ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 238-1 ผู้บงการน่าสะพรึง
หวังจิ่วพยักหน้าเล็กน้อย ถามว่า “วันนี้ไม่มีอะไรผิดปกตินะ?”
บ่าวรีบตอบ “ไม่มีขอรับ ตั้งแต่ข้ามาเปิดประตูก็คอยจับตาดูด้านนอก นอกจากพวกหาบเร่ขายของและคนเดินถนนไปมา ก็ไม่พบบุคคลต้องสงสัยเลยขอรับ”
หวังจิ่วพูดเตือนเขา “ช่วงนี้สถานการณ์คับขัน เจ้าต้องตื่นตัวให้มาก หากพบสิ่งใดผิดสังเกต ให้บอกนายท่านทันที อย่าให้เกิดความผิดพลาด จนเสียงานได้”
“วางใจเถอะขอรับ พี่หวังจิ่ว ขอบคุณที่ท่านช่วยพูดยกยอข้าต่อหน้านายท่าน ข้าถึงได้งานสบายเช่นนี้ ข้าจะไม่ให้เกิดความผิดพลาด ทำให้ท่านต้องลำบากเด็ดขาด” บ่าวกล่าว
หวังจิ่วแบกตะกร้าเดินออกไป “เช่นนี้ก็ดี ไม่เสียแรงที่ข้าสนับสนุนเจ้า”
บ่าวโค้งคำนับส่งเขาออกไปนอกประตู เห็นเขาแบกตะกร้าเดินไปไกลแล้ว ถึงกลับมานั่งเอ้อระเหยด้านในประตูอีกครั้ง
องครักษ์หลวงที่หลบอยู่ด้านนอกเห็นหวังจิ่วเดินออกมา หันสบตากัน แบ่งกลุ่มตามหวังจิ่วไป
หวังจิ่วก็ตื่นตัวเป็นอย่างมาก แบกตะกร้ามุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออกไปพลาง คอยมองระวังหลังไปพลาง พอเห็นด้านหลังมีคนก็จะหยุดฝีเท้า รอจนพวกเขาเดินผ่านไป พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ถึงเดินไปข้างหน้าต่อ
เดินไปหยุดไปเช่นนี้ ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมาถึงหน้าเรือนฝั่งตะวันออกของเมือง มองดูโดยรอบ พบว่าไม่มีคน ถึงเคาะห่วงหน้าประตูเบาๆ
เสียงตื่นระวังของชายผู้หนึ่งดังแว่วออกมาจากด้านใน “ใครกัน?”
“ข้าเอง หวังจิ่ว เอาข้าวกลางวันมาให้พวกเจ้า” หวังจิ่วพูดกระชับ
มีเสียงเดินเท้าดังมาจากด้านใน ไม่นานประตูก็เปิดแง้มออก ชายคนหนึ่งโผล่หน้าออกมา เห็นว่าเป็นหวังจิ่วจริงๆ จึงเปิดประตูกว้างขึ้น ปล่อยให้เขาเข้ามา แล้วปิดประตูทันที
หวังจิ่วเดินเข้ามาในบ้าน วางตะกร้าลงบนโต๊ะ พูดว่า “นายท่านให้ข้ามาบอกเจ้า ช่วงสองสามวันนี้สถานการณ์คับขัน ทางที่ดีให้พวกเจ้าหลบอยู่ในนี้ไปก่อน ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น รอให้สถานการณ์นี้ผ่านไปก่อน นายท่านค่อยมาหารือกับพวกเจ้าว่าจะจัดการอย่างไรต่อ”
พูดจบ นำอาหารในตะกร้าออกมา วางเรียงบนโต๊ะ
ชายเปิดประตูร้องเรียกพวกเขาสามคนที่นอนอยู่บนเตียง “ลุกขึ้นมากินข้าวเถอะ อากาศเย็น อาหารจะเย็นเร็ว”
ชายทั้งสามคนตะเกียกตะกายลุกขึ้น นั่งข้างโต๊ะ หยิบตะเกียบเคี้ยวหมับๆ ไม่พูดไม่จา
หวังจิ่วเห็นสภาพพวกเขาให้ขมวดคิ้วมุ่น “นี่ก็หลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บของพวกเจ้ายังสาหัสนัก ต่อให้หลายวันนี้สองพ่อลูกเปาชิงเหอสืบอะไรไม่ได้ พาคนกลับอำเภอไป ด้วยสภาพพวกเจ้าในตอนนี้ก็คงต่อกรกับเหวินซื่อและนังเด็กสาวบ้านเมิ่งนั่นไม่ได้กระมัง”
