ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 222-2 เจ้าเป็นใคร?
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอกกำลังจะลงจากเตียง เสียงหยั่งเชิงถามอย่างระวังของเมิ่งอี้เซวียนก็ดังขึ้น “บอกข้าได้หรือไม่ เจ้าเป็นใคร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวร่างแข็งค้าง อยู่ในท่าลงจากเตียงนิ่งไม่ขยับ
เสียงเมิ่งอี้เซวียนยังดังต่อเนื่อง “แม้หลายปีก่อนพวกเราจะไม่เคยพูดคุยกัน แต่อย่างไรพวกเราก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน เรื่องเล็กน้อยของเจ้าข้าพอจะได้ยินมาบ้าง เจ้าเป็นเพียงเด็กสาวที่ถูกตามใจจนเสียคน ไม่มีความสามารถพิเศษใดใด แต่ช่วงเวลาเพียงข้ามคืน เจ้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน ไม่เพียงทำการค้าเป็น ยังรู้วรยุทธ์ศาสตร์มืด โดยเฉพาะเมื่อวาน รัศมีเ**้ยมอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเจ้า ไม่มีทางที่เด็กสาวบ้านนาจะมีได้เด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวอารมณ์สงบนิ่งลงแล้ว ลงจากเตียงใส่รองเท้า มือกอดอกหันกลับมาเผชิญหน้าเขา ใช้น้ำเสียงเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มพูดว่า “สังเกตได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าบอกเจ้าว่าข้าเป็นผีเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้างุด “เจ้าไม่ใช่ผี ข้าค้นหาดูแล้ว ในหนังสือบอกว่าผีไม่มีเงา”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะลั่น ถามขึ้น “ดังนั้นเล่า ข้าควรเป็นใคร?”
เมิ่งอี้เซวียนแสดงสีหน้าแคลงใจ “เจ้าคือโยวเอ๋อร์ แต่ก็ไม่ใช่โยวเอ๋อร์ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป ออกแรงตีเขาป๊าปใหญ่ ตีจนร่างเมิ่งอี้เซวียนโอนเอน พูดว่า “อย่าบอกว่าเจ้าจับไข้จนสติเสียไปแล้วนะ เอาแต่พูดเพ้อเจ้อ ข้าก็คือข้า ยังจะเปลี่ยนเป็นใครได้อีก ข้าเพียงบังเอิญมีโอกาสได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างก็เท่านั้น เรื่องนี้คนในครอบครัวต่างก็รู้”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งอี้เซวียนก็โล่งใจ ขยี้หัวตัวเองพูดเก้อเขิน “เมื่อวานข้าคงจะจับไข้จนเลอะเลือนไปจริงๆ เลือนๆ ลางๆ เห็นเจ้าอยู่ในสถานที่ที่ข้าไม่รู้จัก คนและสิ่งของณ ที่แห่งนั้นก็แปลกประหลาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ ไม่เข้าใจว่าเมิ่งอี้เซวียนจับไข้เหตุใดถึงเห็นอดีตชาติของตัวเองได้ ทว่ากลับไม่แสดงสีหน้าตกอกตกใจใดๆ พูดว่า “เมื่อเจ้าคิดฟุ้งซ่านได้ แสดงว่าเจ้าหายดีแล้ว รีบลุกขึ้น กินข้าวเสร็จพวกเราจะได้รีบกลับบ้าน”
ไม่รู้ว่าพออ้างว่าตัวเองไม่สบาย เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่กล้าทำรุนแรงกับตัวเองหรือไม่ วันนี้เมิ่งอี้เซวียนใจกล้าบ้าบิ่น ยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเอง ล้มตัวนอนลง พูดกระเง้ากระงอด “ข้ายังมึนหัวอยู่เลย เกรงว่าจะยังกลับบ้านไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยเห็นเขางอแงแบบนี้ นิ่งอึ้งแล้วโพล่งขำออกมา พูดว่า “ข้าจะนับหนึ่ง สอง สาม หากเจ้ายังไม่ลุกขึ้น ข้าจะไม่พาเจ้าออกไปเดินเล่น”
