ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 225-3 ฝูงชนต่อต้าน ญาติมิตรหลีกหนี (2)
สะใภ้หลิวกุ้ยถลาเข้ามาถึงเบื้องหน้าหลิวต้าเป่า กระโดดหมายจะคว้าตัวสะใภ้หลิวต้าเป่า “นังสารเลว ยุแยงบุตรชายข้าให้ผิดใจกับข้ายังไม่พอ ยังคิดจะหลอกเอาปิ่นทองคำของลี่เอ๋อร์ไปอีก วันนี้หากเจ้าไม่คืนปิ่นทองคำและเงินสองตำลึงมา เจ้าอย่าหวังจะได้ออกไปจากบ้านนี้”
สะใภ้หลิวกุ้ยที่ถูกตบหน้าบวมไปหนึ่งด้าน เดิมก็พูดจาฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว กลับมาก็เอาแต่แผดเสียงร้องอาละวาด จนเสียงแหบแห้ง นางพูดรำพันยาวเหยียด พวกเขากลับฟังไม่รู้เรื่องว่านางพูดอะไร ทว่าด้วยอากัปกิริยาของนาง จะต้องไม่ใช่คำพูดดี
หลิวกุ้ยชักสีหน้า ตวาดนาง “พอได้แล้ว หากเจ้ายังตอแยไม่เลิก อย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หย่าร้างกับเจ้า!”
สะใภ้หลิวกุ้ยถลึงตามองเขาอย่างไม่เชื่อ ท่าทีหาได้โอนอ่อนลงไม่ ถามเสียงเขียว “เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าพูดใหม่อีกครั้ง”
หลิวลี่ให้เดียดฉันท์มารดาเช่นนี้ของตนเองนัก ทว่ายังคงพูดโน้มน้าว “ท่านแม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้จะเข้าไปอยู่ในเมืองแล้ว ท่านให้พวกเขาไปเถอะ ท่านจักขัดขวางเช่นนี้ไปไย?”
แม้แต่บุตรสาวตนเองก็กล่าวเช่นนี้ สะใภ้หลิวกุ้ยรู้สึกว่าความหวังดีของตนเองถูกมองข้าม พูดกับหลิวลี่อย่างเจ็บปวดใจ “แม้แต่เจ้าก็ตำหนิแม่ แม่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า เจ้าต้องกลายเป็นเช่นนี้ การแต่งงานสูญสิ้น ไม่เก็บข้าวของติดตัวไว้ ต่อไปจะมีชีวิตอย่างไร?”
“ถุยๆๆ ปากอัปมงคล” หลิวลี่ถ่มน้ำลายหลายครั้ง พูดอย่างโมโห “ท่านเป็นแม่ข้าจริงๆ หรือ? ถึงสาปแช่งข้าเช่นนี้ การแต่งงานของข้ายังอยู่ดี สูญสิ้นที่ไหนกัน?”
สะใภ้หลิวกุ้ยโมโหจนขาดสติ ไม่เข้าใจความหมายที่หลิวลี่สื่อออกมา เพียงแค่รู้สึกว่าบุตรสาวถ่มน้ำลายใส่ตนเองหลายครั้งต่อหน้าคนมากมาย ให้รู้สึกอับอาย บันดาลโทสะ ตบเข้าที่หน้าหลิวลี่ฉาดใหญ่ “ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบใหญ่ พวกเจ้าแต่ละคนกลับปฏิบัติเช่นนี้ต่อข้า?”
หลิวลี่ไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่ามารดาจะลงมือกับตัวเอง ไม่ทันได้ป้องกันตัว ฝ่ามือที่ตวัดเข้ามานี้ทั้งหนักแน่นและแม่นยำ ใบหน้าผิวขาวผุดที่ประคบประหงมมาหนึ่งปีปรากฏรอยนิ้วมือชัดแจ้งทั้งห้านิ้ว
หลิวลี่มึนงง
หลิวกุ้ยและหลิวต้าเป่าผงะค้าง
“คุณหนู!” บรรดาสาวใช้ตกใจวิ่งร้องตะโกนเข้ามา ยืนขวางเบื้องหน้าหลิวลี่
หลังจากตบหน้า สะใภ้หลิวกุ้ยก็ตะลึงค้าง มองมือตัวเองอย่างไม่เชื่อ ให้เสียใจอย่างสุดหัวใจ เค้นน้ำเสียงแหบแห้ง พูดจาฟังไม่ได้ศัพท์ “ลี่เอ๋อร์ รีบมาให้แม่ดู เจ็บมากหรือไม่?”
