ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 237-2 เคลื่อนย้ายองครักษ์หลวง
ตกดึก ตามที่เปลี่ยวรกร้างในเมืองมีเงาร่างดำจำนวนหนึ่งลอยเข้ามา ตรวจสอบทุกพื้นที่อย่างละเอียด ไม่มองข้ามเบาะแสใดๆ หลังจากสืบค้นมาถึงกลางดึก ในที่สุดก็พบร่องรอยน้ำมันดิบในเรือนซอมซ่อแห่งหนึ่งฝั่งตะวันออกของเมือง
คนทั้งหมดสบตากัน ใช้มือแตะคราบสองสามหยดบนพื้น นำมาดมที่ปลายจมูก มั่นใจว่าเป็นน้ำมันดิบไม่ผิด แล้วลุกขึ้นพร้อมกัน เดินวนรอบเรือนหนึ่งรอบ ไม่พบเบาะแสใดๆ อีก จึงกระโดดออกไปนอกกำแพง หายไปพร้อมกับความมืด
วันถัดมา หลังจากฟ้าสว่างแจ้งแล้ว มีคนในเมืองออกมาไม่น้อย คนยากคนจนเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง ใช้โอกาสช่วงปีใหม่ออกมาขายผักบ้าง ขายขนมน้ำตาลปั้นบ้าง มีเดินจับกลุ่มไปบ้านญาติบ้าง ยังมีบางคนออกมาเดินเตร็ดเตร่ ทักทายคนรู้จักอย่างเป็นกันเอง
คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมานานต่างประหลาดใจ ในอดีต หากไม่พ้นวันที่สิบห้า บนถนนแทบจะไม่มีคนเลย ปีนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? แค่วันที่สี่ก็เริ่มคึกคักเช่นนี้แล้ว
แม้จะประหลาดใจ แต่กลับไม่มีใครสงสัย
พวกคนที่ลอยชายอยู่บนถนน ฉวยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ ค่อยๆ รวมศูนย์ไปในทิศทางเดียวกัน
ชายฉกรรจ์ขายผักแบกหาบผักกาดขาวเดินไปร้องตะโกนไป ไม่คิดว่าจะมีหญิงคนหนึ่งเปิดประตูออกมาร้องเรียกเขา “คนขายผัก มาทางนี้หน่อย”
คนขายผักรับคำ แบกคานหาบเดินมาหน้าประตูบ้านนาง แย้มยิ้มตอบกลับ “ท่านป้า จะซื้อผักหรือขอรับ?”
หญิงนางนั้นมองดูผักในหาบของเขา ดูเข้าท่าเข้าทางดี เอ่ยปากถาม “ผักกาดขาวนี้ขายอย่างไร?”
คนขายผักตอบอย่างกระตืนรือร้น “ปกติผักกาดขาวราคาสามจินหนึ่งเหวิน ตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ ผักน้อย ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย ห้าจินสองเหวินขอรับ”
หญิงนางนั้นได้ยินแล้วถือว่าไม่โก่งราคาเกินไป พูดว่า “ขอข้าสักสองหัวเถอะ วันนี้จะมีญาติจากชนบทเข้ามาสวัสดีปีใหม่ ข้าจะทำผัดผักให้พวกเขากิน”
คนขายผักขานรับคำ เลือกผักกาดขาวสองหัวออกมา ถามว่า “ท่านป้า ทั้งว่าสองหัวนี้เป็นอย่างไร?”
หญิงนางนั้นแหวกดูเล็กน้อย พยักหน้าพอใจ “สองหัวนี้ก็แล้วกัน”
“ได้ขอรับ ข้าจะชั่งให้เดี๋ยวนี้” คนขายผักรับคำแล้วหยิบตาชั่งในหาบออกมา ชั่งน้ำหนักไปพลางกล่าวชมหญิงนางนั้น “ท่านป้า ท่านจิตใจดีนัก จะทำผัดผักให้ญาติยากจนจากชนบทกินด้วย ไม่เหมือนบางบ้าน ทำวอโถวไม่กี่ชิ้น ก็มาบอกว่าเป็นอาหารคาวแล้ว”
หญิงนางนั้นถูกชมเชย ดีใจหน้าบาน พูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เพื่อนบ้านแถวนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าข้าจิตใจดี จะทำผัดผักใส่หมูให้ญาติยากจนที่มาสวัสดีปีใหม่กินทุกปี”
คนขายผักต่อบทสนทนาอย่างแนบเนียน “เช่นนั้น ท่านป้าก็อาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว?”
