ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 222-1 เจ้าเป็นใคร?
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดว่า “วันนี้เจ้าก็เหนื่อยแย่แล้ว ไปกินก่อนเถอะ กินอิ่มแล้วรีบกลับเข้าห้องพักผ่อน ข้ารอให้อี้เซวียนฟื้นค่อยไปกินข้าว”
ตอนเช้าเกิดการต่อสู้ดุเดือด ตอนเที่ยงก็ไม่ได้พิถีพิถันกิน เหวินเปียวเริ่มรู้สึกหิวแล้วจริงๆ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูด ก็พยักหน้าหันหลังลงไปกินข้าวชั้นล่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองโจ๊กส่งควันร้อนกรุ่นบนโต๊ะ แล้วมองเมิ่งอี้เซวียนที่กว่าจะหลับลงได้อีกครั้ง เม้มริมฝีปาก ไม่ปลุกเขาตื่น
เมิ่งอี้เซวียนหลับไปครั้งนี้จิตใจกระสับกระส่าย ในฝันปรากฏภาพชายฉกรรจ์ถูกตัดคอและท่าทีโหดเ**้ยมอำมหิตของเมิ่งเชี่ยนโยวสลับซ้ำไปมา รวมถึงภาพชายฉกรรจ์ที่ถูกเขาฆ่ากำลังเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ นอนทิ้งร่างหายใจรวยริน หวีดร้องสุดเสียงแล้วลืมตาตื่น
เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตกใจ กำลังจะร้องเรียกเขา กลับเห็นเขาลืมตาขึ้น ถามอย่างยินดี “อี้เซวียน เจ้าฟื้นแล้ว?”
เมิ่งอี้เซวียนยังตกอยู่ในห้วงความฝัน เห็นภาพใบหน้าขยายใหญ่ของเมิ่งเชี่ยนโยวตรงหน้า ร่างสั่นสะท้าน ถามด้วยความหวาดผวา “เจ้าเป็นใคร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบชั่วขณะ สีหน้ายินดีแข็งค้างบนใบหน้า ยื่นมือออกไปลูบหน้าผากเขา แล้วลองถามเสียงแผ่ว “เจ้าลองดูให้ดีๆ ว่าข้าเป็นใคร”
เมิ่งอี้เซวียนที่พอถามออกไป สติก็ค่อยๆ ชัดแจ้งขึ้น ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา เม้มริมฝีปาก ตอบเสียงกระเส่า “เจ้าคือโยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “ยังดี ยังดี ไม่เป็นไข้จนสติฟั่นเฟือน”
เมิ่งอี้เซวียนมีสติครบถ้วนแล้ว รู้สึกร่างกายเหนียวเหนอะหนะ แถมไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ใบหน้าน้อยๆ พลันเขินแดง ถามอย่างขวยอาย “เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”
เมิ่งอี้เซวียนดูจะไม่เป็นอะไรแล้ว มีสติสมบูรณ์ เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายความเครียดเกร็งลง กระทั่งมีแก่ใจจะหยอกล้อเขา ตอบว่า “เจ้าไข้ขึ้นสูง เอาแต่พูดเพ้อ พอกินยาก็ยังไม่ดีขึ้น ข้ากลัวเจ้าจะไข้ขึ้นจนสมองเสื่อม ภายหน้าครอบครัวพวกเราจะไม่มีที่พึ่งพา”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ดวงตาเมิ่งอี้เซวียนกลับมามีชีวิตชีวา พูดรับประกันด้วยน้ำเสียงแหบเครือ “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงังทันใด ไม่พูดสิ่งใด ลุกไปยกถ้วยโจ๊กบนโต๊ะ กลับมานั่งบนเก้าอี้เตี้ย “ไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน คงหิวแย่แล้ว กินโจ๊กสักหน่อยเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนพยายามลุกขึ้นนั่ง พลันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สวมเสื้อผ้า หน้าแดงก่ำเอนตัวนอนลงตามเดิม ถามเสียงเบา “เสื้อผ้าข้าเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ทำตามที่ขอ พูดอย่างไม่ไยดี “จะเอาเสื้อผ้าไปทำอะไร เจ้าห่อตัวด้วยผ้านวมแล้วลุกขึ้นนั่ง ข้าป้อนโจ๊กให้เจ้าเอง”
เมิ่งอี้เซวียนยิ่งหน้าแดงฝาด ดวงตาคู่งามเขินสะท้านจนพูดไม่ออกได้แต่จับจ้องเว้าวอนนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีน่าเอ็นดูของเขา ยิ่งให้อยากแกล้งเขา “โอกาสแบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว เจ้าคิดให้ดีๆ จะสวมเสื้อผ้าหรือจะให้ข้าป้อนโจ๊กให้กิน?”