หลิวลี่กุมใบหน้าตนเอง ร้องตวาดแว้ด “ข้าไม่มีมารดาเช่นท่าน!”
สะใภ้หลิวกุ้ยร้อนอกร้อนใจ “ลี่เอ๋อร์ ลูกต้องเชื่อแม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร? ราวกับเป็นผีร้าย”
น้ำเสียงหลิวลี่ยิ่งให้โกรธเกรี้ยว โพล่งปากพูดโดยไม่ผ่านสมอง “จะให้ข้าเชื่อว่าท่านไม่ตั้งใจ นอกจากท่านไปตายซะ!”
สิ้นเสียง ทั้งลานบ้านเงียบสงัด
หลิวต้าเป่าเอ็ดนางด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “หลิวลี่ เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? รีบขอโทษท่านแม่”
หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาหลิวลี่ถูกตามใจจนเหลิง นึกว่าตัวเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์จริงๆ แล้ว หากสาวใช้บ่าวไพร่ต่อต้านคำสั่งของนาง โทษสถานเบาคือถูกโบย โทษสถานหนักคือถูกขายเป็นทาส ตอนนี้สะใภ้หลิวกุ้ยตบหน้านางต่อหน้าคนมากมาย นางย่อมอับอายจนกลายเป็นโทสะ ไฉนเลยจะสนใจว่าเป็นมารดาของตนเองหรือไม่ อยากให้นางตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เห็นหลิวต้าเป่าไม่เข้าข้างตัวเอง กลับช่วยพูดแทนสะใภ้หลิวกุ้ย ก็ยิ่งให้เคืองโกรธ “ท่านไม่ต้องแสร้งทำเป็นคนดี ตั้งแต่เด็กนางเลี้ยงดูท่านเหมือนสมบัติล้ำค่า ของดีของอร่อยล้วนให้แต่ท่าน งานที่ต้องใช้แรงก็ไม่ให้ท่านทำ ข้าเล่า? ข้าต้องเริ่มล้างจานขัดหม้อตั้งแต่อายุหกปี พอว่างก็ต้องไปทำเกษตรในแปลงดิน หากไม่ได้ท่านน้าชายมีใจรับข้าไป เกรงว่าข้าคงยังเป็นเด็กกระดำกระด่างให้นางก่นด่าไม่เว้นวาย ข้าสุขสบายแล้ว ก็มิได้ลืมนาง ข้าเฝ้าขอร้องท่านน้าหญิงอยู่นาน นางถึงยอมให้ข้ากลับมาเยี่ยมบ้าน ใครจะคิดว่านางจะยุยงข้าให้ไปหานังตัวดีเมิ่งเชี่ยนโยวระบายแค้นให้นาง เกือบจะทำลายงานแต่งงานของข้า ท่านพูดเถิด โลกนี้ยังมีแม่เช่นนี้อีกหรือ”
หลิวลี่พูดจบ สะใภ้หลิวกุ้ยสติสตังเลอะเลือน โบกมืออุตลุด “ไม่ใช่ลี่เอ๋อร์ ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ แม่จะไม่รักเจ้าได้อย่างไร แม่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง”
หลิวลี่แค่นเสียงหึ ยังคงพูดด้วยวาจาเฉือดเฉือน “ไม่ต้องใช้คำพูดพวกนี้มาพูดขอไปที ข้าจะบอกให้นะ ข้าคิดวิธีหนึ่งออกแล้ว ต่อให้ไม่มีฟันหนึ่งซี่ การแต่งงานของข้าก็ยังคงอยู่ ข้าจะกลับหัวเมืองเดียวนี้ ต่อให้ตายข้าก็ไม่มีวันยอมรับว่าท่านเป็นแม่อีก”
พูดจบ ถามสาวใช้ “คนพวกนั้นเล่า ให้พวกเขาฝืนมาบังคับม้าสักคน พวกเราจะกลับหัวเมืองทันที”
สาวใช้คนหนึ่งตอบตัวสั่น “คุณหนูเจ้าคะ พวกเขาถูกโยนกองอยู่นอกประตูใหญ่ ร่อแร่ใกล้ตาย เข้ามาไม่ได้แล้ว”
หลิวลี่ยิ่งใช้น้ำเสียงเกรี้ยวกราด หันไปตวาดใส่สะใภ้หลิวกุ้ย “ได้ยินแล้วหรือไม่ ไม่มีคนบังคับรถม้า แม้แต่กลับหัวเมืองข้าก็กลับไปไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะท่านคนเดียว!”
