ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 228-2 ผิดจากที่คาดไว้
ท่านอาจารย์โจวพูดต่อ “เชื่อว่าช่วงเวลานี้พวกเจ้าคงจะได้ยินมาบ้าง บ้านเมิ่งไม่เพียงรับอี้เซวียนมาเลี้ยง ทั้งยังหมั้นหมายแม่นางเมิ่งและเขาไว้ตั้งแต่เล็ก หากท่านอ๋องฉียอมรับการแต่งงานนี้ แม่นางเมิ่งก็คือว่าที่พระชายาองค์ชาย พวกเรารับปากการแต่งงานนี้ จะได้เกี่ยวดองกับครอบครัวแม่นางเมิ่งแนบแน่นไปอีกขั้น ภายหน้าเมื่อพวกเราอยู่ในเมืองหลวง จะได้มีเชือกป้องกันอีกเส้น มีเรื่องอันใดสามารถขอร้องนาง ให้ช่วยคุ้มครองความปลอดภัยได้”
โจวเสี้ยวพูดว่า “แต่ข้าได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นเกิดมาก็ถูกจับหมั้นหมายกับคุณหนูท่านเสนาบดีฝ่ายกลาโหมตั้งแต่เกิดแล้ว การแต่งงานนี้เกรงว่าจะไม่มีทาง”
ท่านอาจารย์โจวส่ายหน้า “พ่อพบเจอคนมานับไม่ถ้วน ไม่มีทางมองพลาดแน่นอน แม่นางเมิ่งคนนี้เป็นคนมีปณิธานแรงกล้า ในอนาคตข้างหน้า จักเป็นที่รู้จักไปทั่วล้า ยังมีอี้เซวียน หากได้รับการสอนสั่งอย่างเต็มที่ จักมีความสามารถรอบด้านทั้งบุ้นและบู๋ หากสองคนนี้รวมพลังกัน เกรงว่ายากจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ได้ ท่านอ๋องฉีก็เป็นคนใจดีมีเมตตา บ้านเมิ่งเลี้ยงดูเด็กคนนี้ด้วยความลำบากมานานหลายปี เขาไม่มีทางทำลายการแต่งงานนี้ ดังนั้นการแต่งงานนี้มีความเป็นไปได้สูง ส่วนเรื่องคุณหนูของท่านเสนาบดีฝ่ายกลาโหม เกรงจะต้องถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว”
โจวเสี้ยวและโจวหลี่เชื่อฟังท่านอาจารย์โจวมาตลอด ละความกังวลใจลง พยักหน้าเห็นชอบ “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้แล้ว”
ท่านอาจารย์โจวพูดอีกว่า “แม้การแต่งงานนี้จะได้ประโยชน์มากกว่าโทษ แต่อิ๋งเอ๋อร์เป็นลูกหลานที่พวกเรารักใคร่ฟูมฟักมาแต่น้อย พ่อก็ไม่อยากให้นางรู้สึกไม่เป็นธรรม ถามความเห็นนางเสียหน่อยเถอะ หากนางรับปาก พวกเราก็ยินดี หากนางไม่ยินยอม พวกเราจะไม่ฝืนบังคับ ทำได้เพียงพานางกลับเมืองหลวง ร่วมหัวจมท้ายไปกับพวกเรา”
โจวเสี้ยวลุกขึ้น “ข้าจะไปถามความเห็นนางเดี๋ยวนี้”
ท่านอาจารย์โจวพยักหน้า
โจวหลี่จากไป
ท่านอาจารย์โจวและโจวหลี่รออยู่ในหน้อง
ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ โจวเสี้ยวและสะใภ้ใหญ่โจวก็พาโจวอิ๋งเข้ามาที่เรือน
สะใภ้ใหญ่โจวขอบตาแดงเรื่อ ดูเหมือนจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ส่วนโจวอิ๋งกลับมีใบหน้าแดงฝาด
สะใภ้ใหญ่โจวและโจวอิ๋งแสดงการคำนับท่านอาจารย์โจว
ท่านอาจารย์โจวถามโจวอิ๋ง “เจ้ายินยอมกับการแต่งงานนี้หรือไม่?”