หญิงนางนั้นไม่นึกระแวง พูดตอบเขา “ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว รู้จักคนละแวกนี้ทั้งหมด”
คนขายผักได้ฟัง ชี้เรือนหลังใหญ่ด้านข้างพูดว่า “เช่นนั้นท่านคงจะคุ้นเคยกับบ้านเศรษฐีข้างๆ นี้ดี ท่านพอจะช่วยข้าแนะนำบ้างได้หรือไม่ ให้แม่ครัวของบ้านพวกเขามาซื้อผักกาดของข้า ปีใหม่แบบนี้ ข้าอยากรีบขายรีบกลับบ้าน” พูดจบพูดสมทบอีกประโยค “ข้าจะไม่ให้ท่านช่วยเปล่า ผักกาดขาวสองหัวนี้ถือว่ามอบให้ท่านเป็นสินน้ำใจ”
หญิงนางนั้นได้ฟัง แม้จะหวั่นไหว แต่กลับโบกมือพูดว่า “เรื่องนี้ข้าคงจะช่วยเจ้าไม่ได้ นี่เป็นบ้านเศรษฐีอู๋ ก่อนปีใหม่พวกเขาก็เตรียมข้าวของไว้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อผักเพิ่มอีก”
คนขายผักพูดด้วยน้ำเสียงเจือความเว้าวอน “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเตรียมสิ่งของไว้พร้อมหมดแล้ว หากไม่มีเล่า รบกวนท่านช่วยไปถามให้ข้าหน่อยเถิด”
“ปัดโธ่ หากว่าช่วยได้ ไยข้าจะไม่ช่วยเล่า? แต่เพราะก่อนปีใหม่ข้าเห็นกับตาว่ามีรถม้าหลายคันมาจอดหน้าประตูบ้านพวกเขา บรรทุกผักมาเต็มคันรถ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า จะต้องเป็นสิ่งของที่นำมาฉลองปีใหม่” หญิงนางนั้นกล่าว
คนขายผักได้ฟังเบิกตาโพลง ถามอย่างตกใจ “สุดยอดเลย ครอบครัวพวกเขามีกันกี่คนหรือ? ต้องเตรียมผักมากมายเช่นนั้น? พวกเขาจะเตรียมข้าวของมากมายไว้ก่อนเช่นนี้ทุกปีหรือ?”
หญิงนางนั้นตอบ “ครอบครัวพวกเขามีคนไม่มาก ปีก่อนก็เตรียมการเช่นนี้ แต่ไม่ได้มากเท่านี้ มีรถม้าเพียงคันเดียวเท่านั้น”
พูดจบ ก็พูดต่อว่า “ทว่า ต่อมา ข้าเห็นพวกเขาบังคับรถม้าสองคันไปที่อื่น คาดว่าคงจะเอาส่งไปให้บ้านเครือญาติ”
คนขายผักเต็มไปด้วยความอิจฉา “เศรษฐีอู๋คนนี้ช่างเป็นคนดีนัก แม้แต่ผักฉลองปีใหม่ก็เตรียมไว้ให้ญาติมิตรด้วย”
หญิงนางนั้นเบ้ปาก พูดว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว คนในจวนอู๋ทุกคนต่างดูแคลนคนอื่น เวลาเห็นคนจนอย่างพวกเรายังไม่แม้แต่จะสนใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงญาติห่างๆ พวกนั้นเลย อย่างมากพวกเขาก็แค่ส่งไปให้บ้านพี่สาวเศรษฐีอู๋เท่านั้น”
คนขายผักพูดต่อ “เช่นนี้ก็ไม่เลวแล้ว เศรษฐีบางคนญาติสนิทยังไม่นับเลย ข้าแบกของหาบเร่มาหลายปี ได้ยินเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อย”
หญิงนางนั้นยิ่งเบ้ปากหนักกว่าเดิม “เมื่อก่อนบ้านพี่สาวเขาก็เป็นครอบครัวเศรษฐี ภายหลังครอบครัวล้มละลาย ถูกบีบให้ขายสมบัติบรรพบุรุษมาอาศัยอยู่กับเขา ไม่คิดว่าเขากลับจัดให้ครอบครัวพวกนางไปอยู่เรือนซอมซ่อฝั่งตะวันออกของเมือง หากไม่เพราะเห็นแก่ที่หลานชายพอมีความสามารถ หวังพึ่งใบบุญในอนาคต เศรษฐีอู๋ไม่มีทางสนใจพวกเขาแล้ว”
คนขายผักก็เบะปากด้วย “กล่าวเช่นนี้ คนขายผักคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร พี่สาวที่อาศัยในเรือนซอมซ่อนั้นไม่รู้จะเสียใจเพียงใด?”
