ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 231-3 เคืองโกรธเหวินซื่อ
เหลือแต่เพียงการรับสมัครคนงานแล้ว คนในหมู่บ้านหลี่ว่างงานช่วงฤดูหนาว จึงไปวิงวอนให้จางจู้มาพูดขอร้อง เมิ่งเชี่ยนโยวรับปากทันควัน ทั้งบอกจางจู้ว่า ยังคงมีอาหารเที่ยงให้หนึ่งมื้อ แต่ต้องหักเงินคนละหนึ่งอีแปะ
ได้กินผัดผักรวมใส่หมูทุกวัน หักเพียงแค่หนึ่งอีแปะ มีแต่ได้กับได้ คนในหมู่บ้านหลี่ไฉนเลยจะไม่ยินยอม ต่างต้องการจะมาทำงานด้วย
เพิ่งจะเลือกคนงานจากหมู่บ้านหลี่เสร็จ ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านข้างเคียงต่างเข้ามาหาเมิ่งต้าจินพร้อมกัน ไต่ถามว่าคนในหมู่บ้านตนเองขอเข้ามาทำงานด้วยได้หรือไม่
เมิ่งต้าจินเริ่มลำบากใจ พูดบ่ายเบี่ยงว่าตนเองต้องไปถามเมิ่งเชี่ยนโยวก่อน
เหล่าผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ไปไหน บอกให้เขาไปถาม พวกเขารอได้
เมิ่งต้าจินไม่มีทางเลือก จำต้องไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดเล็กน้อย บอกเขาว่า “ให้รับสมัครหมู่บ้านละสามสิบคนก่อน หากคนงานไม่พอ ค่อยไปรับสมัครจากหมู่บ้านพวกเขาเพิ่ม”
แม้สามสิบคนจะเป็นปริมาณน้อยไปบ้าง ทว่าหนทางอีกยาวไกล บรรดาผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ผิดหวังอะไร กลับไปรับสมัครคนอย่างเบิกบาน
กำหนดเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เลือกวันดี เปิดโรงงานกุนเชียงอย่างเป็นทางการ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนส่งข่าวบอกเซี่ยเจียงเฟิง วันถัดมาเซี่ยเจียงเฟิงก็เข้ามา พอเห็นว่าจะเปิดโรงงานรวดเดียวสี่โรง ก็ให้ดีใจลิงโลด พูดโพล่งว่าปีนี้ตนเองจะมีกำไรก้อนโตอีกแล้ว ทั้งขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง กุนเชียงที่ผลิตออกมาจะต้องขายให้ตนเองทั้งหมด
ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องตลาดการค้า เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมยินดีตบปากรับคำ
ฤดูหนาวพืชผักสดน้อย ไม่เพียงมันฝรั่งกลายเป็นสินค้าขายดี แม้แต่เส้นแป้งมันฝรั่งก็ขายออกรวดเร็ว ทุกครั้งที่เถ้าแก่หวังเข้ามาขนมันฝรั่งจะต้องมีความสุขยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งก็ดังจนฉุดไม่อยู่ ทุกวันที่เปิดประตู จะมีคนมายืนรอกินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งหน้าประตู กระทั่งลูกค้าจากตำบลใกล้เคียงห่างออกไปหลายสิบลี้ก็ยอมเดินทางมาเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งหนึ่งชาม
ลูกค้าในตำบลต่างร้องขอให้พวกเขาเปิดร้านตอนค่ำด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับปาก ตำบลอยู่ไกลจากบ้านมาก หากปิดร้านตอนกลางคืนกว่าจะกลับถึงบ้านก็คงค่อนคืนแล้ว เส้นทางไม่ปลอดภัยไม่ว่า แต่คนในร้านก็จะเหนื่อยล้ามาก และเพราะสาเหตุนี้ คนที่มากินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งตอนเที่ยงถึงมีจำนวนมากโข พวกเมิ่งอี้ทำไม่ทัน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงให้บุตรชายสองคนของจางจู้และหลานชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่เข้ามาทำงานด้วย