โจวอิ๋งยิ่งให้ใบหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเขินอาย “แล้วแต่ท่านพ่อท่านแม่และท่านปู่ตัดสินใจเจ้าค่ะ”
ท่านอาจารย์โจวรู้คำตอบทันที พยักหน้า ถามสะใภ้ใหญ่โจว “เจ้าตำหนิที่พ่ออนุญาตการแต่งงานนี้หรือไม่”
สะใภ้ใหญ่โจวลนลานพูด “ลูกสะใภ้ทราบว่าท่านพ่อหวังดีต่ออิ๋งเอ๋อร์ ข้าเพียงคิดว่าภายหน้าจะต้องอยู่ไกลจากอิ๋งเอ๋อร์ พลันทำใจไม่ได้”
ท่านอาจารย์โจวปลอบใจนาง “เรื่องในอนาคตใครก็บอกไม่ได้ ไม่แน่ว่าสักวันอิ๋งเอ๋อร์ก็ต้องไปเมืองหลวง”
สะใภ้ใหญ่โจวรู้ดีว่านี่เป็นคำปลอบประโลมของท่านอาจารย์โจว จึงไม่ได้พูดอะไร
เรื่องการแต่งงานของโจวอิ๋งถือว่าตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คนทางครอบครัวเมิ่งกลับร้อนรนกระวนกระวาย
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากเรือนท่านอาจารย์โจว ขบคิดเล็กน้อย ไม่ตรงไปบ้านเมิ่งจงจวี่ กลับมุ่งหน้ากลับมาบ้าน
ตั้งแต่ที่นางจากไป เมิ่งชื่อได้แต่อยู่ในบ้านอย่างไม่เป็นสุข เห็นนางกลับมาโดยไว หัวใจเย็นวาบ หยั่งเชิงถาม “ท่านอาจารย์โจวไม่เห็นชอบ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “เขาบอกว่าต้องหารือกับครอบครัวก่อน ภายในสามวันถึงจะให้คำตอบพวกเราเจ้าค่ะ”
“สามวัน นานไปหน่อยหรือไม่?” เมิ่งชื่อกระวนกระวายใจพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ท่านอาจารย์โจวมิได้รีบปฏิเสธข้า แสดงว่าพวกเขาก็มีใจหวั่นไหว การแต่งงานนี้พวกเราอาจเอื้อมเกินไปจริงๆ พวกเขาขอเวลาใคร่ครวญหลายวันก็มีเหตุผล”
เมิ่งชื่อไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ได้ยินเพียงว่าท่านอาจารย์โจวมีใจหวั่นไหว ร้องยินดีถามพลัน “เช่นนี้ การแต่งงานนี้ก็มีความเป็นไปได้สูง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้ารับรอง พูดเพียงว่า “ท่านแม่ ท่านอาจารย์โจวไม่ให้คำตอบ การแต่งงานนี้ใครก็รับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จ พวกเราอดทนรออีกสามวันเถอะเจ้าค่ะ”
เมิ่งชื่อบ่นงึมงำอย่างผิดหวัง “วันเดียวแม่ก็รอไม่ไหวแล้ว อีกตั้งสามวัน แม่ไม่ขาดใจตายไปก่อนรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า
เมิ่งชื่อบ่นเสร็จ เก็บข้าวของเตรียมไปโรงงานกระเป๋านักเรียน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านแม่ สะใภ้โจวทั้งสองคนอาจจะอยู่หารือเรื่องการแต่งงานของแม่นางโจวที่บ้าน ไม่ได้ไปโรงงาน หากมีคนถาม ท่านก็บอกว่าพวกนางมีธุระที่บ้าน ส่วนที่ว่าเป็นเรื่องอะไร ท่านเองก็ไม่ทราบ”
เมิ่งชื่อพยักหน้า “รู้แล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนเดินหน้าเปื้อนยิ้มออกมาจากในบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขา “หากว่าไม่ไหวจิรงๆ ก็จงบอกท่านอาจารย์ ให้เขาลดทอนวิชาเรียนลง”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าดีใจ