มีคนหนึ่งกลืนอาหารแล้วตอบว่า “วางใจเถอะ ข้าส่งข่าวให้คุณชายใหญ่แล้ว อย่างช้าไม่เกินค่ำวันนี้ คนที่คุณชายใหญ่ส่งมาก็จะมาถึง ครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่าสิบคน ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่พวกคนในร้านยาเต๋อเหรินเลย แม้แต่ทั้งสกุลเมิ่ง พวกเราก็จะฆ่าล้างบางไม่ให้เหลือ”
หวังจิ่วพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี หวังว่าพวกเจ้าจะรีบจัดการเรื่องนี้ กลับเมืองหลวงเร็ววัน นายท่านของพวกเราจะได้วางใจออกตามหาคน”
ชายคนนั้นพยักหน้า “บอกนายท่านของพวกเจ้าด้วยว่า คุณชายใหญ่ของพวกเราช่วยเขากำจัดขวากหนามให้หมดแล้ว หากก่อนปีใหม่เขายังหาคนไม่พบ ก็จงนำศีรษะของเขาไปรับโทษเถอะ”
หวังจิ่วตัวเย็นวาบไปทั้งร่าง ฝืนพูดว่า “นายท่านของพวกเราอยู่ในตำบลชิงซีนี้ แม้จะไม่ถึงกับเรียกฟ้าบันดาลฝนได้ แต่อำนาจบารมีก็ไม่ใช่จะดูแคลนได้ ขอเพียงไม่มีสองคนนี้เป็นอุปสรรค พวกเราจะออกตามหาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เกินสามเดือน จะต้องตามหาเจอ ขอให้คุณชายใหญ่รอฟังข่าวดีจากพวกเราเถอะ”
ชายคนนั้นเคี้ยวข้าวคำโต ไม่ตอบเขา
กระทั่งพวกเขากินเสร็จ หวังจิ่วเก็บกวาดถ้วยชาม ยังคงเป็นชายคนเดิมพาเขามาส่งหน้าประตู แง้มประตูใหญ่ออก มองออกไปด้านนอกไม่มีสิ่งผิดปกติ ส่งสัญญาณให้หวังจิ่วรีบไป
หวังจิ่วสาวเท้าก้าวออกมาด้านนอก ชายคนนั้นปิดประตูใหญ่ทันที แล้วลงกลอนประตู
หวังจิ่วเดินพ้นไปไกลแล้ว ในเรือนก็ไม่มีความเคลื่อนไหว องครักษ์หลวงสองสามนายที่เฝ้าดูอยู่ในมุมมืดถึงปรากฏกาย มองสำรวจรอบตัวเรือนอย่างละเอียด
หลังจากสำรวจพื้นที่ดีแล้ว องครักษ์หลวงนายหนึ่งสั่งการคนอื่นๆ “พวกเจ้าเฝ้าดูต่อไป ข้าจะไปถามท่านแม่ทัพ ว่าจะให้ลงมือตอนนี้ หรือรอให้คนของพวกเขามาถึงแล้วค่อยลงมือ”
องครักษ์หลวงที่เหลือพยักหน้า
องครักษ์หลวงที่พูดจบยกเท้า เหยียบย่างว่องไวดุจบินมาถึงหน้าร้านยาเต๋อเหริน
ประตูร้านยาเต๋อเหรินเพิ่มกำลังรักษาการณ์แน่นหนา มีเจ้าหน้าที่หกนายเฝ้าอยู่ด้านหน้า
องครักษ์หลวงเดินมาตรงหน้าเจ้าหน้าที่พวกนั้น ไม่โยกโย้ พูดไปตามตรง “รบกวนพวกเจ้าไปบอกท่านแม่ทัพ บอกว่าข้ามีเรื่องมารายงาน”
เจ้าหน้าที่สองนายที่ถือดาบจ่อฉู่เหวินเจี๋ยเมื่อวานก็อยู่ในนั้นด้วย เห็นเขาตรงเข้ามาขอพบท่านแม่ทัพ ไม่กล้าตวาดถาม รีบวิ่งเข้าไปรายงานทันที ไม่นานก็วิ่งออกมาพูดกับองครักษ์หลวงอย่างสุภาพ “ท่านแม่ทัพฉู่ให้ท่านเข้าไปได้ขอรับ”
องครักษ์หลวงพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ ก้าวเท้าเดินเข้าไปในหลังร้านยาเต๋อเหริน
ฉู่เหวินเจี๋ยสีหน้าเคร่งขรึม ยืนน่าเกรงขามอยู่ในลานเรือน
องครักษ์หลวงเดินมาตรงหน้าเขา คุกเข่าหนึ่งข้าง ประสานมือทั้งสองขึ้น “กัวเฟยหัวหน้าองครักษ์หลวงตำบลชิงซีคารวะท่านแม่ทัพ”
ฉู่เหวินเจี๋ยพูดอย่างน่ายำเกรง “ลุกขึ้นพูดได้”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ!” กัวเฟยกล่าวขอบคุณแล้วลุกขึ้น
ฉู่เหวินเจี๋ยถามความ “มีเรื่องอะไรจะรายงาน?”