หญิงนางนั้นโบกมือ พูดว่า “นั่นเป็นเรื่องเมื่ออดีต นับตั้งแต่ที่หลานชายของเขาได้เป็นขุนนางในหัวเมือง ก็ได้ซื้อเรือนขนาดย่อมหลังหนึ่งทางฝั่งตะวันออกให้บิดามารดาตนเอง บัดนี้สองสามีภรรยานั้นอาศัยอยู่อย่างสุขสบายแล้ว”
คนขายผักชั่งผักเสร็จแล้ว พูดว่า “ท่านป้า ผักสองหัวนี้ราคาสิบเอ็ดจิน ท่านซื้อข้าเป็นคนแรก ข้าจะไม่เอากำไรมาก ท่านให้ข้ามาสี่อีแปะก็พอ”
ได้กำไรหนึ่งจิน หญิงนางนั้นดีใจหน้าบาน รับผักกาดขาวมา มอบเงินสี่เหวินให้ แล้วเดินกลับเข้าบ้านอย่างชื่นบาน
คนขายผักแบกหาบร้องตะโกนไปพลาง ลอบส่งสัญญาณมือชี้ไปฝั่งตะวันออกให้กับคนที่ออกมาสวัสดีปีใหม่อย่างเบิกบาน ที่เดินผ่านตัวเข้าไป
คนทั้งหมดเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น พูดหัวร่อต่อกระซิบมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออก
คนขายผักก็ไม่ร้องตะโกนแล้ว แบกหาบเร่งฝีเท้าตามหลังไป
กระทั่งมาถึงที่เปลี่ยว คนพวกนั้นยืนรออยู่แล้ว
คนขายผักบอกข่าวที่สืบได้เมื่อครู่กับพวกเขา
คนทั้งหมดพยักหน้า หนึ่งคนในนั้นเอามือเข้าปาก เป่าสัญญาณลับหนึ่ง คนจำนวนหนึ่งล้อมรวมเข้ามาฉับพลัน
หนึ่งคนในนั้นพูดกำชับกับทุกคน “พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม ส่วนหนึ่งคอยจับตาดูจวนอู๋อยู่ที่นี่ ดูว่าพวกเขามีอะไรผิดปกติหรือไม่ อีกส่วนตามข้าไปฝั่งตะวันออก สืบดูว่าเศรษฐีอู๋เป็นผู้ซื้อเรือนหลังนั้นไว้หรือไม่”
คนทั้งหมดพยักหน้า แยกย้ายปฏิบัติการ
มีเพียงคนขายผักที่แบกหาบเดินวนเวียนละแวกบ้านเศรษฐีอู๋ ร้องตะโกนเร่ขาย
เวลาผ่านไปช่วงหนึ่งก้านธูป ประตูใหญ่จวนอู๋ที่ปิดสนิทแน่นถึงเปิดออกจากด้านใน คนที่แต่งกายคล้ายบ่าวคนหนึ่งเดินออกมา กวาดตามองไปโดยรอบ เห็นผู้คนบนถนนมากกว่าในอดีตมาก ให้ยกคิ้วยู่ย่น
คนขายผักแบกหาบเดินไปตรงหน้าเขา โน้มคำนับถาม “คุณชายท่านนี้ จวนของพวกท่านต้องการผักกาดขาวหรือไม่ ผักของข้าสดๆ ใหม่เลยขอรับ”
บ่าวขับไล่เขา “ไปๆๆ เข้ามาขายของแต่เช้าตรู่ หากเอาเสนียดมาติดจวนอู๋ของพวกเรา ระวังนายท่านของข้าจะให้คนมาถลกหนังเจ้าแน่”
คนขายผักไม่ยอมแพ้ ยังคงวิงวอน “ผักกาดขาวของข้าปอกมาเนื้อขาวสะอาด ไม่มีส่วนไหนต้องตัดทิ้งเลย ทั้งยังถูกมาก พวกท่านไม่ต้องการจริงๆ หรือ?” พูดจบยังเหล่มองเข้าไปในจวนอู๋อย่างใคร่รู้
บ่าวยกเท้าถีบเขา “ไปซะ มองหาพระแสงอะไร มองอีกข้าควักลูกตาเจ้าออกมาแน่”
คนขายผักหลบมาได้อย่างแนบเนียน พูดอย่างตื่นกลัว “ข้าไป ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบชายตามองเข้าไปในจวนอู๋อย่างอิจฉา แบกหาบเดินขึ้นหน้า
บ่าวเห็นเขาเป็นเพียงคนบ้านนอก อิจฉาในความร่ำรวยของจวนอู๋ อยากมองให้มากหน่อย จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ มองไปโดยรอบอีกครั้ง ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงหันหลังมาด้านในประตู นั่งเอ้อระเหยอยู่ด้านใน
กระทั่งตอนเที่ยง ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนลงน้อยลง เสียงร้องตะโกนของคนขายผักก็หายไปนานแล้ว ถึงมีคนแบกตะกร้าเดินออกมาจากจวนอู๋
บ่าวเฝ้าประตูเห็นดังนั้น รีบลุกขึ้น โน้มตัวอ่อนน้อมพูดว่า “พี่หวังจิ่ว ท่านจะไปส่งข้าวอีกแล้วหรือ?”