เมิ่งอี้เซวียนขมวดคิ้วคิดอย่างเอาจริงเอาจัง ครู่หนึ่งถึงตัดสินใจอย่างลำบากใจได้ “ข้าจะใส่เสื้อผ้า”
“พู่” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะลั่น ใช้มือหยิกแก้มกลมของเขา “อายอะไร ข้าแค่ป้อนโจ๊กให้เจ้าเท่านั้น ไม่เห็นร่างกายเจ้าเสียหน่อย”
ใบหน้าขาวผ่องของเมิ่งอี้เซวียนแดงจนจะกลั่นเป็นเลือดได้แล้ว ห่อผ้านวมแนบติดกับร่างตัวเองแน่น
เห็นเขาเขินตัวม้วน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แกล้งเขาอีก ลุกขึ้นวางถ้วยโจ๊กลง หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่เข้ามา วางไว้ข้างตัวเขา “เสื้อผ้าเจ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ข้าซื้อชุดใหม่มาให้ ใส่เสียเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับเมิ่งเชี่ยนโยวเลิกคิ้วถามด้วยแววตา
เมิ่งอี้เซวียนที่ห่อหดตัวอยู่ในผ้านวม โผล่ให้เห็นเพียงใบหน้ากะจิริด พูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้าหันหลังไปก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหัวเราะก๊าก หากไม่เพราะเมิ่งอี้เซวียนยังป่วยหนัก นางจะต้องแกล้งหยอกเขาให้หนำใจเทียว
เมิ่งอี้เซวียนเห็นอาการของนาง ยิ่งให้ขวยอาย
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหันหลังให้ เมิ่งอี้เซวียนใส่เสื้อผ้าด้วยความเร็วสูง แล้วพูดเสียงแผ่วอย่างกระดากอาย “เสร็จแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับมายกถ้วยโจ๊กบนโต๊ะมานั่งข้างเขา จับคันช้อนตักโจ๊กยื่นไปที่ปากเขา
เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าจะยังได้รับการปฏิบัตินี้ ดวงตากลมโตรวมศูนย์อย่างปลาบปลื้มยินดี เปล่งประกายระยิบระยับสว่างไสวไปทั่วทั้งห้องพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะตาบอดมืดเพราะดวงตาคู่นั้น มือสั่นเทิ้ม ช้อนในมือก็เกือบร่วงตกพื้น แอบสบถด่าในใจ “ตัวเสนียด” ถึงระงับสติอารมณ์ลงได้ จับช้อนแน่น ป้อนอาหารให้เขา
เมิ่งอี้เซวียนดีใจจนออกนอกหน้า ค่อยๆ กินโจ๊กจนหมดถ้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ถูกความงดงามเย้ายวนให้คำสัตย์กับตัวเอง ต่อไปจะไม่ป้อนอาหารให้ตัวเสนียดนี้อีก
หลังกินโจ๊กเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนเลียริมฝีปาก แสดงอาการยังอยากกินอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เจ้ายังไม่หายดี ไม่สมควรกินมากเกินไป นอนพักผ่อนก่อนเถอะ หากกลางดึกยังหิวค่อยกินเพิ่ม”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง นอนลงบนเตียงแต่โดยดี
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยห่มผ้านวมให้เขา จับหน้าผากเขา พูดว่า “เจ้าพักผ่อนในห้องคนเดียวสักครู่ ข้าจะลงไปกินข้าวแล้วค่อยขึ้นมา”
พอได้ยินว่าตัวเองต้องอยู่ในห้องคนเดียว เมิ่งอี้เซวียนแสดงสีหน้าหวาดกลัว ดวงตาสะท้อนแววสั่นผวา กลับพยายามควบคุมอารมณ์ ผงกศีรษะแผ่วเบา
ในที่สุดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนคำพูดเสียงอ่อน “ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารขึ้นมาก็แล้วกัน”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเบิกบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปนอกประตู ตะโกนบอกให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารขึ้นมา