กัวเฟยบอกข่าวที่ได้รับทราบมาเมื่อครู่แก่ฉู่เหวินเจี๋ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยจะมาเรียนถามว่า พวกเราจะลงมือตอนนี้ หรือรอให้คนมาครบแล้วค่อยลงมือขอรับ”
ฉู่เหวินเจี๋ยออกคำสั่งเขา “เมื่อพวกเขายังมีคนตามมาอีก ก็จงรอไปก่อน จำเอาไว้ว่า ต้องลงมืออย่างไร้ซุ่มเสียง จัดการอย่างรวดเร็วเด็ดขาด อย่าได้สร้างความตื่นกลัวให้ชาวบ้านใกล้เคียง”
“ขอรับ! ผู้น้อยรับทราบ!” กัวเฟยขานรับอย่างอ่อนน้อม
ฉู่เหวินเจี๋ยผงกศีรษะเล็กน้อย “ไปเถอะ จับมาให้หมด อย่าให้หนีรอดไปได้ หากใครต่อต้าน ก็จัดการได้ทันที เหลือจับเป็นมาคนเดียวก็พอ”
กัวเฟยขานรับคำอย่างอ่อนน้อมอีกครั้ง หันหลังเดินพ้นร้านยาเต๋อเหรินออกไป
ทุกคนในห้องได้ยินเสียงด้านนอกแล้ว ไม่มีใครหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่เหวินซื่อที่ได้ยินองครักษ์หลวงรายงานตัว ก็มิได้มีปฏิกิริยาใด
พนักงานร้านยาเต๋อเหรินได้รับคำสั่งจากเหวินซื่อก่อนแล้ว หากไม่มีเรื่องอันใดให้อยู่แต่ในห้องห้ามออกมา
ไม่นานกัวเฟยก็กลับมาหน้าเรือนฝั่งตะวันออก นำคำสั่งของฉู่เหวินเจี๋ยบอกกับทุกคน สั่งพวกเขาเรียกระดมพลองครักษ์หลวงที่มาสืบความทุกแห่ง ส่วนตนเองเฝ้าจับตาดูเรือนซอมซ่อในที่เปลี่ยวต่อไป
องครักษ์หลวงทุกนายได้รับคำสั่งแล้ว ต่างทยอยกันเข้ามา มีราวสี่ห้าสิบนายได้ กัวเฟยส่งสัญญาณให้พวกเขาแยกกันไปในแต่ละจุดของเรือน หลบซ่อนตัวให้ดี รอเวลาคนของคุณชายใหญ่มาถึง
ใกล้จะถึงยามจื่อ ก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วมา คนสิบกว่าชีวิตเดินตามหลังหวังจิ่วมาถึงหน้าเรือน
หวังจิ่วยังคงเคาะประตูอย่างเบามือ ด้านในมีเสียงตะโกนถามดังออกมา ไม่รอให้หวังจิ่วตอบ คนที่เหมือนหัวหน้าก็เอ่ยปากพูดขึ้น “ข้าเอง รีบเปิดประตู”
เสียงซอยฝีเท้าถี่ดังลอดออกมา จากนั้นประตูใหญ่ก็ถูกเปิดอ้า คนผู้นั้นพูดด้วยความยินดี “พวกท่านมาแล้ว?”