ซุนเหลียงไฉและเมิ่งเจี๋ยเมิ่งชิงก็สะพายกระเป๋านักเรียนออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับพวกเขาอีกชุด
ทั้งสี่คนสะพายกระเป๋านักเรียนเดินพ้นประตูออกไปอย่างเบิกบาน
ภายในบ้านเงียบไปถนัดตา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่ห้องฝั่งตะวันตก หยิบสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมา ค่อยๆ บดจนละเอียด เริ่มลงมือปรุงยารักษารอยแผลเป็น
สะใภ้เมิ่งต้าจินรอเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในบ้าน รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มา สุดท้ายทนรอต่อไปไม่ไหว ลุกขึ้นพรวดตรงมาหานางที่โรงงาน
พวกอู๋ต้าบอกนางว่าวันนี้นายหญิงไม่ได้มาโรงงาน
สะใภ้เมิ่งต้าจินหัวใจเย็บวาบ ไม่มาโรงงาน และไม่ไปบ้านตนเอง การแต่งงานนี้อีกฝ่ายจะต้องไม่ยินยอม นางไม่มีหน้าเข้าไปส่งข่าว จึงไร้อารมณ์เข้าไปถามเมิ่งชื่อ เดินคอตกกลับไปที่บ้าน
เมิ่งอี้กำลังรออยู่ในบ้าน เห็นสีหน้ามารดาตนเองก็ให้ทุกข์ระทมใจ ทว่ายังพูดปลอบใจนาง “ไม่เป็นไรหรอก ท่านแม่ ข้าไม่เหมาะสมกับแม่นางโจวจริงๆ นางไม่ตกลงก็ไม่ผิดจากที่พวกเราคาดเดาไว้ ท่านอย่าได้เสียใจเลย นับแต่วันนี้ไป ลูกจะไม่ไปหน้าประตูโรงงานอีก”
สะใภ้เมิ่งต้าจินได้ฟังเจ็บปวดหัวใจ เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา กล่าวตำหนิตนเอง “เพราะแม้แท้ๆ หากตอนนั้นไม่ให้เจ้าไปทำงานภัตตาคาร ให้เจ้าอยู่บ้านศึกษาความรู้กับท่านปู่เหมือนพี่ใหญ่เจ้าอีกสองสามปี บางทีสกุลโจวอาจจะยอมรับการแต่งงานนี้”
เมิ่งอี้รีบร้อนพูด “ท่านแม่ ข้าสมัครใจไปทำงานเอง ท่านอย่าได้ตำหนิตัวเองเลย”
สะใภ้เมิ่งต้าจินพูดรับประกันกับเขา “วางใจเถอะ อี้เอ๋อร์ แม่จะหาคู่แต่งงานที่ดีให้เจ้าให้ได้”
เมิ่งอี้ฝืนยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้พูดอะไร
สองผู้เฒ่าเมิ่งก็ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแล้ว ต่างหันหน้ามองกัน ถอนหายใจยาว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าความเกียจคร้านชั่ววูบของตัวเองจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดใหญ่โต ยังคงนั่งปรุงยาในบ้านอย่างสบายใจ
สองสะใภ้โจวและโจวอิ๋งไม่ได้ไปทำงานเหมือนที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด หญิงสาวที่หวังดีสอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เมิ่งชื่อบอกพวกนางไปตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอน
ชีวิตปกติของทุกคน ล้วนมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จึงไม่มีใครใส่ใจ
