ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 231-1 เคืองโกรธเหวินซื่อ
“เรื่องอะไร?” เหวินซื่อย้อนถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง รอพวกท่านกินเสร็จแล้วข้าค่อยถาม” พนักงานนำตะเกียบเข้ามา เหวินซื่อจึงไม่เค้นถามอีก นั่งกินพร้อมกับหมอชรา กินไปร้องซี้ดซ้าดไป พูดชมไป “อร่อยนัก! อร่อยนัก!”
หมอชราก็เห็นพ้องกินไปพยักหน้าไปพลาง
“ร้านยาเต๋อเหรินอยู่ไม่ห่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งนัก หากพวกท่านชอบกินก็แวะไปกินได้ หากไม่อยากเข้าไปให้พนักงานไปซื้อก็ได้ มีไหบรรจุให้ ซื้อกลับมาก็ยังร้อนกรุ่นอยู่ ข้ากลับไปจะสั่งกำชับพวกเขา ไม่เก็บเงินพวกท่าน” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
เหวินซื่อกลืนก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งลงคอ พูดอย่างประหลาดใจ “เหตุใดวันนี้เจ้าถึงพูดง่ายเช่นนี้ หรือเจ้ามีจุดประสงค์ใด” พูดจบก็คีบกินอีกคำใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน เหวินซื่อตกใจกอดไหไว้ในอกพลัน ในปากยังมีก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งที่ยังไม่ได้กลืนเต็มปาก พูดอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง “ข้าล้อเจ้าเล่นหรอก ต่อให้เจ้ามีเป้าประสงค์ข้าก็จะกินให้หมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงไปตามเดิม “ทำดีไม่ได้ดี ข้าเพิ่งจะเสร็จงาน ยังไม่ทันได้กิน ก็รีบเอามาให้เจ้าก่อน”
เหวินซื่อด้านหนึ่งวุ่นวายกับการกิน ด้านหนึ่งพยักหน้าซาบซึ้งใจ “ข้ารู้ๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งโมโหทั้งขบขัน นั่งนิ่งเงียบไม่สนใจเขาอีก
เหวินซื่อกินจนเหงื่อท่วมตัว หากไม่เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้วย คาดว่าคงคลายกระดุมชุดคลุมยาวออก ตากลมเย็นให้สบายอารมณ์
หมอชราเห็นดังนั้น รีบลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งมายื่นให้เขา
เหวินซื่อรับมา ด้านหนึ่งถูไถเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและลำคอ ด้านหนึ่งพูดว่า “สำราญใจนัก กินเสร็จแล้วให้รู้สึกโล่งสบายตัวไม่น้อย”
ของหมอชราเป็นรสน้ำใส ย่อมไม่มีเหงื่อออกมากเช่นเขา ทว่าหลังจากกินเสร็จก็ให้รู้สึกตัวร้อนวูบวาบ ยิ้มพูดเห็นพ้อง “ก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งนี้เป็นอาหารที่แปลกแหวกแนวนัก หากได้กินสักชามในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ คิดว่าจักต้องยิ่งให้สบายตัว”
ถูกทั้งสองกล่าวชม เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกกระหยิ่มใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งนี้ข้าต้องลงแรงคิดค้นเป็นนานถึงจะคิดออกมาได้ จะธรรมดาได้อย่างไร”
เหวินซื่อร้องจิ๊ๆ สองครั้ง “ชมเข้าหน่อยทำเหลิงเชียว พูดมาเถอะ มีเรื่องอันใดจะถามข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองหมอชราแวบหนึ่ง
หมอชราเข้าใจพลัน หยิบไหสองใบขึ้น พูดว่า “ข้าจะนำไปล้างให้สะอาด ประเดี๋ยวแม่นางเมิ่งจะได้สะดวกนำกลับไป”
เหวินซื่อพยักหน้า
หมอชราหยิบตะเกียบลงไปล้างชั้นล่างพร้อมกัน
เหวินซื่อหยิบผ้าขนหนูเช็ดเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาไม่หยุด กลับไปนั่งที่โต๊ะบัญชีของตนเอง ถามขึ้นลอยๆ “เหล่าอวี๋ไม่ใช่คนนอก เรื่องที่ข้ารู้เขารู้แทบทั้งหมด เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา ถามตามตรง “เหตุใดแม่ทัพฉู่ต้องมาตำบลชิงซีทุกปี?”
เหวินซื่อหยุดชะงักในท่าเช็ดเหงื่อ เงยหน้ามองนางอย่างตกตะลึง “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงคิดจะถามเรื่องนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด รอคำตอบจากเขา
เหวินซื่อเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ข้าบอกรายละเอียดกับเจ้าไม่ได้ ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า เขามาเพื่อตามหาคน”
“ตามหาใคร?” เกี่ยวข้องอะไรกับเขา?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
เหวินซื่อส่ายหน้า “ข้าบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ อย่างอื่นข้าพูดไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ให้เขาลำบากใจ พูดว่า “ข้าจะเปลี่ยนคำถาม คนที่เขาตามหาอายุเท่าใด เหตุใดเขาถึงต้องออกตามหา?”