เสี่ยวเอ้อร์ขานรับคำจากชั้นล่าง นำอาหารขึ้นมาส่งโดยไว เห็นเมิ่งอี้เซวียนนอนบนเตียงด้วยแววตามีชีวิตชีวา ถามด้วยความยินดี “คุณชายน้อยดีขึ้นแล้วหรือขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ดีขึ้นแล้ว หลังจากนี้อีกระยะหนึ่ง รบกวนเจ้าต้มยาอีกหนึ่งเทียบขึ้นมาด้วย”
เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้า “ประเดี๋ยวข้าจะไปต้มยาให้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณด้วยใจจริง “ขอบใจ”
เสี่ยวเอ้อร์โบกมืออุตลุด “นี่เป็นหน้าที่ของข้า แม่นางไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
กินอาหารค่ำเสร็จ ผ่านไปอีกสองเค่อ เสี่ยวเอ้อร์ยกยาที่ต้มเสร็จแล้วขึ้นมา
เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นนั่ง ดื่มยาจนหมด แล้วนอนกลับไปตามเดิม
ดึกมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย ลองจับที่หน้าผากเมิ่งอี้เซวียน เย็นๆ เหมือนกับของตัวเอง รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว จึงวางใจนอนลงบนเตียงอีกตัว หลับตาเตรียมจะเข้าสู่ห้วงฝัน
เสียงตื่นผวาของเมิ่งอี้เซวียนกลับดังขึ้น “ข้าอยากจะนอนกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโพลง มองไปที่เขา
เมิ่งอี้เซวียนมองนางด้วยใบหน้าเว้าวอน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด
เมิ่งอี้เซวียนทำหน้าหมองเศร้า ท้อแท้ห่อเ**่ยว
“เข้ามาเถอะ แต่แค่คืนนี้เท่านั้นนะ” เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น
เมิ่งอี้เซวียนกลับมากระปรี้กระเปร่าพลัน พยักหน้าดีใจ รีบลุกลงจากเตียง กอดผ้านวมของตัวเอง เดินมาข้างเตียงนางด้วยเท้าเปล่า
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เขานอนด้านใน
เมิ่งอี้เซวียนปีนขึ้นเตียง ข้ามร่างของนางไปอย่างระวัง นอนหงายบนเตียงด้านใน ห่มผ้านวมของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยห่มให้เขาด้วย ตอนจับผ้านวมรู้สึกเปียกซื้น ถึงนึกได้ว่าตอนที่เขาจับไข้เหงื่อออก ทำให้ผ้านวมชื้นไปด้วย จึงเลิกผ้านวมเขาออก นำผ้านวมของตัวเองห่มให้เขาแทน พูดว่า “ผ้านวมเจ้าเปียกแล้ว ห่มผืนนี้ไปก่อน ข้าจะไปบอกเสี่ยวเอ้อร์นำอีกผืนขึ้นมา”
พูดจบ ลุกขึ้นเดินพ้นประตูออกไป ตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อร์ให้นำผ้านวมอีกผืนขึ้นมา
เสี่ยวเอ้อร์ตอบสนองเร็ว นำผ้านวมมาให้โดยไว เมิ่งเชี่ยนโยวมอบผ้านวมที่เปียกชื้นให้เขา พูดอย่างรู้สึกผิด “น้องชายข้าเหงื่อออกทำผ้านวมเปียกชื้น เจ้าบอกกับหลงจู๊ ให้คิดค่าผ้านวมลงไปในค่าห้อง ตอนจะคืนห้องค่อยคิดบัญชีทีเดียว”
เสี่ยวเอ้อร์รับคำ หอบผ้านวมลงชั้นล่าง บอกเรื่องนี้กับหลงจู๊
เมิ่งเชี่ยนโยวปิดประตู กลับมานอนบนเตียง ห่มผ้านวมให้ตัวเอง แล้วหันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนที่ยังลืมตาแป๋วด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นอนเถอะ นอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา อาการป่วยของเจ้าก็จะหายดี”