เด็กแรกรุ่นทั้งสามคนต่างดีอกดีใจ ทุกเช้าจะเข้ามาพร้อมกันแต่เช้าตรู่ หลังจากเลิกงานตอนเย็น ก็กลับบ้านไปด้วยกันอย่างมีความสุข
เมิ่งเชี่ยนโยวปรุงยารักษารอยแผลเป็นออกมาได้หลายขวดแล้ว ให้เหวินเปียวนำส่งไปร้านยาเต๋อเหริน เหวินซื่อได้รับมา รีบให้คนนำส่งไปเมืองหลวง
ในวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงหน้าร้านเพิ่งจะลงจากรถม้า หลงจู๊เหลาจวี้เสียนก็ก้าวเท้าฉับๆ ออกมาจากในร้าน ร้องเรียกนางข้ามถนน “แม่นางเมิ่ง ข้ากำลังจะให้คนไปส่งข่าวแก่เจ้า อาหารทะเลที่เจ้าพูดถึง นายท่านของพวกเราให้คนส่งมาให้แล้ว!”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งพวกเมิ่งอี้เปิดประตูร้าน ตนเองหันหลังเดินไปเหลาจวี้เสียน เข้ามาหลังร้านพร้อมหลงจู๊
หลังร้านมี**บใบใหญ่หลายใบวางเรียงเป็นแถว ด้านในบรรจุสัตว์ทะเลเป็นๆ ชนิดต่างๆ
หลงจู๊พูดว่า “ที่นี่อยู่ห่างไกลจากทะเลมาก อาหารทะเลที่ส่งมาทุกครั้ง ไม่ถึงครึ่งทางก็ตายเรียบ นายท่านของพวกเราให้คนคิดหาวิธี ดังนั้นจึงใช้เวลาหลายวันกว่าจะส่งมาถึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดลอยๆ “นายท่านของพวกท่านไม่ธรรมดาเลย สามารถส่งอาหารทะเลเข้ามาในคราเดียวได้มากมายเช่นนี้”
หลงจู๊แย้มยิ้มไม่พูดต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ให้เสี่ยวเอ้อร์นำเครื่องมือเข้ามาตักกุ้งจำนวนหนึ่ง พูดกับพ่อครัว “วันนี้ข้าจะสอนทำกุ้งสองสามชนิดก่อน ที่เหลือข้าจะค่อยๆ สอนท่าน”
พ่อครัวไม่เคยเห็นสัตว์ทะเลเป็นๆ ดิ้นไปดิ้นมาเช่นนี้ อย่าว่าแต่ทำเลย แค่ได้เห็นก็ยังรู้สึกแปลกประหลาด พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสอนตนเอง ดีใจเดินตามต้อยๆ เข้าไปในห้องครัวเล็ก
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มสอนวิธีทำความสะอาดกุ้งให้พ่อครัวก่อน บอกเขาว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องกำจัดเส้นดำที่หลังของกุ้งออก
พ่อครัวทำตามนั้น
ทำความสะอาดกุ้งเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็สอนพ่อครัววิธีทำกุ้งหลายๆ แบบ
พ่อครัวจดจำอย่างละเอียด
หลังจากสอนเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปหนึ่งชั่วยามกว่า ในเหลาจวี้เสียนมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยแล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาหลงจู๊ เดินออกมาจากเหลาจวี้เสียน คิดจะกลับร้านตนเอง กลับเห็นมีคนอยู่ในมุมอับจ้องมองไปที่ร้านตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เดินตรงไปทางนั้น
คล้ายว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกตัว มองมาทางนี้แวบหนึ่ง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตรงมาหาตัวเอง ตกใจหันหลังเผ่นแนบทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่วิ่งไล่ตาม ยิ่งให้ขมวดคิ้วเกร็งแน่น
