ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 223-1 เหิมเกริม
คนที่มามุงดูบางคนร้อนตัวก้มหน้า บางคนกลับดูแคลนไม่ไยดี
สาวใช้และบ่าวถามอย่างอ่อนน้อม “ฮูหยิน จะให้นำรถม้าไว้ที่ไหนขอรับ?”
สะใภ้หลิวกุ้ยมองดูรถม้าหรูหราและม้าตัวสูงใหญ่ คิดว่านี่เป็นของบุตรสาวตนเอง ยืดหลังตั้งตรง “นำเข้ามาในบ้านเถอะ”
สาวใช้และบ่าวรับคำ บังคับรถม้าเข้ามาในบ้านทั้งหมด
สะใภ้หลิวกุ้ยมองดูสายตาริษยาของชาวบ้าน แค่นเสียงร้องหึ เดินบิดไปส่ายมาเลียนแบบหลิวลี่กลับเข้าไปในบ้าน แล้วปิดประตูใหญ่ดัง “โครม” สกัดสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านจนสิ้น
ไม่มีอะไรให้ดูอีก ชาวบ้านที่มามุงดูแยกย้ายกันกลับไปตากแดดตามเดิม ต่างวิพากษ์ถึงการแต่งตัวและขบวนของหลิวลี่อย่างสนุกปาก
หลิวลี่เดินเข้ามาในลานบ้าน มองเห็นกระท่อมที่ยังคงทรุดโทรม ดวงตาสะท้อนแววเดียดฉันท์ กลับพูดด้วยน้ำเสียงทุกข์เศร้า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ที่หัวเมืองลูกได้อาศัยอยู่เรือนใหญ่ แต่งกายงดงามหรูหรา พวกท่านกลับยังต้องอยู่กระท่อมทรุดโทรมเช่นนี้ ลูกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ไว้เมื่อลูกกลับไป จะไปคุกเข่าขอร้องท่านป้า ให้นางมอบเงินให้พวกท่าน ไปซื้อเรือนสักหลังในอำเภอ ให้พวกท่านทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่ในตำบล”
ช่วงที่ผ่านมาสะใภ้หลิวกุ้ยไม่กล้าโอหังอวดดี ให้คับอกคับใจมานาน ได้ยินหลิวลี่พูดเช่นนี้ ถามขึ้นด้วยความยินดี “ลี่เอ๋อร์ ที่เจ้าพูดเป็นความจริง น้าหญิงลูกจะให้เงินพวกเราไปซื้อเรือนอาศัยจริงหรือ?”
หลิวลี่ส่งสายตาเล็กน้อย สาวใช้นางหนึ่งรีบยกเก้าอี้นุ่มออกมาจากรถม้า วางไว้ข้างกายหลิวลี่อย่างระวัง
สาวใช้ประคองหลิวลี่นั่งบนเก้าอี้เตี้ยอย่างมั่นคง ถึงเอ่ยปากตอบกลับ “ท่านแม่ ท่านน้าหญิงปฏิบัติต่อข้าดั่งบุตรสาวแท้ๆ หากข้าขอร้อง นางจักต้องรับปาก อีกอย่างเรือนหลังหนึ่งก็ใช้เงินไม่กี่มากน้อย แค่เงินค่าเครื่องประทินโฉมเดือนเดียวของลูกก็ซื้อได้แล้ว”
สะใภ้หลิวกุ้ยได้ฟังถลึงตาลุกวาว ถามอย่างไม่เชื่อ “ลี่เอ๋อร์ ค่าเครื่องประทินโฉมต่อเดือนของเจ้าก็หลายร้อยตำลึงแล้วรึ?”
หลิวลี่ใช้มือลูบไล้ใบหน้าผ่องผุดอ่อนนุ่มอย่างกระหยิ่มใจ พูดว่า “ท่านแม่ ภายหน้าข้าต้องแต่งงานกับคนในเมืองหลวง หากไม่บำรุงรักษาผิวพรรณให้ดี จะมัดใจสามีในอนาคตได้อย่างไรเล่า”
ตอนที่น้องสาวของตัวเองมารับคนไป บอกเพียงว่าจะเลี้ยงดูหลิวลี่ให้ดี รับประกันว่าภายหน้านางจะต้องได้แต่งงานกับคนสกุลสูงศักดิ์ แต่มิได้บอกว่าจะแต่งไปอยู่เมืองหลวง ครั้นมาได้ยินหลิวลี่กล่าวเช่นนี้ สองสามีภรรยาหลิวต่างตกใจจนพูดไม่ออก
ครู่ใหญ่ สะใภ้หลิวกุ้ยถึงตบหน้าขาตัวเอง เปล่งน้ำเสียงดีใจร้องดังลั่นว่า “สวรรค์ เมืองหลวงเป็นที่พำนักของใต้ฝ่าพระบาท มีแต่เจ้านายเชื้อพระวงศ์อาศัยอยู่ แปลว่าลี่เอ๋อร์ของพวกเราจะได้แต่งกับขุนนางน่ะสิ?”