หลังจากครอบครัวท่านอาจารย์โจวหารือเรื่องการแต่งงานของโจวอิ๋งเสร็จ สะใภ้ใหญ่โจวไม่วางใจ พาตัวโจวอิ๋งเข้ามาในห้องตัวเอง ซักไซ้อย่างละเอียดว่านางยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้จริงๆ หรือไม่ หากไม่ยินดี ฉวยโอกาสที่ยังไม่ให้คำตอบบ้านเมิ่ง พูดออกมาก็ยังทัน
โจวอิ๋งเขินหน้าแดง พูดว่า “ท่านแม่ ข้าได้รับการสั่งสอนอย่างเข้มงวดจากท่านปู่และท่านพ่อมาแต่เยาว์ แทบจะประตูใหญ่มิได้ย่างกราย ประตูรองมิได้เหยียบย่าง เพื่อนสนิทรู้ใจก็มีไม่กี่คน นอกจากร่ำเรียนบัญญัติหญิง ก็เรียนงานบ้านงานเรือนกับท่าน เดิมข้านึกว่าชีวิตก็มีเพียงเท่านี้ แต่หลังจากที่มาอยู่ที่นี่ ข้าพบว่าที่แท้ยังมีชีวิตแบบนี้ ไม่ต้องปฏิบัติตัวเยี่ยงคุณหนู อยากหัวเราะก็หัวเราะ อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ มีอิสระไร้กฏเกณฑ์ ข้าชอบชีวิตเช่นนี้ ดังนั้น ท่านแม่ ข้ายอมรับการแต่งงานนี้ด้วยใจจริง”
“แต่เจ้าถูกโอ๋มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยทำไร่ไถนา ภายหน้าเจ้าแต่งงานออกไปจะมีแต่ชีวิตลำบาก” สะใภ้ใหญ่โจวกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มกังวล
โจวอิ๋งและเหวินเหลียนอยู่ที่นี่มานาน จึงเรียนรู้พฤติกรรมนั้นของนางมา เดินเข้าคล้องแขนสะใภ้ใหญ่โจว พูดออดอ้อน “ท่านแม่ แต่งงานกับคนบ้านนอกหาได้จักต้องทำไร่ไถนาไม่ ท่านไม่เห็นหรือว่าคนในโรงงาน ในแต่ละวันหาเงินได้ตั้งเท่าไร? ข้ามีฝีมือการเรือนดี ต่อให้ไม่ทำกระเป๋านักเรียน ปักฉากกั้นลมก็สามารถหาเงินได้ไม่น้อย ท่านอย่าได้เป็นกังวลแทนข้าอีกเลย”
สะใภ้ใหญ่โจวเห็นโจวอิ๋งคล้องแขนตนเอง ความรู้สึกปะดังปะเดเข้ามา บุตรสาวมิได้มีพฤติกรรมออดอ้อนเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย จึงยอมวางใจลง พูดว่า “เมื่อเจ้าชอบชีวิตเบาสบายมีอิสระเช่นนี้ แม่ก็จะไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่รองของแม่นางเมิ่งจะเป็นคนเยี่ยงไร”
โจวอิ๋งยิ่งให้หน้าแดงฝาด “ท่านแม่เคยพบเขาแล้ว ก็คือคุณชายคนที่จะมายืนหน้าประตูโรงงานหลังเวลาเลิกงานทุกวันอย่างไรเจ้าคะ”
สะใภ้ใหญ่โจวพยายามย้อนคิดทบทวน ในความทรงจำมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งลางๆ ทว่าไม่เคยพินิจมองให้ดี ตอนนี้เห็นบุตรสาวกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เกิดแสงสว่างวาบในสมอง ถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ “อย่าบอกว่าเขามาเพื่อมองเจ้าทุกวันนะ?”
โจวอิ๋งหน้าแดงจนคั้นเป็นหยดเลือดได้แล้ว
สะใภ้ใหญ่โจวร้องอุทาน “สวรรค์ อิ๋งเอ๋อร์ อย่าบอกว่าเจ้าพึงใจเขาแต่แรกแล้วหรอกนะ? พวกเจ้าไปมีปฏิสัมพันธ์กันตอนไหน?”