เหวินเปียวยกถาดออกมากำลังจะไปส่งก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งที่เหลาจวี้เสียน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนข้างมุมกำแพง ถามด้วยความประหลาดใจ “แม่นาง ท่านมาทำอะไรตรงนี้ขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเขา “นับแต่วันนี้ไป เจ้าไม่ต้องช่วยทำงานแล้ว คอยลาดตะเวนรอบร้าน ดูว่ามีคนมาจับตาดูพวกเราทุกวันหรือไม่”
เหวินเปียวรับคำสั่ง หลังจากยกก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งไปส่งเหลาจวี้เสียนก็คอยสอดส่องตรวจตราโดยรอบ
แต่หลายวันต่อมา ไม่รู้เพราะร้อนตัวที่ถูกจับได้ หรือเพราะเหวินเปียวคอยลาดตะเวน จึงไม่ปรากฏผู้ต้องสงสัยใดๆ อีก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ผ่อนคลายความระแวดระวัง สั่งกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ รวมถึงเหวินเป้า ไม่ว่าใครไปร้านค้า จะต้องคอยระวังความเคลื่อนไหวนอกร้าน หากพบผู้ต้องสงสัยไม่ต้องออมมือ ให้จับตัวเขาถามว่าใครเป็นผู้บงการ
วันเวลาผ่านไปอย่างสงบราบเรียบ นอกจากไปช่วยที่ร้านสม่ำเสมอ เวลาส่วนใหญ่เมิ่งเชี่ยนโยวจะหมดไปกับการปรุงยารักษารอยแผลเป็นที่บ้าน
คนในครอบครัวต่างก็ทำงานในหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ทุกวันเช้าตรู่ออกจากบ้าน กระทั่งยามค่ำโรงงานเลิกถึงกลับมา
วันนี้เพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายแก่ เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังปรุงยาอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงร้องลั่นหน้าประตูใหญ่ เงยหน้ามองดู เห็นเมิ่งชื่อกลับมา ประหลาดใจ ลุกขึ้นเดินออกมาถามขึ้น “ท่านแม่ เหตุใดวันนี้ถึงกลับมาแต่หัววัน? มีเรื่องอันใดหรือ?”
เมิ่งชื่อหน้าตาหม่นหมอง น้ำเสียงก็แหบต่ำ “วันนี้แม่รู้สึกไม่สบายใจเลย กลับมาพักผ่อนเสียหน่อย” พูดจบ เดินเข้าไปในห้องตัวเอง
นับตั้งแต่ที่ตัวเองข้ามภพมา ไม่ว่าจะลำบากแสนเข็ญเพียงใด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เคยเห็นเมิ่งชื่อในสภาพนี้ ยิ่งให้ประหลาดใจ เดินตามเข้าไปในห้อง เทน้ำให้เมิ่งชื่อที่เอนตัวนอนบนเตียงเตาแล้ว “ท่านแม่ ดื่มน้ำเสียหน่อยเถอะ”
เมิ่งชื่อลุกขึ้นรับแก้วน้ำ แหงนหน้ากระดกน้ำดื่ม
เมิ่งเชี่ยนโยวรอนางดื่มเสร็จถึงถามว่า “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาว พูดว่า “วันนี้ป้าใหญ่เจ้ามาหาแม่ที่โรงงาน บอกว่าอยากให้สะใภ้ซุนไปกำหนดวันแต่งงานกับครอบครัวอิงจื่อ”
“นี่เป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ เหตุใดท่านแม่ถึงดูไม่สบายใจเลย?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาวอีกครั้ง “แม่มิได้ไม่สบายเพราะเรื่องนี้ แม่เพียงคิดว่าไม่รู้เมื่อใดพี่ใหญ่เจ้าถึงจะได้แต่งงาน ถึงได้จิตใจห่อเ**่ยวเช่นนี้ ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเย็บกระเป๋านักเรียน ถึงได้ตรงกลับมาพักที่บ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดอาการไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พูดว่า “ท่านกลับมาด้วยสภาพนี้ ข้ายังนึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น ตกใจแทบแย่”