เมิ่งอี้เซวียนผุดลุกขึ้นมาทันที “เจ้าไม่ต้องนับ ข้าลุกขึ้นมาแล้ว เจ้าต้องพูดจริงทำจริงนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตัวงอ
เหวินเปียวตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอีกด้าน รีบออกมา เคาะประตู ถามเสียงเบา “แม่นาง คุณชายน้อย พวกท่านตื่นแล้ว จะให้ยกอาหารเช้าเข้ามา หรือลงไปกินข้างล่างขอรับ”
เสียงกังวานของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยมาจากในห้อง “พวกเรายังไม่ได้ล้างหน้าล้างตา เจ้าลงไปกินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยยกขึ้นมาให้พวกเรา”
เหวินเปียวขานรับคำอย่างอ่อนน้อม หันหลังลงไปชั้นล่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวตักน้ำล้างหน้า เมิ่งอี้เซวียนเก็บเตียงพับผ้านวม วางไว้เป็นระเบียบ
ล้างหน้าล้างตาเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดหน้าต่างออก ลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามา นางสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง แล้วยืนมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
ฟ้าสว่างแจ้งแล้ว คนบนถนนมีจำนวนมากขึ้น สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านแผงลอย ส่งเสียงร้องเรียกดังเป็นระลอก
เมิ่งอี้เซวียนล้างหน้าเสร็จก็ชะโงกหน้าเข้ามา มองนอกหน้าต่างอย่างเบิกบานใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าท่าทีไร้ทุกข์ไร้โศกของเขาในตอนนี้ คิดว่าภายหน้าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคนโฉดชั่วอำมหิต ก็ให้ปวดใจแปลบ
เหวินเปียวยกอาหารขึ้นมา หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จ ก็ตะโกนเรียกเหวินเปียวให้ลงไปหน้าโต๊ะคิดเงินชั้นล่างด้วยกัน
หลงจู๊เห็นพวกเขาลงมา แย้มยิ้มถาม “คุณชายน้อยไม่เป็นอะไรแล้วนะขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณหลงจู๊ที่ช่วยเหลือ”
หลงจู๊ยิ้มแหะๆ โบกมือ “นี่เป็นหนึ่งในงานของข้า แม่นางเกรงใจแล้ว พวกท่านกำลังจะออกไปหรือ?”
“วันนี้มีเวลาพอดี ข้าจะพาน้องชายออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
คนทั้งหมดเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ให้เหวินเปียวไปบังคับรถม้าออกมา เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ
เมิ่งอี้เซวียนไม่เคยเห็นแผงลอยมาดขนาดนี้มาก่อน ตื่นตาตื่นใจไปกับทุกสิ่ง เหมือนเด็กน้อยไม่ประสาโดยแท้ เดี๋ยวก็มองตรงนั้น เดี๋ยวก็จับตรงนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ว่ากล่าวเขา โอนอ่อนมองตามเขาด้วยแววตาเอ็นดู
เหวินเปียวคอยตามติดพวกเขาทั้งสองคน
วันแห่งความเบิกบานผ่านไป กลับมากินอาหารค่ำที่โรงเตี๊ยม คนทั้งหมดพักผ่อนแต่หัวค่ำ เช้าตรู่วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินค่าห้อง ทั้งยืนหยัดจะจ่ายค่าผ้านวม จากนั้นกำชับเหวินเปียวให้บังคับม้ามุ่งหน้ากลับบ้าน