หลิวลี่ยิ่งแสดงสีหน้าลำพองใจ “ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้ว ท่านน้าหญิงบอกว่าพูดคุยกับอีกฝ่ายไว้แล้ว รอให้ข้าถึงวัยปักปิ่นก็จะแต่งงานได้ทันที”
“โอ้โห เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก รอให้ลี่เอ๋อร์ได้แต่งงานกับข้าราชบริพาร แม่จะต้องเข้าไปเที่ยวในเมืองหลวง ดูว่าเมืองหลวงหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่?” ราวกับว่าสะใภ้หลิวกุ้ยกลัวคนที่เดินผ่านไปมาจะไม่ได้ยิน แผดเสียงพูดดังลั่น
หลิวลี่ยิ่งสะท้อนแววตาเดียดฉันท์ กลับยกยิ้มพูดว่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ท่านแม่รักใคร่ข้ามาแต่น้อย ข้าร่ำรวยมีอันจะกินแล้ว ย่อมต้องรับท่านไปเสพสุขในเมืองหลวงด้วยกัน”
สะใภ้หลิวกุ้ยหันไปร้องโวยวายใส่หลิวกุ้ย “พ่อเอ๊ย เจ้าได้ยินหรือไม่ อีกสองปีพวกเราก็จะได้ไปเมืองหลวงแล้ว”
หลิวกุ้ยยืดหลังที่หดงอมานานหลายปี ใบหน้าเผยรอยยิ้มสดใสเหมือนในอดีต พูดดีใจไม่ขาดปาก “ดีๆๆ พวกเราได้อาศัยใบบุญของลี่เอ๋อร์ จะได้เข้าไปเที่ยวในเมืองหลวงแล้ว”
หลิวลี่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่กล้าตัดบทเขาต่อหน้า นัยน์ตากลิ้งกลอก เห็นเด็กน้อยสองคน จึงกวักมือเรียกพวกเขา “เข้ามาหาอาสิ”
เด็กน้อยทั้งสองหันมองสะใภ้หลิวต้าเป่า
สะใภ้หลิวต้าเป่าโอบลูกน้อยทั้งสองคนไว้แน่น ยิ้มพูดว่า “เด็กๆ เล่นเนื้อตัวมอมแมม จะทำเสื้อผ้าเจ้าสกปรกได้”
หลิวลี่เห็นนางรู้ความ ดีกว่าแม่ที่โง่เขลาของตัวเองไม่รู้กี่เท่า พยักหน้าพอใจ ทว่ายังเสแสร้งพูดว่า “ฟังพี่สะใภ้พูดเข้าเถิด ข้ามีหลานชายเพียงสองคนนี้เท่านั้น มีแต่จะรักใคร่เอ็นดู จะรังเกียจว่าพวกเขามอมแมมได้อย่างไร”
สะใภ้หลิวต้าเป่าหัวเราะแหะๆ ไม่ได้พูดอะไร
เด็กน้อยทั้งสองกำเงินที่หลิวลี่เพิ่งจะให้มาแน่น
สะใภ้หลิวกุ้ยเห็นสะใภ้หลิวต้าเป่าไม่ยอมให้เด็กน้องทั้งสองเข้าใกล้สะใภ้หลิวต้าเป่า ก็ให้เคืองขุ่น พูดตวาดนาง “ลี่เอ๋อร์อยากจะดูหน้าหลานให้ชัดๆ เจ้าก็ให้พวกเขาเข้าไปสิ เจ้ารั้งพวกเขาไว้เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือเห็นน้องสะใภ้สุขสบายแล้ว เจ้าไม่พอใจ?”
