางช่างโชคดียิ่งนัก มีบุตรสาวที่งดงามเช่นนี้”
ฮูหยินจางให้หญิงสาวนั่งข้างกายตัวเอง แล้วยิ้มสรวลพูดว่า “ฮูหยินจูกล่าวเกินไปแล้ว บุตรสาวข้ามีนิสัยร่าเริงกระโดกกระเดก นับตั้งแต่เด็กมีเรื่องให้ข้าปวดหัวได้ไม่เว้นวัน”
วาจาแม่จูแฝงความนัยบางอย่าง “เด็กผู้หญิงร่าเริงสดใสเป็นเรื่องดี ใครเห็นใครก็รัก มีเรื่องอะไรก็ไม่เก็บทุกอย่างมาใส่ใจ ข้าชอบเด็กสาวเช่นนี้นัก”
ฮูหยินจางเข้าใจนัยแฝงของนาง ลอบปลาบปลื้มยินดี
ตอนที่จางลี่พ้นประตูเข้ามา จูหลานมองประเมินนางแวบหนึ่ง เห็นนางสุภาพเรียบร้อย กิริยาวาจามีมารยาท ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากมาย นั่งเงียบๆ อีกด้าน ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของเขา ขมวดคิ้วมุ่น ใช้แววตาถามว่าเขาไม่พอใจหรือ
จูหลานส่ายหน้าเล็กน้อย
ทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจกันและกัน เรื่องต่อจากนี้ก็พูดไม่ยากแล้ว หารือกำหนดวันแต่งงานรวมถึงเรื่องอื่นๆ ในทันที
จางลี่เอาแต่นั่งหน้าแดงฝาดฟังพวกเขาถกเถียงเรื่องงานแต่งงานของตัวเอง
จูหลานกลับรู้สึกเฉยเมย ราวกับว่าที่พวกเขาถกเถียงกันมิใช่งานแต่งของตัวเอง
ดูจากปฏิกิริยาของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้ขมวดคิ้วยู่ย่น