ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 229-1 ดังระเบิด
พนักงานมอบจดหมายให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างนบนอบ “นายท่านของพวกเราบอกว่า หลังจากแม่นางอ่านจดหมายนี้แล้วให้เผาทิ้งทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาเปิดออกอ่านอย่างละเอียด นี่เป็นจดหมายที่ท่านปู่เหวินซื่อเขียนด้วยตัวเอง ในจดหมายเห็นด้วยกับการทำความร่วมมือรวมถึงส่วนแบ่ง ทั้งกำชับเป็นพิเศษว่า เมื่อมีการขายยารักษารอยแผลเป็นนี้ในเมืองหลวง จักต้องสร้างความโกลาหล ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีสายตามากเพียงใดคอยจ้องตะครุบสกุลเหวิน ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด มีเพียงเขารู้ เหวินซื่อรู้และเมิ่งเชี่ยนโยวรู้เท่านั้น เลี่ยงไม่ให้เกิดความยุ่งยากมาถึงครอบครัวสกุลเมิ่ง ทั้งบอกว่าตัวยาสมุนไพรที่สำคัญนั้น เขาให้คนปันมาจากร้านสาขาทุกแห่งแล้ว ไม่กี่วันก็จะมาถึง
เมิ่งเชี่ยนโยวอ่านจบ เผาจดหมายทิ้งต่อหน้าพนักงาน ให้เขากลับไปบอกเหวินซื่อว่า “ขอเพียงฝั่งพวกเจ้าไม่แพร่งพราย ทางข้าไม่มีทางมีปัญหาเด็ดขาด”
พนักงานน้อมรับคำ พลิกตัวขึ้นหลังม้า เร่งความเร็วจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าไปปรุงยาในบ้านต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ถึงวันหมั้นหมายของเมิ่งอี้แล้ว
ในหมู่บ้านนอกจากคนที่ทำงานในโรงงาน คนที่เหลือทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ต่างออกมายืนรอดูความคึกคักบนถนนแต่เนิ่นๆ
คนบ้านเมิ่งกลับไปรวมตัวกันที่บ้านเมิ่งจงจวี่ วุ่นวายจัดการงานหมั้นที่อีกประเดี๋ยวจะเกิดขึ้น
หัวหน้าสกุลของเมิ่งชื่อก็ถูกรับตัวมาอยู่ในบ้าน ร่วมดื่มชาเสวนากับเมิ่งจงจวี่อย่างเบิกบาน
สะใภ้เมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อซื้อของมาจำนวนไม่น้อย หญิงชราเมิ่งได้เห็นตำหนิพวกนางไปหนึ่งชุด แล้วแยกสิ่งของส่วนหนึ่งออกมา
ทั้งสองมองตาปริบๆ ไม่กล้าปริปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มคล้องแขนหญิงชราเมิ่งดึงนางเข้าไปในบ้านอย่างแนบเนียน แล้วส่งสายตาให้ทั้งสองคน
ทั้งสองคนแอบนำสิ่งของจำนวนหนึ่งใส่กลับเข้าไป
ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว หัวหน้าสกุลเมิ่งชื่อและสองผู้เฒ่าเมิ่งนั่งบนรถม้านำขบวน ด้านหลังเป็นเด็กหนุ่มกำยำแบกของหมั้นเดินตามหลังมา สุดท้ายเป็นเมิ่งต้าจินและภรรยา เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยา เมิ่งซานถงและภรรยารวมถึงเมิ่งอี้ที่แต่งกายด้วยชุดใหม่สดชื่นสุขสันต์
คนทั้งหมดยกขบวนเดินทาง วนรอบหมู่บ้านหนึ่งรอบ สุดท้ายมาหยุดหน้าประตูบ้านท่านอาจารย์โจว
ท่านอาจารย์โจวพาคนทั้งครอบครัวมารอหน้าประตูนานแล้ว
หัวหน้าสกุลอาวุโสลงจากรถม้า ท่านอาจารย์โจวก็เดินขึ้นหน้า น้อมทำความเคารพต่อหน้าชาวบ้าน แสดงกิริยาผู้น้อยที่มีต่อผู้ใหญ่ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