สะใภ้หลิวต้าเป่าเผยอปากกลับไม่ได้พูดอะไร
สะใภ้หลิวกุ้ยยังไม่สาแก่ใจ พูดตำหนินางต่อ “ลี่เอ๋อร์ลงจากรถม้ามาก็ให้เงินเด็กๆ คนละหนึ่งตำลึงทันที เจ้ายังไม่พอใจ ครอบครัวพวกเราเหตุใดถึงมีลูกสะใภ้ไม่รู้จักพอเยี่ยงเจ้าได้”
สะใภ้หลิวต้าเป่าเม้มริมฝีปาก ไม่ยอมปริปาก ปล่อยให้นางว่ากล่าวตามใจ
หลิวลี่แสร้งเป็นคนดี พูดหว่านล้อม “พอแล้ว ท่านแม่ ข้าไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน พี่สะใภ้และเด็กๆ ไม่สนิทสนมกับข้าก็เป็นเรื่องปกติ”
สะใภ้หลิวต้าเป่าเป็นคนหน้าตาสะสวย ทั้งอาศัยอยู่ในเมืองกับหลิวต้าเป่ามานาน ไม่เคยทำงานเกษตร เห็นแวบแรกเหมือนกับคุณหนูสกุลใหญ่ ตอนที่พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ในเมือง สะใภ้หลิวกุ้ยภาคภูมิใจเป็นหนักหนา เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าตนเองได้สะใภ้ชั้นดีมา ทำเอาชาวบ้านอิจฉากันยกใหญ่ แต่หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดกลับมา สะใภ้หลิวต้าเป่าทำงานเกษตรไม่เป็น ยามปกติยังไม่เป็นไร พอถึงฤดูทำนากลับช่วยอะไรไม่ได้ สะใภ้หลิวกุ้ยเริ่มไม่พอใจ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นหวย[1]ไปเรื่อย สะใภ้หลิวต้าเป่าไม่เคยปริปาก หลิวต้าเป่ากลับไม่พอใจ คอยปกป้องภรรยาตนเอง ทั้งพูดว่าหากนางรู้สึกขวางหูขวางตาภรรยาตนเอง พวกเราทั้งครอบครัวจะย้ายกลับไปอยู่ในเมือง
บุตรชายที่ตนเองเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากพอแต่งภรรยาก็ลืมมารดา ตนเองเพียงพูดแขวะภรรยาเขาไม่กี่คำก็ไม่พอใจแล้ว สะใภ้หลิวกุ้ยสะสมความคับแค้นใจนี้ไว้ อาศัยจังหวะที่หลิวต้าเป่าไม่อยู่บ้าน ฟาดงวงฟาดงาปฏิบัติต่อสะใภ้หลิวต้าเป่าอย่างไร้เหตุผล
สะใภ้หลิวต้าเป่าอดทนเรื่อยมาไม่เคยปริปาก
สะใภ้หลิวกุ้ยนึกว่านางหวาดกลัว ยิ่งทวีความเกรี้ยวกราด หลิวกุ้ยอารมณ์ไม่ดี คร้านจะสนใจเรื่องแม่สามีลูกสะใภ้ของพวกนาง วันๆ ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ตอนนี้ได้ยินหลิวลี่พูดเช่นนี้ สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งให้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ก่นด่าเสียงลั่น “เจ้าคนไม่ได้เรื่องไร้การอบรม ตัวเองไม่ชอบลี่เอ๋อร์ก็ช่างเถอะ ยังจะสอนลูกทั้งสองคนให้เสียเด็ก ถ้าข้าทนไม่ไหว จะให้เป่าเอ๋อร์หย่ากับเจ้า”
อยู่ต่อหน้าคนมากมาย สะใภ้หลิวต้าเป่ายิ่งไม่อาจโต้เถียง ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาพลันไหลเป็นสาย