สะใภ้หลิวกุ้ยพูดไม่ออกสักคำ ได้แต่ส่ายหน้ารัวอย่างไม่คิดชีวิต
หลังจากที่หลิวกุ้ยกลับมาบ้าน เอาแต่เป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของหลิวลี่ มิได้สนใจเรื่องอื่นเลย ได้ยินสาวใช้พูดเช่นนี้ รีบสาวเท้าเดินมานอกประตู เห็นบ่าวนอนหายใจรวยรินถูกโยนกองไว้หน้าประตูใหญ่ ตะโกนเรียกหลิวต้าเป่าพลัน “ต้าเป่า รีบไปตามหมอมา ให้เขามาดูอาการให้คนพวกนี้ อย่าให้พวกเขาต้องมาตายหน้าบ้านพวกเรา”
“พวกเศษสวะไม่ได้เรื่อง ตายเสียได้ก็ดี ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา” น้ำเสียงดุร้ายและสิ้นหวังของหลิวลี่ดังลอยออกมาจากลานบ้าน
หลิวกุ้ยได้ยินคำพูดนาง หัวใจกระตุกวูบอย่างประหลาด หยุดชะงักฝีเท้า ทว่าอย่างไรก็ทนเห็นพวกเขาต้องมาจบชีวิตทั้งเป็นเช่นนี้ไม่ได้ ยังคงพูดว่า “ต้าเป่า รีบไปตามหมอมา”
หลิวต้าเป่าขานรับคำ ยกเท้าเดินออกไป
สะใภ้หลิวต้าเป่าและลูกน้อยทั้งสองคนตามหลังเขาไปติดๆ
เดินมานอกประตูใหญ่ หลิวต้าเป่ากำลังจะสั่งให้ภรรยารออยู่ที่นี่ ทว่าสะใภ้หลิวต้าเป่าที่ไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อนกรีดร้องเสียงหลงพลัน
เด็กน้องทั้งสองคนก็ตกใจคว้าเสื้อผ้าเขาไว้แน่น
หลิวต้าเป่ารีบปลอบใจพวกเขา “พวกเขาเพียงถูกคนทำร้ายร่างกายมา พอหมอมาดูอาการ พักฟื้นไม่กี่วันก็จะหายดี พวกเจ้าไม่ต้องกลัวนะ”
สะใภ้หลิวต้าเป่าที่หลังจากกรีดร้อง ก็รีบปิดปากตัวเองแน่น ได้ยินคำพูดเขาก็ผงกศีรษะตื่นกลัว
หลิวต้าเป่าพูดกับพวกเขาอย่างอ่อนโยน “พวกเจ้ารอข้าครู่เดียว ข้าจะไปตามหมอมาดูอาการให้พวกเขา แล้วพวกเราจะกลับเข้าเมืองทันที”
สะใภ้หลิวต้าเป่าลุกลนผงกศีรษะ พาลูกน้อยทั้งสองคนมายืนรอในมุมหนึ่งหน้าประตูใหญ่
ไม่นานหมอก็ตามหลิวต้าเป่าเข้ามา หลังจากเห็นสภาพน่าสังเวชของพวกเขา ก็ถอนใจพูดว่า “อาการบาดเจ็บของพวกเขาสาหัสนัก ต้องมีสองสามเดือนถึงจะทุเลาลงได้ ข้าจะให้ยาสมานแผลภายนอกให้พวกเจ้าใส่ยาให้พวกเขา ส่วนที่เหลือก็ค่อยๆ พักฟื้นเถอะ”
หลิวกุ้ยพยักหน้า