แม้หัวหน้าสกุลอาวุโสจะไม่ทราบว่าเขาเคยเป็นพระอาจารย์ แต่ก็คาดเดาได้ว่าเขามีประวัติไม่ธรรมดา เห็นเขาแสดงความเคารพตนเองชุดใหญ่ ให้รู้สึกตกใจที่ได้รับความรักใคร่ เดินสั่นไหวเข้าไปประคองเขา
เมิ่งจงจวี่ก็แสดงความเคารพท่านอาจารย์โจว
ท่านอาจารย์โจวยิ้มพูดว่า “ต่อไปพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน ซิ่วไฉเมิ่งมิต้องมากพิธีแล้ว”
คนทั้งหมดกล่าวทักทายครู่หนึ่ง วางของหมั้นหมายไว้ด้านนอก ให้บ่าวคอยเฝ้าดู คนที่เหลือถูกเชิญเข้าไปในเรือนพำนัก
ชายบ้านสกุลเมิ่งและชายบ้านสกุลโจวอยู่ด้วยกันห้องหนึ่ง หญิงสาวอยู่อีกห้องหนึ่ง ต่างพูดคุยด้วยวาจาเป็นสิริมงคล คนในสกุลเมิ่งชื่อที่ได้รับเชิญให้มาร่วมขบวนพิธีถูกจัดให้นั่งดื่มน้ำชาบนโต๊ะเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ในลานกว้าง
เมิ่งอี้ถูกเรียกเข้าไปในห้องรวมของฝ่ายชาย กล่าวรับรองว่าชีวิตนี้จะมีโจวอิ๋งเป็นภรรยาเป็นผู้เดียวต่อหน้าหัวหน้าสกุลอาวุโสและทุกคนในครอบครัว
สามพ่อลูกโจวเพิ่งจะได้พินิจพิจมองเมิ่งอี้อย่างละเอียดเป็นครั้งแรก เห็นเขาใบหน้าคมคาย ใสซื่อไร้พิษภัย นับว่าเป็นคนที่สามารถฝากชีวิตไว้ได้ พยักหน้าพึงพอใจ
หัวใจที่กลัดกลุ้มกังวลสองดวงของเมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินในที่สุดก็ปล่อยวางได้แล้ว
ทางฝ่ายผู้หญิงก็ไม่แพ้กัน สะใภ้ใหญ่โจวที่เป็นว่าที่แม่ยายมองว่าที่เขยขวัญยิ่งพิจก็ยิ่งชอบใจ
โจวอิ๋งถูกเรียกออกมา ทำความคำนับสะใภ้สกุลเมิ่งทั้งสามคน สะใภ้เมิ่งต้าจินเข้าไปจับมือนาง เอ่ยปากชมเปาะ อยากจะตบแต่งนางกลับบ้านเสียตอนนี้เลย ทั้งเอ่ยปากรับรองกับสะใภ้ใหญ่โจว ตนเองไม่มีบุตรสาว หลังจากโจวอิ๋งแต่งเข้ามาจะปฏิบัติต่อนางเหมือนบุตรสาวแท้ๆ
สะใภ้ใหญ่โจวดีใจยิ้มจนปากหุบไม่ลง บอกเป็นนัยว่าบุตรสาวตนเองถูกโอ๋เอาใจมาแต่เยาว์ คงจะทำไร่ไถนาไม่ได้
สะใภ้เมิ่งต้าจินกล่าวว่า “ผิวขาวผุดบอบบางเช่นนี้ อย่าว่าแต่งานในไร่เลย ต่อให้ทำงานในไร่ได้ ข้าก็ทำใจให้นางไปทำไม่ได้” เป็นการรับรองโดยอ้อมว่าจะไม่ให้โจวอิ๋งไปทำงานในแปลงดิน
สะใภ้ใหญ่โจวให้โล่งใจ ยิ่งทวีความยินดี
เมิ่งอี้ที่ยืนอยู่อีกด้านดวงตาเอาแต่จับจ้องโจวอิ๋ง
โจวอิ๋งถูกสายตาเร่าร้อนของเขามองจนอายม้วนไม่กล้าเงยหน้า
เมิ่งชื่อเห็นดังนั้น ยิ้มพูดเป็นนัย “ประเพณีชนบท ยามที่ชายหญิงหมั้นหมายสามารถพูดคุยกันตามลำพังได้”
สะใภ้ใหญ่โจวเข้าใจทันที ยิ้มบอกโจวอิ๋งให้พาเมิ่งอี้ไปดื่มน้ำชาอีกห้องหนึ่ง
โจวอิ๋งเขินอายแดงไปถึงลำคอ ซอยเท้านำไปอีกห้องหนึ่ง เมิ่งอี้ก็เดินตามเข้าไป
ทุกคนเสวนากันอีกครึ่งชั่วยาม ของหมั้นหมายด้านนอกก็วางอวดเพียงพอแล้ว หัวหน้าสกุลอาวุโสลุกขึ้นกล่าวอำลาก่อน พาคนในสกุลเมิ่งชื่อเดินเป็นขบวนออกมาจากบ้านท่านอาจารย์โจว
คนมุงดูด้านนอกมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้หวังดีจากหมู่บ้านใกล้เคียงก็เข้ามาดูความครึกครื้น
