ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 234-1 ร้านยาเต๋อเหรินเกิดเรื่อง
หลังจากเปล่งเสียงขานรับ เหวินเปียวและเหวินหู่หันสบตากัน ใช้สายตาเป็นสื่อบอกการกระทำ
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนด้านในหลังร้านเงียบๆ มองเหวินเปียวและเหวินหู่เดินไล่หลังกันพ้นประตูหลังร้านออกไป หลับตาลง เงี่ยหูสดับฟังเสียงด้านนอก
หลังความเคลื่อนไหวเล็กน้อยกับเสียงต่อสู้และเสียงกรีดร้องของคนเดินถนนดังแว่วมา เสียงฝีเท้าคนผู้หนึ่งจากไปโดยไว
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าทั้งสองจับตัวคนไม่ได้ ลืมตาขึ้น รอพวกเขาเข้ามา
หลังเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป พวกเหวินเปียวถึงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าละอาย ยืนตรงหน้านาง พูดด้วยความอับอาย “แม่นาง พวกเราจับตัวเขาไม่ได้ เขาหนีรอดไปได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้ตำหนิพวกเขา กลับปลอบใจเขา “เจ้าสองคนรวมพลังกันยังจับเขาไม่ได้ คิดว่าคนผู้นี้จักต้องมีพลังยุทธ์สูง”
เหวินเปียวพูดว่า “วรยุทธ์สูสีกับพวกเรา เพียงแต่วันนี้มีคนออกมาซื้อของปีใหม่บนถนนมาก เขาจงใจหนีเข้าไปในที่คนมาก พวกเราลงมือไม่สะดวก เขาถึงสลัดหนีพวกเราไปได้”
“เขาวิ่งหายไปไหน?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
ทั้งสองส่ายหน้า เหวินเปียวพูดว่า “พวกเราไล่ตามเขาไปไกลสองลี้ เขาก็สลัดหนีไปได้ พวกเราตามหาบริเวณนั้นพักใหญ่ อย่างไรก็หาไม่เจอ จึงได้กลับมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว พักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน ค่อยออกไปช่วยด้านหน้า จำไว้ให้ดี เรื่องนี้ห้ามพูดกับใครเด็ดขาด”
ทั้งสองพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “วันนี้พวกเราจับเขาไม่ได้ คงจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว คาดว่าก่อนปีใหม่พวกเขาคงไม่ปรากฏตัวอีก แต่ก็ห้ามชะล่าใจเด็ดขาด ต่อไปทุกวันหลังจากมาที่นี่ ไม่ต้องช่วยงานหน้าร้านอีก ให้คอยลาดตระเวนสภาพการณ์นอกร้าน หากพบว่ามีสิ่งผิดปกิต ให้รีบตัดไฟแต่ต้นลม”
ทั้งสองรับคำหนักแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับเข้าร้าน เหวินเปียวและเหวินหู่เดินตามหลัง
ภายในร้านขายดิบขายดี คนเข้ามากินก๋วยเตี๋ยวไม่ขาดสาย งานยุ่งไปจนกระทั่งหลังมื้ออาหารเที่ยง ลูกค้าถึงค่อยๆ บางตาลง
เมิ่งอี้ซับเหงื่อบนหน้าผาก พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างชื่นบาน “น้องโยวเอ๋อร์ การค้าของเรานับวันก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง หากยังคงเป็นเช่นนี้ ปีหน้าพวกเราจะสามารถเปิดอีกสาขาหนึ่งได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แย้มยิ้มพูด “พี่เมิ่งอี้กล่าวเหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้ พวกเราไม่เพียงจะเปิดอีกหนึ่งสาขา แต่พวกเราจะเปิดเพิ่มอีกหลายสาขา โดยมีท่านเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ท่านคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว”