หมอนำยาออกมาจาก**บที่พกติดตัวมายื่นให้หลิวต้าเป่า ทั้งกำชับเขาถึงวิธีการใช้
หลิวกุ้ยกล่าวขอบคุณ กลับเข้าไปหยิบเงินในบ้านมาจ่ายค่ายา
หมอรับมาแล้วเดินส่ายหน้าออกไป
หลิวต้าเป่าทำตามที่หมอสั่ง ใส่ยาให้ทีละคนจนเสร็จ หันไปพูดกับหลิวกุ้ย “ท่านพ่อ พวกเขานอนหน้าประตูเช่นนี้ดูไม่ดี พวกเราหามพวกเขาเข้าไปด้านในเถอะ”
เสียงหลิวลี่ดังลอยมาจากลานบ้าน “ไม่ต้อง พวกเราจะกลับหัวเมืองเดี๋ยวนี้แล้ว”
“เจ้าออกมาดูเถิด พวกเขามีสภาพเช่นนี้ พวกเจ้าจะกลับไปอย่างไร?” หลิวต้าเป่าถาม
หลิวลี่ไม่แม้แต่จะชายตามองมารดาตัวเอง ส่งสายตาให้สาวใช้ประคองตนเองออกไป
สาวใช้ประคองนางออกมาอย่างระวัง เห็นสภาพด้านนอกประตู หลิวลี่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว พูดว่า “จัดการไม่ยาก ท่านและท่านพ่อโยนพวกเขาไปเป็นอาหารจิ้งจอกบนเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว”
หลิวกุ้ยไม่เห็นด้วย “อย่างไรพวกเขาก็มีชีวิตจิตใจ จะให้โยนเป็นอาหารจิ้งจอกบนเขาได้อย่างไร?”
หลิวลี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จะให้ข้ารอเศษสวะพวกนี้หายดีค่อยกลับหัวเมืองหรือ? หากเวลานานเช่นนั้นไม่กลับไป ท่านน้าชายจะต้องส่งคนมา แล้วเขาก็จะรู้เรื่องที่ข้าฟันหลุดไปหนึ่งซี่”
หลิวต้าเป่าคิดวิธีหนึ่งได้ พูดว่า “ข้ากลับคิดว่าเจ้าไม่ควรทิ้งพวกเขาไว้ ไม่เช่นนั้นจ้างรถม้าคันหนึ่งมาบรรทุกพวกเขากลับไป บอกว่าระหว่างทางเจอโจรป่า พวกเขาเพื่อคุ้มครองเจ้าถึงถูกทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ ชนบทความเป็นอยู่อัตคัด จึงรีบร้อนกลับไป เจ้าพูดเช่นนี้ หนึ่งจะสร้างภาพประทับต่อหน้าพวกเขา สองบ่าวก็จะจดจำบุญคุณนี้ของเจ้า ภายหน้าจะยิ่งติดตามเจ้าอย่างพลีกายถวายใจ ส่งผลให้เจ้ามีทาสที่ซื่อสัตย์ของตัวเอง”
หลิวกุ้ยก็พูดสนับสนุน “ความคิดนี้ของพี่ใหญ่เจ้าดีนัก เชื่อที่เขาพูดเถอะ”
หลิวลี่ขบคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าใช้ได้ พูดว่า “วิธีนี้ก็ใช้ได้อยู่หรอก แต่เราจะไปหารถม้าที่ไหน?”