กลุ่มคนต่างกระซิบกระซาบชี้มือชี้ไม้ไปที่ของหมั้น ส่งเสียงอึกทึกคึกคัก
ท่านอาจารย์โจวเห็นเช่นนั้น จึงให้วางของหมั้นทิ้งไว้ด้านนอก กำชับบ่าวให้รอจนคนที่มาดูความคึกคักแยกย้ายไปถึงเก็บเข้าเรือน
ไม่นานข่าวขบวนหมั้นหมายก็แพร่ไปทั่วทั้งตำบลชิงซี เดินไปที่ไหนมีแต่คนพูดถึงอย่างออกรสออกชาติ แม้แต่เหวินซื่อยังได้ยินข่าวนี้ พูดกับหมอชราด้วยใบหน้าตื่นตะลึง “สกุลเมิ่งโชคดีเกินไปแล้วกระมัง พวกเขาได้แต่สิ่งดีไปเสียหมด ในเมืองหลวง หลานสาวพระอาจารย์เป็นที่หมายปองแย่งชิงของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ไม่รู้เท่าใด ไม่คิดว่าครอบครัวพวกเขาจะหยิบชิ้นปลามันไปครอง”
หมอชราหัวเราะไม่พูดอะไร
การหมั้นหมายอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกจบสิ้น ทุกคนกลับสู่สภาพเดิม สิ่งเดียวที่แตกต่างไปคือ เมิ่งอี้ไม่ต้องไปแอบลอบมองโจวอิ๋งหน้าโรงงานอีก
โรงงานเส้นแป้งมันฝรั่งเข้ารูปเข้ารอยแล้ว ผลิตเส้นแป้งมันฝรั่งทั้งชนิดแห้งและเปียกออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนงานขนส่งมันฝรั่งแจ้งข่าวแก่เถ้าแก่หวัง บอกว่าตนเองผลิตของกินชนิดใหม่ออกมาแล้ว ให้เขาเข้ามาลองดู
จากนั้นหยิบเส้นแป้งมันฝรั่งสดใหม่ไปเรือนหลังใหม่ ลงมือต้มก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งรสชาติต่างๆให้พวกเขา บอกพวกเขาว่า ตนเองจะเปิดร้านอาหารในเมือง อยากให้เมิ่งอี้เป็นคนดูแล
เมิ่งต้าจินและภรรยาได้ฟังดีใจลิงโลด เมิ่งอี้ก็รับปากทันที
พูดปุ๊ปทำปั๊ป เช้าวันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวบังคับรถม้าพาตนเองและเมิ่งอี้เข้าไปหาร้านที่เหมาะสมในเมือง
เมื่อจะเปิดร้านขายอาหาร ก็ต้องเลือกที่มีทำเลดี ผู้คนพลุกพล่าน ทั้งสองนั่งบนรถม้าวนรอบเมืองมาครึ่งวันแล้วก็ยังหาที่เหมาะสมไม่ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียว “ไปเหลาจวี้เสียน เราไปถามหลงจู๊ว่าพอจะรู้จักสถานที่ดีๆ บ้างหรือไม่”
เหวินเปียวพยักหน้า บังคับรถม้ามาจอดหน้าเหลาจวี้เสียน
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้ลงจากรถม้า
เสี่ยวเอ้อร์ต้อนรับลูกค้าหน้าประตูเห็นเป็นนาง รีบเข้ามาต้อนรับ กล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “รบกวนเจ้าไปเรียกหลงจู๊ให้หน่อยเถิด บอกว่าข้ามีธุระอยากพบเขา”
เสี่ยวเอ้อร์รับคำ รีบวิ่งเข้าไป
ไม่นานหลงจู๊ก็เดินฉับๆ ออกมา พูดอย่างเบิกบาน “แม่นางเมิ่งมาแล้ว มีเรื่องอะไรไปคุยกันที่ห้องรับรองชั้นบนเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าเพียงมีเรื่องเล็กน้อยอยากขอให้หลงจู๊ช่วย ไม่ต้องขึ้นไปแล้ว”
“แม่นางเชิญพูด ขอเพียงข้าทำได้จะไม่ปฏิเสธเลย” หลงจู๊รีบร้อนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ข้าคิดจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ อยากถามหลงจู๊ว่าพอจะทราบว่าที่ไหนมีร้านดีๆ หรือไม่?”