เหวินหู่ที่กลับมาตั้งแต่เมื่อวาน บอกเมิ่งชื่อที่ว้าวุ่นใจไปตามความจริงว่า เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในจังหวัดต่ออีกวันเพื่อจัดการเรื่องการหมั้นหมายให้จูหลาน
เมิ่งชื่อได้ฟังก็โล่งอก เอาแต่พูดว่าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ดีแล้ว
เหวินหู่ยังบอกนางว่า เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ที่จังหวัดคุยเรื่องการค้าต่อ ไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะกลับ
เมิ่งชื่อถามว่าเจรจากับเถ้าแก่จางเรียบร้อยดีแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดยังต้องอยู่คุยเรื่องการค้าต่อ
เหวินหู่ทำตาล่อกแล่กตอบกลับว่าเขาเองก็ไม่รู้ เมิ่งเชี่ยนโยวเพียงสั่งกำชับมาเท่านี้ มิได้พูดอะไรอีก
ซุนเหลียงไฉกลับมาก่อนใคร ยิ่งไม่รู้อะไรเลย
แม้เมิ่งชื่อจะกังขา แต่พอคิดว่าการค้าเป็นเรื่องใหญ่ การจะเจรจาไม่สำเร็จในเวลาอันสั้นก็มีความเป็นไปได้ จึงยอมวางใจลง
สะใภ้เหวินหู่มองดูรายละเอียด พบว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
เหวินหู่พูดคำโป้ปดที่คิดเตรียมเอาไว้แล้ว บอกว่าตอนที่ช่วยเถ้าแก่จางขนถ่ายสินค้า เขาและเหวินเปียวต่างไม่ระวังเกี่ยวถูกเสื้อขาด เมิ่งเชี่ยนโยวจึงซื้อชุดใหม่ให้พวกเขา
สะใภ้เหวินหู่ถามเขาถึงเสื้อผ้าชุดเก่า
เหวินหู่บอกว่าโยนทิ้งไปแล้ว
สะใภ้เหวินหู่เจ็บปวดใจนัก ตำหนิว่าเขาไม่รู้จักใช้เงิน “เสียหายเอามาปะชุนก็ยังใส่ได้ เจ้าทิ้งไปน่าเสียดายนัก”
เหวินหู่ไม่ได้โต้เถียง
สะใภ้เหวินหู่เห็นเขาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า รีบให้เขาเข้าไปพักผ่อนในบ้าน
หนึ่งชั่วยามกว่าพวกเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับมาถึงบ้าน เพิ่งจะชำระล้างเสร็จ เมิ่งชื่อที่กำลังจะไปโรงงานเห็นรถม้าลิบๆ จึงยืนรอหน้าประตูบ้าน
เหวินเปียวบังคับรถม้ามาจอดหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งชื่อยืนอยู่หน้าประตู นึกว่าจะถูกพร่ำสอนอีกชุด ตอนที่กำลังจะใช้วิชาออดอ้อนมาพูดกล่อมให้เมิ่งชื่อสบายใจ เมิ่งชื่อกลับร้อนรนเอ่ยปาก “เมื่อวานท่านอาจารย์มาหา โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บอกว่าภายหน้าหากเจ้าให้อี้เซวียนต้องเสียการเรียนเช่นนี้อีก เขาจะพาทั้งครอบครัวกลับบ้านเกิดทันที”
เมิ่งอี้เซวียนได้ฟัง มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตื่นกังวล
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “ช่วงเช้านี้เจ้าเข้าไปพักผ่อนในห้องก่อน ข้าจะไปคุยกับท่านอาจารย์ ตอนบ่ายเจ้าค่อยไปเข้าเรียน”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งชื่อกำชับนาง “เจ้าไปถึงบ้านท่านอาจารย์แล้ว จะต้องพูดจาประจบเอาใจท่านอาจารย์ให้มาก ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เขาไปไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้า กอดแขนนางอย่างรักใคร่ พูดปลอบใจนาง “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ท่านอาจารย์ไม่มีทางไปหรอก”