เมิ่งอี้เซวียนหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องมองเขาเป็นนาน คิดถึงเรื่องที่เขาต้องเผชิญในภายหน้า คิดวนไปมาหลายตลบ กระทั่งความง่วงโจมตี ถึงค่อยๆ หายใจยาว เข้าสู่ห้วงนิทรา
อาจเพราะอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวมีคนให้อิงแอบ อาจเพราะยาที่กินเข้าไปออกฤทธิ์ อาจเพราะพื้นฐานร่างกายเมิ่งอี้เซวียนมีจิตที่มุ่งมั่น ค่ำคืนวันนี้เมิ่งอี้เซวียนไม่จับไข้แล้ว ทั้งสองต่างนอนหลับสนิทตลอดคืน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตื่นในโมงยามของการฝึกซ้อมเหมือนที่เคย แต่ในยามที่ท้องฟ้าสว่างจ้าแล้วนั้นนางถูกดวงตาเร่าร้อนคู่หนึ่งจับจ้องจนตื่น เมื่อลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตสุกสกาวคู่นั้นของเมิ่งอี้เซวียนก็ปรากฏตรงหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักงัน รู้สึกหลังจากที่ตื่นแล้วเห็นเมิ่งอี้เซวียนนอนข้างกายตัวเองเป็นเรื่องปกติ
เมิ่งอี้เซวียนมีสีหน้าสดใสเหมือนเดิมแล้ว เห็นนางลืมตาขึ้น พูดเสียงเบาด้วยดวงตาเปื้อนยิ้ม “เจ้าตื่นแล้ว”
หัวใจเมิ่งเชี่ยนโยวเต้นกระตุกอย่างประหลาด รีบเบือนสายตา ลุกขึ้นยื่นมือออกไปจับหน้าผากเขากลบเกลื่อน รู้สึกเย็นสบาย ไม่มีไข้สูงแล้ว ถามขึ้น “ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า ลุกขึ้นนั่งตาม “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แน่ใจนะ?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหนักแน่น
“รู้สึกว่าข้าอำมหิตมากใช่หรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “เจ้าทำเช่นนั้นถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าวันไหนอาจจะเป็นครอบครัวพวกเราที่ถูกฆ่ายกครัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ พี่รอง น้องเล็กรวมถึงเจ้าล้วนเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตข้า ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บ”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ข้าเชื่อเจ้า”
“อี้เซวียน” เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขม็งไปที่นัยน์ตาเขา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าต้องรู้ว่า โลกใบนี้ไม่ได้มีแต่คนดี เมื่อเจอเรื่องที่เป็นภัยคุกคามตัวเอง ห้ามใจอ่อนมืออ่อนเด็ดขาด จักต้องลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ หากเจ้าลังเลไม่ตัดสินใจ คนที่ตายอาจจะเป็นเจ้าเองก็ได้”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ข้าเข้าใจความปรารถนาดีของเจ้า เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าต้องให้ข้าประสบเรื่องราวทั้งหมดนี้? หรือเพราะเจ้าจะให้ข้าไปอยู่ที่อื่นแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไปเล็กน้อย แล้วตีเพี๊ยะไปที่ตัวเขา “ยังไม่ตื่นดีหรือไร พูดอะไรเพ้อเจอแต่เช้า เจ้าบอกเองว่าจะสอบขุนนางให้ได้ จะนำเกียรติยศมาสู่วงศ์สกุล ถึงตอนนั้นเจ้าต้องไปรับราชการถิ่นอื่นลำพัง จักต้องรู้จักความโหดเ**้ยมของจิตใจคน ที่ข้าทำเรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เข้าใจหรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนถูกตีกลับแสดงออกว่ามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ยกยอรอยยิ้มเจิดจ้า