โจวอิ๋งถูกสะใภ้ใหญ่โจวถามเรื่องหัวใจ อายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ก้มหัวงุดพูดเสียงเบา “ท่านแม่ยังจำตอนเก็บเกี่ยวมันฝรั่งได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าเกือบล้มคว่ำ มีคุณชายคนหนึ่งเข้ามาประคองข้าไว้ ทำให้ข้าไม่ต้องอับอายต่อหน้าคนมากมาย ก็คือเขาเจ้าค่ะ”
สะใภ้ใหญ่โจวตกตะลึงครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “อิ๋งเอ๋อร์ เรื่องใหญ่เช่นนี้เจ้ากลับปิดบังแม่ จะให้แม่พูดอย่างไรดี”
โจวอิ๋งก้มหน้าพูดเสียงแผ่ว “แม้ข้าจะรู้สึกดีกับเขา แต่เรื่องศีลธรรมความถูกต้องข้าก็ยังเข้าใจดี หากไม่เพราะวันนี้แม่นางเมิ่งมาทาบทามสู่ขอ ข้าไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกมาเด็ดขาด”
บุตรสาวมีความรู้สึกดีต่อเมิ่งอี้ สะใภ้ใหญ่โจวก็ให้วางใจอย่างสิ้นเชิง ยามเที่ยงก็ได้บอกเรื่องนี้กับโจวเสี้ยว
เดิมโจวเสี้ยวยังรู้สึกผิดต่อบุตรสาวบ้าง พอได้ยินสะใภ้ใหญ่โจวพูดเช่นนี้ รู้ว่าบุตรสาวก็พอใจเมิ่งอี้ ดีอกดีใจ เข้าไปหาท่านอาจารย์โจวหารือกำหนดการแต่งงานนี้โดยเร็วทันที
ท่านอาจารย์โจวพยักหน้าอนุญาต หลังจากสอนช่วงบ่ายเสร็จ ท่านอาจารย์ฝากให้เมิ่งอี้เซวียนไปบอกเมิ่งเชี่ยนโยว ให้นางเข้ามาหา
ตอนที่เมิ่งอี้เซวียนกลับมาถึงบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังรวบรวมเด็กๆ บ้านเหวินและเมิ่งเจี๋ยเมิ่งชิงมาบดยาให้นาง ทั้งให้สัญญากับพวกเขา “ต่อไปหลังจากพวกเจ้าเลิกเรียนกลับมา ให้มาช่วยข้าบดยา ข้าจะให้พวกเจ้าคนละสองอีแปะต่อวัน”
สำหรับพวกเด็กๆ แล้ว เงินสองอีแปะเป็นจำนวนที่สูงมาก เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะพูดจบ เด็กๆ ก็ไชโยโห่ร้อง มีเพียงซุนเหลียงไฉที่เบ้ปาก พูดด้วยใบหน้าดูแคลน “แค่สองอีแปะ หลอกใช้แรงงานเด็กชัดๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา พูดว่า “รีบกลับเข้าห้องไปทำการบ้าน หากปีหน้าสอบถงเซิงไม่ได้ ข้าจะให้ท่านอาจารย์เพิ่มการเรียนเจ้าเพิ่มอีกวันละหนึ่งชั่วยาม”
ซุนเหลียงไฉหน้าถอดสี ลนลานสะพายกระเป๋านักเรียนเข้าไปทำการบ้านในห้องทันที
เมิ่งอี้เซวียนเดินยิ้มมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ท่านอาจารย์บอกให้เจ้าไปหาเขาที่บ้าน มีเรื่องอยากจะหารือกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กำชับพวกเด็กๆ “พวกเจ้าห้ามนำยาที่บดแล้วมาวางปนกัน พอข้ากลับมาจะจ่ายค่าแรงให้พวกเจ้า”
เด็กๆ ขานรับเบิกบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้บอกกล่าวเมิ่งชื่อ ผลุนผลันเดินมาถึงบ้านท่านอาจารย์