เมิ่งชื่อเอ่ยถึงท่าทีเดือดดาลเมื่อวานของท่านอาจารย์แล้วก็ยังหวาดกลัวไม่หาย พูดว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนที่ท่านอาจารย์บันดาลโทสะน่ากลัวยิ่งนัก ข้าและท่านพ่อเจ้าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง”
“เขาเป็นพระอาจารย์มานานหลายปี บารมีน่าเกรงขามสลักเข้าไปในกระดูกของเขาแล้ว เวลาบันดาลโทสะพวกท่านจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร?” เมิ่งเชี่ยนโยวรู้แก่ใจ แต่ปากกลับไม่กล้าพูดกับเมิ่งชื่อ ทำได้เพียงยิ้มแหะๆ พูดปลอบใจเมิ่งชื่ออีกสองสามคำ
เมิ่งชื่อเห็นนางไม่ยี่หระใดๆ เริ่มกระวนกระวายใจ เร่งเร้านาง “เจ้ายังไม่รีบไปอีก ไปช้ากว่านี้ท่านอาจารย์อาจจะยิ่งโกรธเกรี้ยวก็เป็นได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้เปลี่ยนชุดมาหลายวันแล้ว เสื้อชุดนี้เหม็นจะแย่แล้ว ข้าไปพบท่านอาจารย์เช่นนี้ เขาเห็นข้าแต่งกายไม่สะอาดหมดจด จะต้องยิ่งโมโหอีกเล่า”
เมิ่งชื่อเห็นนางยังใส่ชุดตอนที่ออกไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดกำชับนาง “ต่อไปเวลาออกจากบ้านให้นำเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งติดตัวไปด้วย เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหลายวัน คนจะหัวเราะเยาะได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวผละออกจากแขนนางเดินเข้ามาในลานบ้าน พูดกระเซ้าเย้าแหย่ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ แม่เฒ่าขี้บ่น”
เมิ่งชื่อหลุดขำ ส่ายหน้าเดินไปโรงงานกระเป๋านักเรียน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในบ้าน บรรจงอาบน้ำอย่างละเมียด แต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ด้วยเสื้อผ้าสะอาดอย่างไม่รีบไม่ร้อน แล้วเดินมาหน้าประตูบ้านท่านอาจารย์ พูดกับคนเฝ้าประตูอย่างมีมารยาท “รบกวนท่านไปเรียนรายงาน บอกว่าข้ามีเรื่องมาขอพบท่านอาจารย์”
เห็นเมิ่งอี้เซวียนไม่มาเข้าเรียนหลายวัน ท่านอาจารย์อารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก คนในเรือนต่างทำทุกอย่างอย่างระมัดระวัง เกรงจะทำให้เขาไม่พอใจ ถูกว่ากล่าวชุดใหญ่ ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา บ่าวเฝ้าประตูถึงโล่งใจลง รีบวิ่งเข้าไปรายงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของบ่าว ก็ให้ขบขัน นางนึกว่าการเป็นพระอาจารย์มานานหลายปี จะฝึกฝนท่านอาจารย์ให้กลายเป็นคนสงบนิ่งเยือกเย็น ไม่หวั่นไหวต่อการมีได้มีเสีย ไม่คิดว่าจะเหมือนกับคนปกติทั่วไป มีอารมณ์ฉุนเฉียว แม้แต่คนเฝ้าประตูยังหวาดผวาถึงเพียงนี้
บ่าวรับใช้วิ่งแจ้นกลับมา ยังไม่ทันได้หายใจดี ก็รีบพูด “แม่นางเมิ่ง นายท่านให้ท่านเข้าไปได้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามบ่าวที่หายใจกระหืดกระหอบเข้ามาในลานเรือนท่านอาจารย์