หลงจู๊ได้ฟังนิ่งผงะ หยั่งเชิงถาม “ไม่ทราบว่าแม่นางจะเปิดร้านอาหารเช่นไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้านำมันฝรั่งมาทำเป็นก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง คิดจะเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งรสชาติต่างๆ โดยเฉพาะ ไม่กระทบต่อภัตตาคารของท่านหรอก หลงจู๊มิต้องเป็นกังวล”
หลงจู๊ถูกพูดแทงใจดำ ใบหน้าชราแดงเรื่อ หัวเราะร่วนแล้วพูดตามตรง “ที่ภัตตาคารของข้าโด่งดังเช่นนี้ ด้วยอาศัยสูตรอาหารจากแม่นางทั้งนั้น หากแม่นางจะเปิดภัตตาคาร ได้บีบให้เหลาจวี้เสียนสาขานี้เจ๊งไม่เป็นท่าเป็นแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “หลงจู๊พูดหยอกล้อเล่นแล้ว เมื่อข้าขายสูตรอาหารให้ท่านแล้ว จึงไม่มีทางนำมาใช้เองอีก อีกอย่าง ข้าก็มิได้คิดจะเปิดภัตตาคาร ข้าไม่มีความสามารถและกำลังคนเช่นนั้น ข้าเพียงคิดจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ ขนาดไม่ต้องใหญ่มาก เทียบเท่าครึ่งหนึ่งของห้องโถงชั้นล่างของภัตตาคารท่านก็พอ”
ได้รับการรับรองจากเมิ่งเชี่ยนโยว หลงจู๊ก็วางใจลง พูดว่า “ก่อนที่พวกเราจะซื้อภัตตาคารนี้ ยังได้ซื้อสถานที่เล็กกว่าที่นี่ของฝั่งตรงข้ามไว้ เพิ่งจะซื้อเสร็จ เถ้าแก่ของภัตตาคารแห่งนี้จะพาทั้งครอบครัวไปเมืองหลวงพอดี จึงต้องการขายภัตตาคารนี้ นายใหญ่ของพวกเราจึงซื้อเอาไว้ ปล่อยสถานที่เดิมทิ้งว่างไว้ หากแม่นางไม่รังเกียจ ลองตามข้าไปดูได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจยิ่งนัก กล่าวขอบคุณเป็นพรวน “เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ ข้าและพี่เมิ่งอี้วนหาในเมืองมาครึ่งวันแล้ว ก็ยังหาที่ดีๆ สักที่ไม่ได้”
หลงจู๊ยิ้มพูด “สถานที่นี้พวกเราซื้อไว้สิบกว่าปีแล้ว ปกติเอาไว้เก็บของที่ไม่จำเป็นใช้ มีคนไม่น้อยมาติดต่อขอเช่าสถานที่ นายท่านก็มิได้ตอบตกลง วันนี้ข้าขอตัดสินใจเอง หากเจ้าชอบจะปล่อยให้เจ้าเช่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
หลงจู๊ให้นางรอสักครู่ หันหลังกลับเข้าไปเอากุญแจที่เหลาจวี้เสียนออกมา พูดว่า “แม่นางเชิญตามข้ามาเถอะ”
พูดจบพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปยังร้านฝั่งตรงข้าม
เมิ่งเชี่ยนโยวมาที่นี่หลายครั้ง ไม่เคยสังเกตเลยว่าฝั่งตรงข้ามมีร้านปล่อยว่างอยู่
หลงจู๊เปิดประตูออก สภาพภายในกลับมิได้รกระเกะระกะเหมือนที่เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเอาไว้ แต่ข้าวของทั้งหมดกลับวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ
หลงจู๊พาคนทั้งสองเดินวนโดยรอบ แล้วพูดว่า “แม่นางคิดว่าห้องนี้พอใช้ได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “นอกจากว่าจะใหญ่ไปบ้าง ส่วนอื่นๆ ล้วนเหมาะสมดี”