เมิ่งอี้ได้ฟังดีใจหน้าแดงฝาด พูดว่า “ขอเพียงทำเงินได้ ให้เหนื่อยแค่ไหนข้าก็ไม่กลัว”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดหยอกล้ออยู่นั้น หลงจู๊เหลาจวี้เสียนก็ถือเงินผลักประตูเข้ามา ตอนที่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน รอยยิ้มกว้างผุดบนใบหน้าพลัน “แม่นางเมิ่ง ไม่เห็นเจ้าเข้ามาหลายวัน ข้าอยากกล่าวขอบคุณกลับหาคนไม่พบ” พูดจบ วางเงินในมือลงบนโต๊ะคิดเงิน
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เหวินเหลียนมาคิดบัญชี ตนเองเดินออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน แย้มยิ้มตอบกลับ “ช่วงที่ผ่านมาที่บ้านค่อนข้างยุ่ง ข้าไม่มีเวลาเข้าร้านเลย พี่เมิ่งอี้บอกข้าแล้ว ทุกวันนี้ท่านช่วยพวกเราขายก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งได้มากกว่าที่พวกเราขายเองในร้าน ข้าคิดไว้แล้วว่าประเดี๋ยวพอร้านปิดจะเข้าไปขอบคุณท่านอยู่เลยเล่า”
หลงจู๊ก็ยิ้มพูด “เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้เด็ดขาด เทียบกับที่เจ้าทำให้พวกเราเหลาจวี้เสียนแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาออกอาการปิติเบิกบานเช่นนี้ พูดอย่างมั่นใจ “ดูท่านดีใจเช่นนี้ แสดงว่าอาหารทะเลขายดีมากใช่หรือไม่?”
พอเอ่ยถึงอาหารทะเล หลงจู๊ก็เก็บซ่อนน้ำเสียงแห่งความปิติไว้ไม่อยู่ “มิใช่แค่ขายดี ราวกับเก็บเงินหล่นได้ก็ไม่ปาน ตอนนี้ลูกค้าทุกคนที่เข้ามากินข้าว ต่างมาเพราะอาหารทะเลเกือบทั้งหมด และไม่สอบถามราคาอาหาร ก็สั่งกันคนละสองสามอย่าง ด้วยระยะเวลาสั้นๆ สองเดือนกว่านี้ ทำเงินได้มากกว่าปีที่แล้วทั้งปีเสียอีก ทั้งหมดนี้เป็นความชอบของแม่นางโดยแท้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “หลงจู๊อย่าได้กล่าวเช่นนี้เด็ดขาด โบราณว่าหญิงฉลาดขาดข้าวไร้อาหาร[1] หากไม่เพราะนายท่านของพวกท่านมีภูมิหลังไม่ธรรมดา สามารถขนส่งอาหารทะเลสดมาได้ ต่อให้ข้ามีฝีมือปรุงอาหารดีเพียงใด ก็เปล่าประโยชน์เจ้าค่ะ”
หลงจู๊ไม่สนทนาตอบหัวข้อนี้ ได้แต่หัวเราะแหะๆ
เหวินเหลียนคิดบัญชีเสร็จ พูดอย่างอ่อนน้อม “นายหญิง ยอดเงินและตัวเลขในใบรายการตรงกันพอดีเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กล่าวขอบคุณหลงจู๊อีกครั้ง
หลงจู๊แย้มยิ้มโบกมือ แล้วเดินกลับไปเหลาจวี้เสียน
ภรรยาเหวินเปียวยังคงต้มก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งตามรสชาติความชอบส่วนบุคคลให้พวกเขา หลังจากกินเสร็จ จัดเก็บทำความสะอาดร้านเรียบร้อย ก็โดยสารรถม้ากลับบ้าน
ผ่านไปอีกสองวัน มาถึงวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสอง เมิ่งเชี่ยนโยวเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีสามพี่น้องไม่ได้ไปโรงงาน อยู่ตัดบัญชีเงินค่าแรงของคนงานเตรียมไว้ก่อน ทั้งเตรียมสิ่งของที่จะแจกในวันปีใหม่ เพื่อมอบสิ่งของเหล่านั้นให้ทุกคนในช่วงเช้าของวันที่สามสิบก่อนวันสิ้นปี
เสียงร้องแปดหลอดของจูหลานดังลอยมาจากด้านนอก “แม่นางเมิ่ง รีบออกมาเถิด พวกเราส่งของขวัญปีใหม่มาให้เจ้าแล้ว”
ทั้งสามคนได้ฟังลุกขึ้นเดินออกมานอกบ้าน
จูหลานเดินเข้ามาในลานบ้านแล้ว ตามติดมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มของเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ยินเสียงร้องแปดหลอดของจูหลานมานาน ให้รู้สึกคิดถึงขึ้นมาจับใจ เกิดความคิดอยากแกล้งเขาบ้าง เริ่มจากไม่กล่าวทักทายพวกเขา แต่ถามด้วยท่าทีขึงขัง “คุณชายจู ปีนี้พวกเรามิได้มีการค้าต่อกันมาก ไยต้องมอบของขวัญปีใหม่ให้ข้าอีกเล่า?”