บ่าวยืนกลางลานเรือน รายงานด้วยความอ่อนน้อม “นายท่าน แม่นางเมิ่งมาถึงแล้วขอรับ”
น้ำเสียงท่านอาจารย์เจือแววฉุนเฉียว “ให้นางเข้ามา”
บ่าวมองนางอย่างเห็นใจแวบหนึ่ง เปิดม่านประตู ให้นางเข้าไป จากนั้นราวกับมีสิ่งของไล่หลัง รีบวิ่งแนบกลับมาหน้าประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ทำความเคารพอย่างเป็นทางการแก่ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์นั่งบนเก้าอี้ แค่นเสียงหึ “ข้าเป็นเพียงอาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง รับการเคารพชุดใหญ่จากแม่นางเมิ่งไม่ไหวหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอื้อนเอ่ยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านอาจารย์กล่าวเกินไปแล้ว ไม่ว่าท่านอยู่ในสถานะใดก็สมควรได้รับการเคารพเต็มรูปแบบนี้”
ท่านอาจารย์ไม่บอกให้นางนั่งลง แต่พูดอย่างฉุนเฉียว “เมื่อก่อนข้าเป็นพระอาจารย์ แม้จะสอนสั่งแต่บุตรหลานเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่เคยมีใครเป็นเหมือนเมิ่งอี้เซวียน อยากเรียนก็มา ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องมา เจ้าให้ท้ายเขาเช่นนี้ ทำให้เขาไม่มีระเบียบ ภายหน้าจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านอาจารย์เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่มีทางให้ท้ายให้เขาทำเช่นนี้แน่ ที่พวกเรากลับมาช้ากว่าที่ท่านกำหนดไว้ เป็นเพราะพวกเราพบกับเรื่องยุ่งยากบางอย่างเข้า”
ท่านอาจารย์ไม่เชื่อ “พวกเจ้าเพียงออกไปส่งสินค้ามิใช่หรือ? จะมีเรื่องยุ่งยากอันใดได้?”
“ถูกคนตามฆ่าถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
ท่านอาจารย์ตกใจลุกพรวด “พวกเจ้าถูกคนตามฆ่า? เพราะสถานะของอี้เซวียนถูกเปิดโปงหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พูดให้ถูกไม่ใช่พวกเราที่ถูกตามฆ่า แต่เป็นเหวินเปียวและเหวินหู่ถูกตามฆ่า”
ไม่ใช่เมิ่งอี้เซวียน ท่านอาจารย์ก็วางใจลง นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ น้ำเสียงไม่เหลือความเคืองขุ่นแล้ว ชี้เก้าอี้อีกตัวพูดว่า “นั่งลงพูดเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เล่าเรื่องที่เหวินเปียวพบว่าถูกคนสะกดรอยตาม พวกเขาล่อคนพวกนั้นไปยังที่ลับตาคน แล้วฆ่าคนพวกนั้นทิ้ง โดยไม่ปิดบังให้ท่านอาจารย์ฟัง สุดท้ายถึงพูดว่า “พอคิดว่าหลังจากอี้เซวียนกลับคืนฐานันดรแล้ว จะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์มากมาย ข้าจึงตัดสินใจให้เขาได้เห็นทั้งหมดนี้กับตาตัวเอง ไม่คิดว่าเขาจะรับไม่ไหว ตกใจจนไข้ขึ้น ข้ากลัวท่านพ่อท่านแม่เป็นกังวล จึงยังไม่กลับมา อยู่ที่โรงเตี๊ยมสองวัน กระทั่งเขาไม่เป็นอะไรแล้วถึงรีบเดินทางกลับมา”
น้ำเสียงท่านอาจารย์เจือแววไม่เห็นด้วย “อี้เซวียนยังเล็ก เจ้าให้เขาเผชิญกับเรื่องเ**้ยมอำมหิตเช่นนั้นได้อย่างไร”