เมิ่งชื่อถอนหายใจต่อเนื่อง “นี่ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือ พ้นปีนี้ไปพี่ใหญ่เจ้าก็จะอายุสิบเจ็ดปี แม้ใจร้อนแทบคลั่งแล้ว”
“ใจร้อนก็ไปพูดสิเจ้าคะ พี่ใหญ่และแม่นางซุนก็หมั้นหมายกันมานานแล้ว สมควรแต่งงานได้แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเบาสบาย
เมิ่งชื่อหยุดชะงักในท่าดื่มน้ำ จากนั้นเบิกตาโตด้วยความยินดี ถาม “เจ้าบอกว่า พวกเราเข้าไปพูด ให้พี่ใหญ่และแม่นางซุนแต่งงานกันเร็วขึ้นได้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“แบบนี้ซุนซ่านเหรินจะเห็นด้วยหรือ?” เมิ่งชื่อถามอย่างไม่แน่ใจ
“ชายต้องแต่งงาน หญิงต้องมีเรือน แม่นางซุนก็อยู่ในวัยที่สมควรต้องแต่งงานแล้ว ซุนซ่านเหรินไม่คัดค้านหรอก” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เมิ่งชื่อกระฉับกระเฉงขึ้นมาพลัน ตบหน้าขาด้วยความยินดี “จริงด้วย เหตุใดแม่ถึงคิดไม่ถึง แม่นางซุนเองก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว”
พูดจบ ก็วางแก้วในมือลงบนโต๊ะ ใส่รองเท้าลงจากเตียง “แม่จะไปหาแม่สื่อหมู่บ้านข้างๆ ให้วันพรุ่งนางเข้าไปพูดเจรจา”
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งนางไว้ ชี้ไปที่ท้องฟ้าด้านนอก “รถม้าในบ้านไม่อยู่ หากท่านเดินไป กลับมาก็คงมืดค่ำแล้ว พรุ่งนี้ช่วงเช้าให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปส่งท่านเถอะ”
“ไม่ได้ แม่จะไปเดี๋ยวนี้ วันพรุ่งตอนเช้าแม่สื่อจะได้ไปพูดเจรจาเลย ไม่ต้องสนใจแม่ แม่เดินเร็ว ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว” พูดจบ ก็เดินฉับๆ ออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่แย้มยิ้มส่ายหน้าอยู่ด้านหลัง
เมิ่งชื่อท่าทีกระฉับฉับไวจริงๆ พวกซุนเหลียงไฉเพิ่งจะเลิกเรียนกลับมาไม่นาน นางก็ยิ้มหน้าบานกลับมาแล้ว พ้นประตูเข้ามา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังเก็บข้าวของทำอาหารในครัว ด้านหนึ่งพับแขนเสื้อเข้ามารับงานในมือนาง ด้านหนึ่งดีใจพูดว่า “แม่สื่อรับปากแม่ทันที พรุ่งนี้จะไปเจรจาสู่ขอที่จวนซุน พรุ่งนี้เจ้าให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปส่งนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านแม่ ท่านใจร้อนเกินไปแล้ว ต่อให้ให้แม่สื่อไปพูดสู่ขอ พวกเราก็ต้องเตรียมของขวัญนะเจ้าคะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าผากตัวเอง “พอแม่ดีใจ ก็ลืมไปทุกอย่างไปสิ้น เจ้าพูดถูก จะให้แม่สื่อไปมือเปล่าไม่ได้” พูดจบถามขึ้นอีก “เจ้าว่าเตรียมของขวัญอะไรดี?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ยิ้มพูด “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบ ท่านไปถามท่านป้าใหญ่เถิด”
เมิ่งชื่อไม่ทำอาหารแล้ว เช็ดมือลวกๆ “แม่จะไปถามป้าใหญ่เจ้าเดี๋ยวนี้ อาหารค่ำเจ้าเป็นคนทำนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะอ้าปาก เมิ่งชื่อก็เดินออกไปจากครัวแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ทำอาหารต่อไป