เหวินซื่อยังคงส่ายหน้า “ก่อนที่ท่านพี่ฉู่จะหาคนผู้นั้นพบ ข้าจะไม่บอกอะไรเจ้าทั้งนั้น หากเจ้าอยากรู้ ก็เขียนจดหมายถามท่านพี่ฉู่เองเถอะ หากเขาบอกให้ข้าบอกเจ้า ข้าค่อยบอกเจ้าอย่างละเอียด”
“เช่นนั้นที่เจ้าอยู่ตำบลหลายปีมานี้ ก็เพื่อช่วยเขาตามหาคนผู้นั้นใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเรื่องถามเขา
เหวินซื่อพยักหน้า “ข้าและท่านพี่ฉู่มีมิตรภาพยาวนานแน่นแฟ้น เรื่องของเขาข้าย่อมต้องช่วยเหลือ พอดีว่าที่ตำบลชิงซีมีสาขาร้านยาเต๋อเหริน ข้าจึงมาที่นี่”
“แปลว่าในตอนนั้นเจ้าตั้งใจทำความผิด เพื่อให้ท่านปู่ลงโทษส่งตัวเจ้ามาที่ตำบลชิงซี เจ้าจะได้สะดวกตามหาคน?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อพยักหน้ารับ “ถูกต้อง ข้ามีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “เช่นนั้นหลายปีมานี้เจ้าพบเบาะแสหรือไม่?”
เหวินซื่อส่ายหน้า “ไม่เลย ข้าส่งพรรคพวกจำนวนมากตามสืบอย่างลับๆ แทบจะเรียกได้ว่าพลิกตำบลชิงซีตามหา แต่ก็ยังหาคนผู้นั้นไม่พบ ไม่เพียงข้า แม้แต่…” กล่าวถึงตรงนี้ พลันหยุดชะงัก ไม่พูดอะไรต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าสิ่งที่เขาไม่พูดต่อให้ถามก็ไม่มีทางได้คำตอบ จึงไม่เจาะลึกถามความต่ออีก แต่ถามอีกคำถามหนึ่งแทน “ป้ายหยกที่เขามอบให้ข้าในตอนนั้น บอกว่าเป็นป้ายหยกคู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ป้ายหยกคู่นั้นเหมือนกันทุกประการ หรือมีความแตกต่างกัน”
เหวินซื่อยังคงส่ายหน้า “ข้าไม่เคยถามท่านพี่ฉู่ แต่ข้าเคยได้ยินท่านพี่ฉู่พูดว่า ป้ายหยกทั้งสองชิ้นนั้นแทบจะเหมือนกันทุกประการ ชิ้นหนึ่งอยู่กับเขา อีกชิ้นอยู่ที่ตัวคนผู้นั้น”
“ป้ายหยกสองชิ้นนั้นนอกจากจะนำไปขึ้นเงินก้อนโตที่สำนักการเงินที่ใดก็ได้ ยังใช้ประโยชน์ใดได้อีก?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อยังคงส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าไม่เคยถามมาก่อน ท่านพี่ฉู่เองก็ไม่เคยพูด”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าแน่ใจ”
เหวินซื่อผงกศีรษะ “แน่ใจ แม้ข้าและท่านพี่ฉู่จะสนิทสนมกัน แต่เรื่องที่ข้าสมควรรู้ เขาจะบอกข้าเอง เรื่องที่ข้าไม่สมควรรู้แม้สักคำเดียวเขาก็จะไม่พูดกับข้า บอกว่าข้ายิ่งรู้มาก มีแต่จะนำภัยถึงแก่ชีวิตมาสู่ตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยืดตัวตรง พูดว่า “ข้าจะถามเจ้าเป็นคำถามสุดท้าย เจ้าต้องตอบข้ามาตามความจริง”
เหวินซื่อไม่รับคำ กลับถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงสนใจท่านพี่ฉู่และป้ายหยกมากเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ถามขึ้นต่อว่า “ท่านแม่ทัพฉู่และท่านอ๋องฉีมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน?”