จูหลานถลึงตาโตใส่นาง พูดว่า “ยังจะมาแกล้งเขลา เจ้าให้เปล่าสูตรเนื้อรมควันแก่พวกเรา ปีนี้พวกเราทำกำไรได้อีกเป็นกอบเป็นกำ ยังไม่สมควรส่งของขวัญมาให้เจ้าอีกเรอะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเข้าใจพลัน พูดว่า “เป็นอย่างนี้เอง ข้านึกว่าเป็นเพราะข้าเป็นแม่สื่อหาภรรยาที่ดีให้เจ้าได้ เจ้าจึงตั้งใจเข้ามาขอบคุณข้า”
จูหลานหน้าแดงเรื่อ พูดอย่างขวยเขิน “ย่อมต้องมีของตอบแทนแม่สื่ออยู่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เกรงใจ ยื่นมือออกไปพูดว่า “เอามา!”
จูหลานมึนงงไปชั่วขณะ ถามอย่างไม่เข้าใจ “สิ่งใด?”
“ของตอบแทนแม่สื่อไง เจ้าบอกว่าเอามาให้ข้าด้วยมิใช่หรือ? รีบเอาออกมาเร็ว”
จูหลานเข้าใจพลัน “ของขวัญอยู่บนรถม้าด้านนอก ประเดี๋ยวจะให้คนงานยกเข้ามาให้พวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวชักมือกลับ แกล้งพูดแหย่เย้าเขา “คุณชายจูยิ่งมาก็ยิ่งตระหนี่ ของตอบแทนแม่สื่อคืออั่งเปาใบโตมิใช่หรือ? เจ้านำสิ่งใดมาให้ข้ากัน?”
“เจ้ามิได้ขัดสนเงินทอง จะเอาอั่งเปาไปทำไม สิ่งของในรถเป็นของที่ข้าเข้าไปหาลี่เอ๋อร์ในจังหวัด พวกเราสองคนตั้งใจเลือกซื้อให้เจ้า ลี่เอ๋อร์บอกว่าเจ้าเห็นแล้วจะต้องชอบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระดกลิ้นร้องจิ๊ๆ พูดกระเซ้า “ลี่เอ๋อร์ๆ เรียกอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ดูท่างานมงคลของคุณชายจูคงอีกไม่ไกลแล้ว”
ครานี้จูหลานหน้าแดงปลั่งแล้ว ฝืนปากแข็งพูดกลับ “เจ้าเป็นผู้หญิงพูดจารักนวลสงวนตัวหน่อยไม่ได้หรือ?”