“อี้เซวียนเติบโตในชนบทแต่เด็ก เป็นคนจิตใจ ข้ากลัวหลังจากเขากลับคืนสู่ฐานันดรแล้ว ประสบกับเรื่องที่เป็นภัยต่อตัวเองจะทำใจลงมือฆ่าคนไม่ได้ กลายเป็นภัยถึงแก่ชีวิตของตัวเอง ข้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ท่านอาจารย์ส่ายหน้า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หากท่านอ๋องฉีตามตัวอี้เซวียนกลับไป จะรักใคร่เขาเหมือนไข่ในหิน ไม่มีทางให้เขาถูกทำร้ายแม้เพียงปลายก้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้งกลับ “ท่านอ๋องฉีมีอำนาจบารมีมากเช่นนั้น เหตุใดในตอนนั้นอี้เซวียนถึงถูกทิ้งไว้บนภูเขาได้? หลายปีมานี้เหตุใดถึงไม่มีใครตามพบ? สิ่งที่แอบแฝงอยู่เหล่านี้ คิดว่าไม่ต้องให้ข้าพูดท่านก็คงทราบดี ดังนั้น จวนอ๋องฉีหาได้สุขสงบเหมือนอย่างที่ท่านคิดไม่ หากอี้เซวียนต้องกลับไปจริงๆ ไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดบ้าง ที่ข้ากระทำเช่นนี้ เพราะอยากให้เขารู้ว่า ยามที่ต้องลงมือก็ห้ามมืออ่อน การฆ่าศัตรูให้สิ้นซากถึงจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด”
ท่านอาจารย์เริ่มครุ่นคิดตกผลึก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ดังนั้น ที่วันนี้ข้ามาหาท่านอาจารย์ นอกจากมาอธิบายสาเหตุที่พวกเรากลับมาช้า ข้ายังต้องการให้ท่านอาจารย์เพิ่มความเร็วในการสอนสั่ง เดิมข้าวางแผนใช้เวลาสามปีให้ท่านสอนสั่งอี้เซวียนอย่างเต็มที่ แต่ช่วงเวลานี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ข้ารู้สึกว่าข้ามองโลกในแง่ดีเกินไป”
ท่านอาจารย์เอ่ยปาก ถามอย่างแคลงใจ “เหตุใดแม่นางถึงมีความรู้สึกเช่นนี้ได้? คนกลุ่มนั้นพุ่งเป้ามาที่บ่าวของครอบครัวเจ้า เกี่ยวอะไรกับสถานะของอี้เซวียนด้วย?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่เพียงเท่านี้ ขอท่านอาจารย์ให้อภัยที่ข้าไม่อาจแพร่งพรายแก่ท่านได้ แต่ลางสังหรณ์ข้าแม่นยำมาตลอด นับจากวันนี้ไปขอให้ท่านอาจารย์เพิ่มความเร็วในการสอนสั่งด้วยเถอะ”
ช่วงเวลานี้ท่านอาจารย์พอจะเข้าใจเมิ่งเชี่ยนโยวมากขึ้นแล้ว รู้ว่านางไม่ใช่คนที่ทำการหลักลอย จึงพยักหน้า “ได้ เจ้ากลับไปบอกอี้เซวียน นับแต่วันนี้ไป ทุกวันข้าจะเพิ่มการสอนอีกหนึ่งชั่วยาม”
เมิ่งเชี่ยนโยวให้ซาบซึ้งใจ กล่าวขอบคุณด้วยใจจริง “ขอบคุณท่านอาจารย์”
ท่านอาจารย์โบกมือ “แม่นางมิต้องขอบใจ อี้เซวียนเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวในชีวิตข้า ที่ทำให้ข้ารู้สึกภาคภูมิใจ ข้าเองก็ไม่อยากให้ภายหน้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเขา ข้าจะสอนสั่งเขาอย่างสุดความสามารถ” หลังจากอธิบายเหตุผล และได้รับคำรับประกันจากท่านอาจารย์ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กล่าวลาท่านอาจารย์ กลับมาที่บ้าน บอกเมิ่งอี้เซวียนที่รอคอยอย่างกระสับกระส่าย ให้ตอนบ่ายเข้าไปเรียนตามเดิม ทว่าจากนี้ไปจะเพิ่มการเรียนขึ้นอีกหนึ่งชั่วยามทุกวัน”
เมิ่งอี้เซวียนนึกว่าเป็นการตัดสินใจภายใต้โทสะของท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่กล้ามีความเห็นต่าง เพียงพูดว่าตัวเองทราบแล้ว