หลิวลี่เห็นสภาพเช่นนั้นของนาง ก็ให้เจ็บปวดใจยิ่งนัก คิดถึงในอดีต สองสามีภรรยาหลิวรักบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ให้หลิวต้าเป่าไปใช้ชีวิตเสพสุขอยู่ในเมือง กลับให้ตัวเองคอยช่วยพวกเขาทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้าน แม้แต่สะใภ้หลิวต้าเป่าก็ได้รับการพะเนาพะนอตามไปด้วย ทุกครั้งที่กลับมาบ้านสะใภ้หลิวกุ้ยแทบจะอุ้มชูนางไม่วาง หลิวลี่ได้แต่คิดว่าสักวันจะต้องงัดนางลงมาให้ได้ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
สะใภ้หลิวกุ้ยยิ่งด่าก็ยิ่งโมโห ผรุสวาจาบาดหูพรั่งพรูออกมาหมด หลิวกุ้ยทนฟังต่อไปไม่ไหว แผดเสียงเอ็ดนาง “พอได้แล้ว”
สะใภ้หลิวกุ้ยยังคงหวาดกลัวหลิวกุ้ยอยู่บ้าง สงบปากทันที พูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “รีบไสหัวกลับเข้าห้องตัวเองไป ข้าไม่อนุญาตไม่ต้องออกมา จะทำให้ลี่เอ๋อร์เสียอารมณ์เปล่าๆ”
สะใภ้หลิวต้าเป่าปาดน้ำตา พาลูกน้อยทั้งสองเข้าบ้าน
“ร้องๆๆ รู้จักแต่ร้อง ที่วันนี้ครอบครัวเราตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความซวยที่เจ้าร้องไห้ออกมา” สะใภ้หลิวกุ้ยยังร้องก่นด่าไม่เลิก
สะใภ้หลิวต้าเป่าไม่กล้าเช็ดน้ำตาแล้ว รีบพาลูกน้อยทั้งสองเข้าบ้านไป
หลิวลี่คลับคล้ายว่าจะได้ยินบางอย่างจากคำพูดนาง ย่นหัวคิ้วถาม “เกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวพวกเราหรือ?”
ได้ยินคำถาม สะใภ้หลิวกุ้ยทุกข์ใจตรอมตรม ก้าวมาเบื้องหน้าหลิวลี่ คิดจะจับมือของนาง บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว
หลิวลี่เบี่ยงหลบอย่างแยบยล สั่งการสาวใช้ “ไปยกเก้าอี้มาให้ฮูหยิน”
สาวใช้รับคำ เดินตรงไปเปิดม่านประตูเข้าไปในบ้าน ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางข้างสะใภ้หลิวกุ้ย พูดอย่างอ่อนน้อม “ฮูหยิน เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
เป็นครั้งแรกที่สะใภ้หลิวกุ้ยได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้ รู้สึกตกใจที่ได้รับความเอ็นดู รีบร้อนกล่าวขอบคุณ
สาวใช้ลนลานโบกมือ “ข้าสมควรทำแล้ว ฮูหยินอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”
หลิวลี่ก็เอ่ยปากพูดว่า “ท่านแม่ พวกนางเป็นคนชั้นต่ำ อย่าว่าแต่ยกเก้าอี้มาให้ท่านเลย ต่อให้ให้พวกนางหมอบเป็นม้านั่งรองก้น พวกนางก็ไม่กล้าอิดออด ไม่เช่นนั้นข้ากลับไปรายงานท่านน้าหญิง พวกนางจะต้องถูกโบยจนตาย”
สาวใช้ได้ยินเช่นนั้น หดห่อตัวสั่นเทิ้ม
สะใภ้หลิวกุ้ยกลับตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก
หลิวลี่ถามต่อ “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับครอบครัวพวกเรากันแน่?”
สะใภ้หลิวกุ้ยได้สติคืนกลับมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโพล่งด่าออกไป “ครอบครัวพวกเราถูกนังสารเลวเมิ่งเชี่ยนโยววางแผนการ แม้แต่ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของบิดาเจ้าก็หมดสิ้นไปด้วย”
แม้จะดูแคลนพวกเขา แต่อย่างไรก็เป็นบิดามารดาแท้ๆ ของตัวเอง ได้ฟังว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลิวลี่เร่งเร้าถามพลัน “ท่านแม่ ท่านรีบเล่ามาเถิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
สะใภ้หลิวกุ้ยจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมาที่เกี่ยวข้องกับเมิ่งเชี่ยนโยว โดยใส่สีตีไข่ ทั้งกลับขาวเป็นดำ พูดจบก็ก่นด่า “นังตัวดีนั่น จิตใจเ**้ยมอำมหิต ในตอนนั้นไม่เพียงทารุณกรรมพี่ชายเจ้า ยังยุแยงท่านผู้ว่าการตำบลให้โบยบิดาเจ้า หากไม่เพราะบิดาเจ้าร่างกายแข็งแรง ฝืนทนมาได้ เกรงว่าเจ้ากลับมาครั้งนี้คงไม่ได้เห็นบิดาเจ้าแล้ว”
หนึ่งปีกว่าที่หลิวลี่อาศัยอยู่หัวเมือง ถือตัวว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ไปเสียแล้ว สาเหตุที่กลับมาครั้งนี้ นอกจากมาบอกสองสามีภรรยาหลิวเรื่องที่ตัวเองจะแต่งงานไปอยู่เมืองหลวง ที่มากกว่านั้นก็เพื่อกลับมาโอ้อวดบารมี ให้ชาวบ้านเข้ามาประสบสอพลอนาง เติมเต็มปมด้อยในใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมีหน้ามีตายิ่งกว่าตนเอง
แค้นเก่าผสมแค้นใหม่ หลิวลี่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ สั่งการสาวใช้ข้างๆ “เจ้านำเทียบเชิญของข้าไปบ้านเมิ่ง บอกว่าข้าต้องการพบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ให้นางรีบเข้ามา”
คุณหนูสูงศักดิ์ในหัวเมืองก่อนจะนัดพบกันและกัน จะต้องมีหมายเทียบเชิญ เดิมที่ที่แห่งนี้ไม่ต้องใช้ แต่เพื่อแสดงว่าสถานะของตนเองไม่เหมือนในอดีตแล้ว หลิวลี่จึงเจตนาให้สาวใช้ส่งเทียบเชิญไป แค่นางออกโรง ก็กดเมิ่งเชี่ยนโยวที่น่าชิงชังลงไปได้ขั้นหนึ่งแล้ว
สาวใช้รับคำอย่างอ่อนน้อม หยิบเทียบเชิญหนึ่งแผ่นออกมาจาก**บใบหนึ่งบนรถม้า หลังจากซักถามบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวจากสะใภ้หลิวกุ้ย ก็เปิดประตูออกไปบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว
ชั่วเวลาเพียงอึดใจเดียวนี้ เรื่องที่หลิวลี่แต่งกายสวยหรู นั่งรถม้าโอ่อ่ากลับมาก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทุกที่มีแต่เสียงวิพากษ์เกี่ยวกับหลิวลี่
เพราะครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นทำงานอยู่ในโรงงาน จึงไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆ
สาวใช้ตามหาบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวเจอจากคำบอกเล่าที่ตั้งของสะใภ้หลิวกุ้ย กลับพบว่าประตูใหญ่ปิดสนิท จึงซักถามชาวบ้านอย่างสุภาพ ถึงได้รู้ว่าพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่โรงงาน หลังจากทราบที่ตั้งของโรงงานแล้ว ก็มุ่งหน้าตรงมายังโรงงาน
วันนี้เถ้าแก่หวังส่งรถม้าหลายคันเข้ามารับมันฝรั่งอีก ทุกคนต่างเข้ามาช่วยบรรทุกมันฝรั่ง มีเพียงหลี่ลิ่วเฝ้าหน้าประตูเพียงคนเดียว
สาวใช้เดินมาถึงหน้าประตู ถามขึ้น “ไม่ทราบว่า ที่นี่คือโรงงานของบ้านเมิ่งใช่หรือไม่?”
หลี่ลิ่วมองประเมินนาง ถามอย่างระวัง “เจ้าเป็นใคร สืบถามเรื่องนี้ไปทำไม?”
สาวใช้ตอบ “ข้าเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนูหลิวลี่ คุณหนูของพวกเราต้องการเชิญแม่นางเมิ่งไปพูดคุย ไม่ทราบว่านางมีเวลาหรือไม่?”
ตอนที่หลี่ลิ่วมาอยู่บ้านเมิ่ง หลิวลี่ถูกรับตัวไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าบ้านหลิวกุ้ยยังมีบุตรสาวอีกคนชื่อหลิวลี่ ได้ยินสาวใช้พูดเช่นนี้ นึกว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้จักต้องการพบนาง ส่งสาวใช้มาส่งเทียบเชิญ จึงรีบพูดอย่างสุภาพ “ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปตามแม่นางของพวกเราออกมา”
สาวใช้พยักหน้า กล่าวขอบคุณแล้วยืนรอหน้าประตูโรงงาน
[1] 指桑骂槐 (จื่อซังม่าหวย) ชี้ต้นหม่อนด่าต้นหวย หมายถึง การพูดจาเหน็บแนม ตีวัวกระทบคราด