“แหม ตอนนี้คุณชายจูรังเกียจว่าข้าไม่รักนวลสงวนตัวแล้ว ตอนที่ข้าแนะนำคุณหนูจางให้ไยเจ้าถึงไม่กล่าวเช่นนี้?” เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งหยอกเย้าเขา
จูหลานสะอึกจนพูดไม่ออก
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนน้อยครั้งจะได้เห็นจูหลานพ่ายแพ้ ต่างสำราญใจหัวเราะร่วน
จูหลานก็ไม่โมโห คลำศีรษะตนเองหัวเราะแก้เก้อตามไปด้วย
เมิ่งเสียนเชิญคนทั้งหมดเข้าไปในบ้านอย่างสุภาพ ทั้งไปชงชามาให้พวกเขาด้วยตัวเอง
กระทั่งเขาทำทุกอย่างเสร็จ เซี่ยเจียงเฟิงถึงล้วงตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อวางไว้เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “นี่เป็นเงินค่ากุนเชียงหนึ่งแสนจินและน้ำมันพริก เจ้านับดูก่อนว่าครบถ้วนหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับ ยิ้มพูดว่า “ท่านให้เงินเร็วไปแล้ว กุนเชียงหนึ่งแสนจินนั้นพวกเราเพิ่งจะผลิตออกมา ยังผึ่งลมไม่เสร็จดี เกรงว่าจะยังนำกลับไปตอนนี้ไม่ได้”
เซี่ยเจียงเฟิงผลักตั๋วเงินเขยิบไปตรงหน้านางอีกครั้ง พูดว่า “ไม่เป็นไร ขอเพียงมีสินค้า หลังปีใหม่ค่อยส่งคนเข้ามาก็ยังไม่สาย”
“เช่นนั้นท่านเก็บตั๋วเงินนี้กลับคืนไปก่อนเถอะ เอาไว้ตอนที่พวกท่านเข้ามารับกุนเชียงค่อยจ่ายเงิน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เซี่ยเจียงเฟิงโบกมือ “หลังปีใหม่ข้าต้องเข้าเมืองหลวง คงไม่กลับมาในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ หากจ่ายเงินหลังปีใหม่ ไม่รู้จะต้องลากยาวไปถึงเมื่อใด เจ้ารับตั๋วเงินพวกนี้ไว้ก่อนเถอะ ถึงเวลาให้คนงานเข้ามารับสินค้าก็พอ”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ปฏิเสธอีก หยิบตั๋วเงินบนโต๊ะส่งให้เมิ่งเสียน
อันอี่หยวนก็ล้วงตั๋วเงินหลายใบออกมา วางตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่เป็นเงินค่ามันฝรั่งแผ่นทอดชุดสุดท้ายของปีนี้ เจ้านับก่อนเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินมาได้ก็ส่งให้เมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนลุกขึ้นยืน กลับเข้าไปในห้องตัวเอง หยิบสมุดบัญชีออกมา ตรวจสอบจำนวนครบถ้วนพอดี จึงมอบตั๋วเงินให้ซุนเชี่ยน ให้นางเก็บให้ดี ประเดี๋ยวตนเองจะเข้ามาจดลงสมุดบัญชี
สองปีที่ผ่านมาซุนเชี่ยนคอยดูแลร้านค้าหลายแห่งของครอบครัว ตอนปีใหม่ก็ต้องทำบัญชี ทว่าไม่เคยทำรายได้ได้เงินมากเช่นนี้ในคราเดียวมาก่อน พลันผงะอึ้ง หยั่งเชิงถาม “ตั๋วเงินพวกนี้เป็นรายได้จากสิ่งใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเคยพูดไว้แล้ว หลังปีใหม่จะให้ซุนเชี่ยนมาช่วยดูแลโรงงาน ดังนั้นเมิ่งเสียนจึงไม่ปิดบัง บอกนางว่า “ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากกุนเชียงหนึ่งแสนจิน ที่เหลือเป็นรายได้จากมันฝรั่งแผ่นทอด”
ซุนเชี่ยนตกตะลึง ถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อ “เป็นเพียงรายได้จากกุนเชียงและมันฝรั่งแผ่น”
เมิ่งเสียนพยักหน้า วางสมุดบัญชีไว้เบื้องหน้านางพูดว่า “เจ้าดูเถิด นี่เป็นรายได้ตลอดทั้งปีของกุนเชียง ประมาณหลายแสนตำลึงได้”
ครั้งนี้ไม่เพียงซุนเชี่ยน แม้แต่สาวใช้ทั้งสองก็สูดลมหายใจเข้าปาก
หลังจากกำชับนางให้เก็บตั๋วเงินให้ดี ก็ออกไปต้อนรับแขก
[1] 巧妇难为无米之炊 เป็นสำนวนจีน หมายถึง ต่อให้หญิงสาวเก่งกาจสามารถเพียงใด หากไม่มีวัตถุดิบก็ยากจะทำอาหารเลิศรสออกมาได้