ชายหัวหน้าไม่พูดอะไร ก้าวอาดๆ เข้าไป
หวังจิ่วเดินเข้าไปเป็นคนสุดท้าย แล้วปิดประตูใหญ่
เสียงชายหัวหน้าดังลอยออกมาจากด้านใน “เจ้าพวกเศษสวะไร้ค่า เรื่องเล็กเท่านี้ยังจัดการไม่ได้ คุณชายใหญ่โมโหเดือดดาล พวกเจ้ารอกลับไปรับโทษเถอะ”
คำอธิบายความเสียงอ่อยของพวกเขาดังเลือนๆ ลางๆ แว่วมา
กัวเฟยโบกมือ องครักษ์หลวงทั้งหมดต่างเดินออกมาจากที่ลับ
กัวเฟยทำสัญญาณมือ ส่งสัญญาณให้องครักษ์หลวงทั้งหมดล้อมเผด็จศึกทุกด้านอย่างรวดเร็วเด็ดขาด
เหล่าองครักษ์หลวงพยักหน้า เดินเข้าไปเลือกตำแหน่งเตรียมพร้อม
กัวเฟยร้องคำรามเสียงต่ำ “บุก!”
เหล่าองครักษ์หลวงบุกเข้าเรือนตามวิธีของตัวเอง
ชายหัวหน้ามีวรยุทธ์สูง ได้ยินเสียงผิดปกติภายในเรือน ร้องตวาดถาม “ใคร?”
ไม่ทันได้ถามครั้งที่สอง เหล่าองครักษ์หลวงก็ถีบประตูห้อง บุกทะลวงเข้ามา
ชายหัวหน้าไม่คิดว่าพวกเขาเพิ่งเข้ามา ก็จะมีคนบุกตามไล่หลังมา ตอนที่ลนลานจะชักดาบออกมาก็สายเสียแล้ว ลำแสงเย็นวาบของมีดเล็กสะท้อนปาดเข้าที่ลำคอ คนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ทันได้เคลื่อนไหว ก็ถูกมีดเล็กปาดเข้าที่ลำคอ
ชายหัวหน้ามองมีดเล็กที่เหมือนกันทุกประการในมือพวกเขา ร้องอุทานเสียงหลง “องครักษ์หลวง!”
กัวเฟยเดินเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย ได้ยินชายหัวหน้าร้องตะโกนก็พยักหน้า “ถูกต้อง ยังมีคนจำพวกเราได้”
ชายหัวหน้าเห็นเขาเบิกตาโพลงด้วยความหวาดผวา
กัวเฟยเดินมาเบื้องหน้าเขา ยกยิ้มพูดว่า “หัวหน้าใหญ่ฉี ไม่คิดว่าสิบกว่าปีผ่านมา พวกเราจะได้พบกันในรูปแบบนี้”
ชายหัวหน้าร้องถามอย่างไม่เชื่อ “กัวเฟย เจ้าไม่ได้ถูกฆ่าตายจากการไล่ฆ่าเมื่อสิบปีก่อนแล้วเรอะ? เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่ตำบลชิงซีได้?”
กัวเฟยเข้าใจนัยแฝงในคำพูดเขา เก็บคืนรอยยิ้ม ชักสีหน้าถาม “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าเมื่อสิบปีก่อนข้าถูกไล่ฆ่า?”
ชายหัวหน้าเสียใจที่พลั้งปากพูดออกไป จากนี้ต่อให้กัวเฟยเค้นถามอย่างไรก็จะไม่ปริปากอีก
กัวเฟยทำสัญญาณมือ องครักษ์หลวงที่จับกุมคนไว้ อ้าขากรรไกรล่างของคนในห้องอย่างรวดเร็วแม่นยำ ควานหายาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากพวกเขา แล้วปิดปากของพวกเขากลับคืน
ระหว่างนั้นมีคนขัดขืน ถูกมีดที่จี้คออยู่ขององครักษ์หลวงตวัดตัดคอหอย เลือดสดๆ ไหลพุ่งออกมา คนผู้นั้นยังไม่ทันได้ร้องสักแอ๊ะก็สิ้นใจแล้ว
เห็นสภาพน่าสังเวชของเขา คนอื่นๆ ต่างเลิกคิดจะขัดขืน
ชายหัวหน้าทนดูไม่ได้ หลุบนัยน์ตาลง