คนในครอบครัวทยอยกลับกันมา เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวทำอาหาร ถามอย่างประหลาดใจ “พ่อได้ยินอู๋ต้าบอกว่าแม่เจ้ากลับมาตั้งนานแล้ว นางหายไปไหนเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ท่านแม่หรือ ไปจัดการเรื่องสำคัญเจ้าค่ะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามด้วยความใคร่รู้ “จัดการเรื่องใหญ่อันใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเสียนที่พอเข้ามาก็มาช่วยนางเผาไฟ ยิ้มพูด “ท่านแม่นะ อยากให้พี่ใหญ่และแม่นางซุนแต่งงานในเร็ววัน จึงไปถามป้าใหญ่ว่าควรให้แม่สื่อนำของขวัญใดไปเจรจาสู่ขอดีเจ้าค่ะ”
เมิ่งเสียนหน้าแดงวาบทันที
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีใจเป็นอย่างมาก น้ำเสียงเจือแววยินดี “นี่เป็นเรื่องเมื่อใดกัน เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินแม่เจ้าเอ่ยถึงมาก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายให้เขาฟัง
เมิ่งเอ้ออิ๋นยิ่งให้ยินดี พูดว่า “เสียนเอ๋อร์ก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้วจริงๆ แม่เจ้าทำได้ดี นับแต่วันพรุ่งนี้พ่อก็จะไม่ไปโรงงาน อยู่บ้านเก็บกวาดห้องหอ”
เมิ่งเสียนเอาแต่ก้มหน้าแดงก่ำไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้าเขา “พี่ใหญ่ ได้ยินเรื่องจะไปสู่ขอบ้านซุน เหตุใดท่านถึงไม่ดีใจเล่า หรือว่าท่านไม่อยากแต่งงาน?”
เมิ่งเสียนเงยหน้า ลนลานพูด “ที่ไหนกัน ข้าแทบอยากจะแต่งแม่นางซุนมาเสียวันนี้พรุ่งนี้เลยต่างหาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าร้อง “อ่อ” หัวเราะจ้องมองเขา
เมิ่งเสียนถึงรู้สึกตัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้าตนเอง ยิ่งให้หน้าแดงก่ำ ก้มหน้าเก้อเขิน แสร้งเผาไฟไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
เมิ่งชื่อกลับมาได้ยินเสียงหัวเราะเบิกบานของนาง เดินเข้ามาในครัว ถาม “มีเรื่องอะไรถึงดีใจเช่นนี้?”
“ก็ต้องเป็นเรื่องที่พี่ใหญ่จะแต่งงานสิเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ
เมิ่งชื่อมองบุตรชายคนโตที่เอาแต่ก้มหน้าเผาไฟ พูดอย่างสำราญใจ “แม่ปรึกษากับป้าใหญ่แล้ว พวกเราจะนำของสิ่งหนึ่งไปสู่ขอ พรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปซื้อในเมือง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยุยงนาง “ท่านแม่ พรุ่งนี้พอท่านซื้อของขวัญเสร็จ ตรงเข้าไปเจรจาสู่ขอพร้อมแม่สื่อเลย เช่นนี้จะแสดงถึงความจริงใจเต็มเปี่ยมของพวกเรา ไม่แน่ว่าซุนซ่านเหรินจะยิ่งให้ตอบตกลงด้วยความยินดี”
เมิ่งชื่อถึงกับเอามาขบคิดอย่างตั้งใจ และเห็นดีเห็นงามด้วย “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปด้วยกัน หากซุนซานเหรินไม่ยอม แม่จะขอร้องจนกว่าเขาจะตอบตกลง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่เห็นด้วย “มีแม่สามีที่ไหนตามเข้าไปพูดสู่ขอกันเล่า เจ้าอยากให้พวกชาวบ้านหัวเราะเยาะเรอะ?”