หลงจู๊ยิ้มพูด “แม่นางกำลังเป็นห่วงเรื่องค่าเช่ากระมัง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่หลบเลี่ยง ยิ้มพูด “พวกเราทำการค้าขนาดเล็ก ก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งชามละไม่กี่ร้อยอีแปะ สถานที่นี้มีทำเลดี ทั้งพื้นที่กว้างขวาง เกรงว่ารายรับของพวกเราต่อวันจะไม่พอเป็นค่าเช่าให้ท่าน”
หลงจู๊กล่าวอย่างเบิกบาน “ยังไม่ต้องพูดเรื่องค่าเช่า ให้พวกเจ้าใช้ไปก่อน เมื่อการค้าของพวกเจ้าโด่งดังแล้ว ค่อยมาเจรจากัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ได้ การค้าส่วนการค้า น้ำใจส่วนน้ำใจ เราจะเอามาปนกันไม่ได้ หากท่านไม่เก็บค่าเช่า ข้าคงไม่เช่าห้องนี้แล้ว”
หลงจู๊หมายจะเกลี้ยกล่อมนาง “ร้านนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างมาสิบกว่าปี หาได้มีรายรับใดเข้ามาไม่ หากไม่เพราะแม่นางต้องการใช้ เกรงว่าร้านนี้คงถูกปล่อยทิ้งร้างต่อไป ไยต้องพูดเรื่องค่าเช่า แม่นางวางใจใช้ตามสบายเถอะ ข้ายังพูดคำเดิม รอให้การค้าของแม่นางเข้าที่แล้ว พวกเราค่อยมาคุยเรื่องค่าเช่ากัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังยืนกรานปฏิเสธ “พวกเราตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนเถอะ ข้าจะได้รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
คบหากันมาสักพักใหญ่แล้ว อย่างไรหลงจู๊ก็พอจะเข้าใจนิสัยของนางบ้าง เห็นนางดื้อดึงไม่ยอม รู้ว่าหากตนเองไม่ยอมรับเงินค่าเช่า นางคงไม่ยอมเช่าร้านแห่งนี้ จึงยิ้มพูดว่า “เมื่อแม่นางอยากให้ เช่นนั้นข้าจะไม่บ่ายเบี่ยงแล้ว หนึ่งปีสองร้อยตำลึงเจ้าพอไหวหรือไม่?”
ร้านค้าดีเช่นนี้ หนึ่งปีเพียงร้อยสองตำลึง ไม่ต่างอะไรกับให้เปล่า เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกลับทันควัน “ไหวเป็นอย่างยิ่ง หลงจู๊แน่ใจว่านี่เป็นค่าเช่ารายปี มิใช่รายเดือน?”
หลงจู๊หัวเราะเสียงลั่น พูดว่า “ข้าขอรับประกันกับแม่นาง นี่คือราคาค่าเช่ารายปี”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าตัวเองได้เปรียบ หลงจู๊ต้องการให้ตัวเองเช่าเปล่า ทว่าตอนนี้เป็นช่วงต้นของการบุกเบิกกิจการ ยังไม่รู้ว่าเปิดร้านแล้วจะเป็นอย่างไร จึงยิ้มพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอแบกหน้าหนาเช่าไปก่อน เมื่อการค้าข้าเจริญรุ่งเรือง ไม่ต้องให้ท่านพูด ข้าจะเพิ่มค่าเช่าให้ท่านไม่น้อยกว่าคนอื่นเลย”
หลงจู๊พูดหยอกเย้า “เช่นนั้นก็ว่าตามนี้ ถึงตอนนั้นหากเจ้าไม่ให้ ข้าจะพาเสี่ยวเอ้อร์จากเหลาจวี้เสียนรวมกันมาทวงหนี้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะครืน
หลังจากหัวเราะ หลงจู๊พูดว่า “แม่นางดูเถิด ของพวกนี้พอใช้การได้หรือไม่ หากใช้ได้ก็เก็บเอาไว้ หากใช้ไม่ได้ หลังเลิกงานช่วงบ่าย ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์มายกออกไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วช่วยกันตรวจดูอย่างละเอียดพร้อมเมิ่งอี้ เลือกเก็บโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกเหลาจวี้เสียนคัดออกจำนวนหนึ่ง