เหวินซื่อก็ไม่โง่ ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวถามคำถามต่อเนื่องมากมาย เริ่มรับรู้อะไรได้ลางๆ ลุกขึ้นยืนด้วยความกังขา เดินมาเบื้องหน้านาง ลูบคางตัวเองถามนาง “เจ้าบอกข้ามาก่อน เหตุใดวันนี้เจ้าถึงต้องสืบถามเรื่องราวมากมายเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำตัวตามสบาย เอนหลังพิงพนักอย่างผ่อนคลายอารมณ์ พูดโป้ปด “เมื่อวานตอนข้าควานหาของ เห็นป้ายหยกเข้า จู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องเกี่ยวกับป้ายหยกที่ท่านแม่ทัพฉู่พูดกับข้า เกิดความสนใจใคร่รู้ วันนี้จึงใช้โอกาสถามความตอนที่นำก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งมาส่งให้”
เหวินซื่อยังคงคลางแคลงใจ ยืนขบคิดเบื้องหน้านางพักใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยให้เขาพินิจมองอย่างไม่สะทกสะท้าน
เหวินซื่อไม่เห็นความปกติใดๆ ของเมิ่งเชี่ยนโยว ถึงลอบโล่งใจ พูดว่า “ท่านพี่ฉู่มอบป้ายหยกให้เจ้า เจ้าจงเก็บไว้ให้ดี หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ห้ามนำออกมาเด็ดขาด ส่วนเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไม่ต้องถามความให้มากแล้ว เลี่ยงไม่ให้นำภัยมาสู่ตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าน้อมรับคำสอน “ข้าทราบแล้ว เจ้าเพียงบอกข้ามาว่าท่านแม่ทัพฉู่และท่านอ๋องฉีมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน เรื่องอื่นข้าจะไม่ถามอีก”
เหวินซื่อยื่นมือออกไปเคาะกะโหลกศีรษะนาง “สาวน้อย บอกว่าไม่ต้องถามแล้ว เจ้ายังจะถาม เหตุใดเจ้าถึงอยากรู้มากเช่นนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เอาความ พูดว่า “ความสัมพันธ์ของพวกเขาซับซ้อนมากหรือ? เจ้าถึงพูดไม่ได้?”
เหวินซื่อเดินกลับมานั่งโต๊ะคิดบัญชีของตัวเอง พูดว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ซับซ้อน แต่เจ้ารู้ไปก็เปล่าประโยชน์”
เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจนอยากจะเข้าไปถีบเหวินซื่อสักทีสองที เรื่องเพียงเท่านี้กลับพูดจาวกวนไม่ยอมบอกนาง หากไม่เพราะเรื่องเกี่ยวพันถึงเมิ่งอี้เซวียน นางคงบีบเค้นให้เหวินซื่อพูดออกมาแล้ว
เหวินซื่อเห็นนางไม่พูดไม่จา พูดอย่างหวังดีต่อนาง “ข้าไม่บอกเจ้า ก็เพราะหวังดีต่อเจ้า วันไหนที่พวกเราเจอคนผู้นั้นแล้ว ก็จะไปจากตำบลชิงซี ไม่กลับมาอีก หากเจ้ารู้มากไป จะไม่เป็นผลดีต่อเจ้าเลย”
ถามมาครึ่งวัน คำตอบที่อยากรู้กลับถามไม่ได้สักข้อ เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มเคืองขุ่น ลุกขึ้นยืน พูดฟึดฟัดเหมือนเด็ก “พวกเจ้าไม่มีวันหาคนผู้นั้นเจอ”
“ชูว์” เหวินซื่อแตะนิ้วชี้ประกบริมฝีปาก พูดว่า “วาจานี้เจ้าพูดต่อหน้าข้าไม่เป็นไร อย่าได้พูดต่อหน้าท่านพี่ฉู่เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เขาจักต้องบันดาลโทสะอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น” พูดจบ ก็ให้หวาดผวาตัวสั่นเทิ้ม “เจ้าไม่เคยเห็น เวลาเขาบันดาลโทสะน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กรอกตาขาวใส่เขา พูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าไม่บอกข้า สักวันเจ้าจะต้องเสียใจ” พูดจบ หันหลังลงไปชั้นล่าง ทั้งยังระบายอารมณ์ กระแทกกระทั้นบันไดเสียงดังปึงปัง
เป็นครั้งแรกที่เหวินซื่อเห็นนางมีอารมณ์เหมือนเด็ก ให้รู้สึกประหลาดใจ รีบเดินตามติดไป เกาะบันไดเจตนาแหย่เย้านาง “หากเจ้าเหยียบบันไดข้าพัง เจ้าต้องชดใช้ให้ข้าด้วยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังขวับ ถลึงตาพูดอย่างฉุนเฉียว “เหยียบพังเลยก็ดี เจ้าจะได้หกล้มตาย”
เหวินซื่อผงะเล็กน้อย แล้วหัวเราะครื้นเครง
หมอชราเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวโกรธเกรี้ยวมีอารมณ์ กำลังจะเข้าไปซักถาม เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหยิบไหสองใบบนโต๊ะ ไม่แม้แต่จะบอกลา ก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
หมอชราแหงนหน้ามองเหวินซื่อด้วยความงุนงง
เหวินซื่อกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอีกครั้ง