เมิ่งชื่อไม่แยแส “ข้าไม่สน ขอเพียงตบแต่งสะใภ้กลับมาได้เร็ววัน ใครอยากหัวเราะเยาะก็หัวเราะเยาะไป”
เป็นดังคาด วันรุ่งขึ้นเมิ่งชื่อและสะใภ้เมิ่งต้าจินเข้าไปซื้อของขวัญในเมืองด้วยกัน หลังจากซื้อของเสร็จก็ตามแม่ซื้อเข้าไปจวนซุน
แม่สื่อไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ที่ว่าที่แม่สามีจะตามไปเจรจาสู่ขอด้วย ใช้สายตาแปลกประหลาดมองเมิ่งชื่อไปตลอดทาง
เมิ่งชื่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น นั่งบนรถม้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
มาถึงหน้าประตูจวนซุน แม่สื่อและเมิ่งชื่อถือของขวัญลงจากรถม้า
จับแต่งเสื้อผ้าของตัวเอง พอเห็นว่าเหมาะสมดีแล้ว ให้แม่สื่อเดินไปหน้าประตู พูดกับบ่าวรับใช้ “รบกวนเจ้าไปเรียนนายท่านและฮูหยินของพวกเจ้า บอกว่าข้ามาจากหมู่บ้านหวงมาเจรจาสู่ขอ”
บ่าวนึกว่าเมิ่งชื่อตามมายกของขวัญให้ ไม่ได้สนใจนาง มองประเมินแม่สื่ออย่างละเอียด ถึงพูดว่า “ท่านรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานก่อน” พูดจบ หันกลับเข้าไปในลานเรือน
ซุนซ่านเหรินได้ยินรายงานจากบ่าวให้ตกตะลึง รีบสั่งบ่าว “พาพวกเขาไปห้องรับรองแขก” บ่าวขานรับเดินออกมา
ซุนซ่านเหรินพูดกับบ่าวข้างกาย “ไปตามฮูหยินและคุณหนูซุนเข้ามา”
บ่าวกลับมาถึงหน้าประตู พูดกับทั้งสองคน “เชิญท่านสองท่านตามข้าเข้ามาด้านในขอรับ”
ทั้งสองถือของขวัญเดินตามบ่าวเข้าไปในลานเรือน
ฮูหยินซุนและซุนเชี่ยนได้ยินบ่าวมารายงาน รีบเดินมาถึงห้องรับรองแขก นั่งรอแม่สื่อเข้ามาพร้อมซุนซ่านเหริน
บ่าวพาทั้งสองคนเข้ามาในลานเรือน พูดอย่างนบนอบ “นายท่าน ฮูหยิน แม่สื่อมาแล้วขอรับ”
เสียงซุนซ่านเหรินดังออกมาจากในห้อง “เชิญนางเข้ามาเถอะ”
บ่าวเดินขึ้นหน้าไปเปิดม่านออก เชิญทั้งคนสองเข้าไป
แม่สื่อนำหน้า เมิ่งชื่อตามหลัง เดินเข้ามาภายในห้อง
ซุนซ่านเหรินและฮูหยินซุนนั่งบนเก้าอี้ประธาน เห็นแม่สื่อเข้ามา ซุนซ่านเหรินกำลังจะหัวเราะเหอะๆ เชิญนางนั่ง กลับเห็นเมิ่งชื่อตามหลังเข้ามา ตกใจลุกพรวด
ซุนเชี่ยนก็เห็นเมิ่งชื่อแล้ว ตกใจไม่น้อย ลนลานลุกขึ้น ร้องถามเสียงสั่น “ท่านป้า ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ?”