“หมู่บ้านนี้ย่อมไม่มีรถม้า พวกเราไปจ้างรถเทียมเกวียนคันหนึ่งมาก่อน ลากพวกเขาเข้าไปในเมือง พอถึงที่นั่นแล้ว เจ้าค่อยหารถม้าสักคัน” หลิวต้าเป่าบอกนาง
หลิวลี่พยักหน้า “ท่านช่วยเข้าไปหารถเทียมเกวียนในหมู่บ้านให้หน่อยเถิด ราคาเท่าใดก็ได้”
หลิวต้าเป่าพยักหน้า หันหลังเตรียมจะเข้าไปหารถเทียมเกวียนในหมู่บ้าน พลันนึกปัญหาหนึ่งขึ้นได้ หยุดชะงักฝ่าเท้า ถามขึ้น “พวกเขาบาดเจ็บถึงขั้นนี้ สาวใช้ก็บังคับรถม้าไม่เป็น เจ้าจะกลับหัวเมืองอย่างไร?”
หลิวลี่ตอบว่า “เมื่อครู่ข้าคิดไว้แล้ว ให้ท่านพ่อบังคับรถม้าส่งข้ากลับไป หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อส่งข้าเสร็จ ข้าจะขอร้องท่านน้าชายหางานหนึ่งให้เขา แล้วไม่ต้องกลับมาที่สัปปะรังเคนี้อีก”
หลิวต้าเป่าขมวดคิ้วมุ่น “แล้วแม่เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ประเดี๋ยวข้าจะมอบเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้นาง ถือว่าจบสิ้นความสัมพันธ์แม่ลูกของเรา ต่อไปเรื่องของนางไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีก หากท่านอยากเลี้ยงก็เลี้ยงเถอะ หากท่านไม่อยากเลี้ยง เงินนี้ถือว่าเพียงพอให้นางกินใช้ไปทั้งชีวิต” หลิวลี่พูดราบเรียบไร้อารมณ์ความรู้สึกใด
หลิวต้าเป่ามองนางราวกับไม่รู้จักมาก่อน
หลิวลี่หัวเราะเยาะหยัน “อย่าใช้สายตาเช่นนี้มองข้า เมื่อครู่ท่านก็อยากจะตัดความสัมพันธ์กับนางไปอยู่ในเมืองไม่ใช่หรือ? เราต่างพอๆ กัน อย่าว่าใครเลย”
“แต่อย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของพวกเรา พวกเราทำเช่นนี้ดูจะไม่เป็นการดี” อย่างไรหลิวต้าเป่าก็ไม่ใจไม้ไส้ระกำเช่นนั้น พูดอย่างทนไม่ได้
หลิวลี่พูดอย่างเมินเฉย “ตามใจท่านเถอะ สรุปคือข้าไม่ขอนับญาติกับนางแล้ว ได้คนเช่นนี้เป็นแม่ มีแต่จะทำให้พวกเราล่มจม”
หลิวต้าเป่ามองไปที่ภรรยาตัวเอง เห็นนางดวงตาแดงก่ำ ตัวสั่นผวา รู้ว่านางกลัวว่าตัวเองจะบอกให้นางอยู่ต่อ ถึงตกใจเช่นนั้น ดูท่าปกติมารดาตนเองจะทำเกินกว่าเหตุกับนางไปจริงๆ จึงตัดสินใจ ไม่พูดให้ภรรยาตนเองอยู่ที่บ้านนี้ต่อ
หลิวต้าเป่าเข้าไปหารถเทียมเกวียนในหมู่บ้าน หลิวลี่พูดกับหลิวกุ้ย “ท่านพ่อ ท่านได้ยินที่ข้าพูดไปเมื่อครู่แล้ว หากท่านอยากไป ก็กลับไปเก็บเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งแล้วตามข้าไป หากท่านไม่อยากไป ข้าก็ไม่ฝืนใจท่าน”
นับตั้งแต่ที่หลิวกุ้ยไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ถูกชาวบ้านเหน็บแนมเรื่อยมา สุดจะทนกับชีวิตที่ต้องหดหัวก้มหน้าก้มตา ได้ยินหลิวลี่พูดเช่นนี้ จึงพยักหน้าโดยไม่ต้องคิดพูดว่า “พ่อจะไปเก็บเสื้อผ้า ตามเจ้าไป”